“แม้ศิษย์โชคดีบรรลุระดับแก่นแท้แล้ว แต่ไม่ว่าประสบการณ์การฝึกฝนหรือประสบการณ์ด้านอื่นล้วนด้อยกว่าอาจารย์อยู่ไกลนัก ศิษย์พี่เสี่ยวอู่มีอาจารย์ชี้แนะ ศิษย์เชื่อว่าเพียงพอแล้ว” เขาครุ่นคิดในใจแล้วจึงเอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า
เสี่ยวอู่ได้ยินคำนี้ เรือนร่างอรชรพลันสะท้านแผ่วเบา
อินจิ่วหลิงกับผู้อาวุโสแซ่เถียนก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
ผู้อาวุโสแซ่เถียนถึงขั้นขมวดคิ้ว เขากำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกอินจิ่วหลิงใช้สายตาปรามเอาไว้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้คงต้องหารือกันนานสักหน่อย หลิ่วหมิงเจ้าออกไปก่อนเถิด” อินจิ่วหลิงกระแอมคำหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย
หลิ่วหมิงคำนับอินจิ่วหลิงกับผู้อาวุโสแซ่เถียนแล้วหมุนตัวเดินออกจากวิหารหลังใหญ่ไป
“อาจารย์ ศิษย์…ศิษย์ก็ขอตัวเช่นกัน” หลังจากหลิ่วหมิงออกไป เสี่ยวอู่ผู้สีหน้าหม่นหมองและซีดเผือดก็ขอตัวกับพวกอินจิ่วหลิงทั้งสองคนด้วย ไม่รอทั้งสองคนตอบก็ออกจากห้องโถงไป
อินจิ่วหลิงกับผู้อาวุโสแซ่เถียนสบตากันครั้งหนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มจืดเจื่อนออกมา
“เดิมทีคิดจะยุให้ศิษย์หลานหลิ่วปฏิเสธการแต่งงานกับยอดเขาเลื่อนลอย แต่ผลกลับกลายเป็นตรงกันข้ามเสียได้” ผู้อาวุโสแซ่เถียนหัวเราะฝืดเฝื่อน
“ดูท่าเสี่ยวอู่กับหลิ่วหมิงจะไร้วาสนาต่อกัน แต่จากเรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่าหลิ่วหมิงมิใช่คนไร้หัวใจขอเพียงพวกเราปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ หากภายหน้ายอดเขาเราเกิดเรื่อง เด็กคนนี้ต้องไม่นิ่งดูดายเป็นแน่” อินจิ่วหลิงถอนหายใจ จากนั้นเอ่ยขึ้นมาพร้อมสีหน้าครุ่นคิด
ผู้อาวุโสแซ่เถียนได้ยินคำนี้จึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วไม่พูดอันใดอีก
……
หลิ่วหมิงเดินออกจากวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยวก็ไม่ชักช้า เขากลับไปยังถ้ำที่พักของตนทันทีจากนั้นตรงเข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องลับ
หลังจากสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจ
ตอนนี้เผ่าหนอนผีเสื้อยกพลรุกรานแผ่นดินจงเทียน แล้วยังมีราชินีหนอนผีเสื้อที่พลังเหนือกว่าระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ตัวหนึ่งจับจ้องมาดร้ายอยู่อีก หากทั้งแผ่นดินถูกยึดครองหรือล่มสลายเช่นโลกใบอื่น ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งคงได้แต่นั่งรอคอยความตาย
ยามนี้ในความคิดของเขามีเพียงเรื่องการเพิ่มพูนพลังเพื่อก้าวพ้นมหันตภัยตรงหน้าเท่านั้น ไม่มีหัวจิตหัวใจไปขบคิดถึงการแต่งงานกับเจียหลานจริงๆ
ส่วนเสี่ยวอู่ มิใช่เขาไม่มีความรู้สึกที่ดีให้นางอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ไม่ได้เป็นไปในทางความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษกับสตรีนักก็เท่านั้น
เขาส่ายศีรษะก่อนจะโยนความคิดเหล่านี้ออกไปจากสมอง ฝ่ามือทอแสงสีน้ำเงิน ป้ายประจำตัวสีน้ำเงินแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา มันคือป้ายประจำตัวศิษย์ลับนั่นเอง
หลิ่วหมิงมองป้ายประจำตัวในมือ ขณะที่ใบหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ
ในนิกายยอดบริสุทธิ์ ศิษย์ลับมีฐานะสูงที่สุด พวกเขาไม่เป็นรองผู้ควบคุมยอดเขาต่างๆ ของนิกายสายใน ถึงขนาดที่ในสายตาของคนระดับสูงในนิกายพวกเขาฐานะสูงกว่าผู้ควบคุมยอดเขาต่างๆ อยู่หลายส่วน สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือพวกเขายังมีอายุขัยเต็มเปี่ยม เป็นผู้ที่สามารถก้าวไปสู่ระดับดาราพยากรณ์หรือกระทั่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ในตำนานได้
แม้เขาไม่สนใจฐานะและอำนาจแม้แต่น้อย แต่เขาสนใจผลประโยชน์ต่างๆ ที่นิกายมอบให้แก่ศิษย์ลับ
เล่ากันว่าวังเจดีย์ที่ศิษย์ลับอาศัยอยู่เป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเต็มเปี่ยมที่สุดในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ ดียิ่งกว่าปลายยอดเขาต่างๆ ของนิกายสายใน อีกทั้งศิษย์ลับยังมีสิทธิใช้ทรัพยากรการฝึกฝนมากมายในนิกายก่อน ตัวอย่างเช่นถ้ำจันทรา ถ้ำลมสวรรค์ วิหารห้าธาตุที่เขาเคยไปล้วนจะมอบให้ศิษย์ลับใช้ก่อน ทั้งยังไม่ต้องใช้แต้มคุณูปการอีกด้วย นี่ย่อมมีส่วนช่วยการฝึกฝนต่อจากนี้ของเขาได้มากยิ่งนัก
หลิ่วหมิงพินิจป้ายประจำอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่งจึงเก็บมันลงไป จากนั้นลุกขึ้นเริ่มเก็บถ้ำที่พัก เตรียมย้ายที่พำนักไปยังวังเจดีย์
ยามปกติเขาใช้ชีวิตเรียบง่าย ภายในถ้ำจึงมีข้าวของไม่มากเท่าไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คืออุปกรณ์วางค่ายกลหลายชุดที่อยู่ด้านในถ้ำ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขากลับมาที่วิหารหลักแห่งยอดเขาลั่วโยวกล่าวลากับอินจิ่วหลิงอีกครั้ง จากนั้นจึงกลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่ง เหาะลึกเข้าไปในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่มุมอันเงียบสงบแห่งหนึ่งลึกเข้าไปในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
เบื้องหน้ามียอดเขาตั้งตรงตระหง่านอยู่ลูกหนึ่ง
ภูเขาลูกนี้ดูเหมือนไม่มีจุดพิเศษประการใด แต่ภูเขาทั้งลูกทอแสงสีน้ำเงินอ่อนประหนึ่งมีม่านแสงจางๆ ชั้นหนึ่งล้อมเขาทั้งลูกเอาไว้ จนมองเห็นเพียงสิ่งก่อสร้างจำนวนหนึ่งบนยอดเขาได้เลือนรางเท่านั้น
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย เขาพลิกมือเรียกป้ายประจำตัวศิษย์ลับออกมา แล้วโบกมือส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไป ป้ายประจำตัวเปล่งแสงสีน้ำเงินก่อนจะกลายเป็นมือใหญ่สีน้ำเงินข้างหนึ่งตบเข้าใส่ความว่างเปล่าเบื้องหน้า
“ฟึบ” ความว่างเปล่าตรงหน้าถูกฉีกออกมุมหนึ่ง แสงสว่างสายหนึ่งทะลุออกมาจากด้านใน
หลิ่วหมิงขยับตัวเหาะเข้าไป
เบื้องหน้าฉับพลันสว่างจ้า จากนั้นยอดเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งก็ปรากฏชัดตรงหน้าเขา แสงสว่างประหนึ่งสายรุ้งสายแล้วสายเล่าพาดผ่านท้องฟ้า มีกระเรียนเซียนกับวิหคจิตวิญญาณบินวนเวียนรอบยอดเขาเป็นระยะ ตั้งแต่ไหล่เขาขึ้นไปมีไอหมอกสีขาวจางๆ ห้อมล้อมทั้งภูเขาอยู่
บนยอดเขามีอาคารใหญ่โตโอฬารหลังหนึ่งตั้งตระหง่าน มองจากไกลๆ แลดูยิ่งใหญ่อลังการจนทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเคารพเลื่อมใส
ที่แห่งนี้ก็คือวังเจดีย์ สถานที่อาศัยของศิษย์ลับ แม้ใช้ชื่อว่าวัง แต่ความจริงเรียกว่าเขาเจดีย์จะเหมาะกว่าอยู่บ้าง
หลิ่วหมิงมองสถานที่ซึ่งเหมือนแดนเซียนตรงหน้าแล้วสูดหายใจลึกๆ สัมผัสปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินที่เข้มข้นขึ้นหลายเท่าในที่แห่งนี้ ใบหน้าเผยสีหน้ายินดีออกมาเลือนราง แล้วมองสำรวจสถานที่ซึ่งได้ยินคำเล่าลือมาเนิ่นนานแล้วแห่งนี้อย่างละเอียดลออ
โครงสร้างโดยรวมของเขาเจดีย์ไม่แตกต่างจากสถานที่เช่นยอดเขาลั่วโยวกับยอดเขาเลื่อนลอยนัก มีภูเขาเป็นฐานแล้วสร้างที่พักกับสิ่งก่อสร้างต่างๆ ไว้บนนั้น จากตีนเขาลากจรดยอดเขามีอยู่ราวสามสิบสี่สิบแห่ง
แม้ถ้ำที่พักบนเขาเจดีย์มีไม่มาก แต่ถ้ำที่พักแต่ละแห่งอยู่ห่างจากกันไกลนัก จากตีนเขาไล่ขึ้นไปด้านบน ทุกระยะหลายร้อยจั้งจะมองเห็นทางหยกขาวที่เชื่อมลานโล่งด้านบนกับด้านล่างเอาไว้ประหนึ่งบันไดสีเงินมุ่งตรงไปสู่ยอดเขา
ถ้ำที่พักของศิษย์ลับต่างสร้างอยู่ขนาบทางหยกขาวเหล่านี้
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองสำรวจรอบด้านครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังจะไปตามหาถ้ำที่พักของตน ในตอนนั้นเองแสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งก็เหาะเร็วรี่เข้ามาหา จากนั้นหยุดอยู่ด้านหน้าหลิ่วหมิงห่างไปไม่ไกล แล้วเผยร่างบุรุษกำยำหนวดเคราเฟิ้มผู้หนึ่งออกมา
“เห็นเงาคนผู้หนึ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา เป็นศิษย์น้องหลิ่วจริงเสียด้วย” บุรุษร่างใหญ่เคราเฟิ้มหัวเราะลั่นพลางเอ่ยขึ้นมา
“ศิษย์พี่ฉิว ไม่พบกันนาน” หลิ่วหมิงเห็นคนที่มา ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน
บุรุษร่างใหญ่เคราเฟิ้มผู้นี้คือฉิวหลงจื่อ หนึ่งในผู้นำคณะเดินทางสู่เศษซากแห่งโลกบนเมื่อตอนนั้น อีกฝ่ายเป็นศิษย์ลับผู้มุ่งฝึกกระบี่ที่ค่อนข้างสนิทสนมกับเขา
ไม่พบหน้ากันหลายสิบปี ระดับพลังของฉิวหลงจื่อก้าวหน้าขึ้นจากตอนเดินทางสู่เศษซากโลกบนครั้งนั้นแล้ว เขาบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบของระดับแก่นแท้ขั้นปลาย ลมปราณที่แผ่รอบร่างมากมายมหาศาล
“ก่อนหน้านี้ได้ยินศิษย์พี่จินเลี่ยหยางบอกว่าไม่นานมานี้ศิษย์น้องเพิ่งกลับมาถึงนิกายก็สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ในสงครามกวาดล้างเผ่าหนอนผีเสื้อบริเวณเทือกเขาหมื่นวิญญาณ! ศิษย์น้องหลิ่วพลังก้าวหน้าเร็วไวจนทำให้พวกเราศิษย์พี่เหล่านี้อับอายจริงเชียว” บุรุษร่างใหญ่เคราเฟิ้มหัวเราะลั่น
“ศิษย์พี่ฉิวชมเกินไปแล้ว ศิษย์น้องจะเทียบกับศิษย์พี่ได้อย่างไรเล่า” หลิ่วหมิงหัวเราะ แล้วเอ่ยอย่างถ่อมตน
“เอาล่ะ พวกเราอย่ามายกยกกันอยู่ตรงนี้เลย วันนี้ศิษย์น้องมาเขาเจดีย์วันแรกสินะ? ที่ทางแถวนี้ค่อนข้างซับซ้อน อยากให้ข้านำทางหรือไม่?” ฉิวหลงจื่อดวงตาเป็นประกาย จากนั้นหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา
“นั่นคงดียิ่งนัก ศิษย์น้องยังหาถ้ำที่พักของตนไม่พบเลย” หลิ่วหมิงสีหน้าสับสน โบกมือเรียกป้ายประจำตัวออกมา
บนเขาเจดีย์วางชั้นจำกัดไว้ไม่รู้เท่าไร ยามอยู่ที่จิตสัมผัสแผ่ออกไปได้เพียงหนึ่งลี้กว่าเท่านั้น
“ศิษย์น้องพักอยู่ที่ถ้ำหมายเลขยี่สิบเก้า วิถีที่เจ็ดนี่เอง ฮ่าๆ ที่ตรงนั้นข้ารู้จักอยู่ ตามข้ามา” ฉิวหลงจื่อกวาดสายตามองบนป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิงครั้งเดียวก็หัวเราะร่า เหาะนำไปยังทางขึ้นภูเขาที่ทำจากหยกขาวเส้นที่เจ็ด
หลิ่วหมิงใช้เคล็ดวิชาบังคับลำแสงติดตามไป
ไม่นานทั้งสองคนก็ร่อนลงหน้าถ้ำที่พักสุดปลายทางขึ้นภูเขาหยกขาวเส้นที่เจ็ด ปากถ้ำที่พักแห่งนี้สลักอักษรคำว่าวิถีที่เจ็ดหมายเลขยี่สิบเก้าเอาไว้อย่างชัดเจน
“ที่นี่อย่างไรเล่า” ฉิวหลงจื่อเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ขอบคุณศิษย์พี่ฉิวที่นำทาง มิเช่นนั้นข้าคงหาที่นี่ไม่พบง่ายๆ” หลิ่วหมิงเอ่ยขอบคุณแล้วหยิบป้ายประจำตัวขึ้นแกว่ง แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งออกไปกระทบบนประตูถ้ำ อักขระตัวยักษ์หลายตัวปรากฏขึ้นบนประตูใหญ่ หลังจากนั้นจึงเปิดออกอย่างเชื่องช้า
“ศิษย์พี่ฉิว หากไม่รังเกียจว่าถ้ำที่พักเรียบง่าย เชิญมานั่งด้านในสักหน่อยเถิด” หลิ่วหมิงเก็บป้ายประจำตัวพลางเอ่ยเชื้อเชิญ
“ข้ายังมีธุระสำคัญต้องทำ ไว้วันหน้าค่อยรบกวนถ้ำที่พักของศิษย์น้อง วันนี้คงไม่รบกวนแล้ว” ฉิวหลงจื่อยิ้มเล็กน้อย เขารู้ว่าหลิ่วหมิงเพิ่งย้ายมายังถ้ำที่พักแห่งใหม่ย่อมมีเรื่องต้องจัดการมากมายเป็นแน่ จึงขอตัวจากไปอย่างรู้จักกาลเทศะ
หลิ่วหมิงเองก็ไม่เอ่ยรั้ง เขาถามไถ่ตำแหน่งถ้ำที่พักของฉิวหลงจื่ออีกเล็กน้อย ทั้งสองคนก็แยกจากกัน
หลิ่วหมิงมองส่งฉิวหลงจื่อผู้กลายร่างเป็นแสงกระบี่สีทองอ่อนหายลับไปไกล จากนั้นจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำที่พักแห่งใหม่ของตน ประตูใหญ่ของถ้ำที่พักปิดลงอย่างเชื่องช้า
ถ้ำที่พักแห่งใหม่ดูจากภายนอกเห็นไม่ชัด แต่ภายในพื้นที่ค่อนข้างใหญ่โต มีขนาดเกือบร้อยจั้ง แยกเป็นห้องกว้างขวางได้สิบกว่าห้อง
นอกจากห้องนอนที่อาศัยกับห้องลับสำหรับฝึกฝน ก็ยังมีห้องหลอมอาวุธ ห้องปรุงโอสถ สวนสมุนไพร ห้องเลี้ยงอสูรวิญญาณเป็นต้น เรียกได้ว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการ
หลิ่วหมิงเดินวนภายในรอบหนึ่งแล้วรู้สึกพึงพอใจกับสภาพแวดล้อมที่นี่ยิ่งนัก
ภายในถ้ำที่พักนอกจากชั้นจำกัดป้องกันกับชั้นจำกัดกั้นเสียง ก็เหมือนจะวางค่ายกลรวมจิตวิญญาณเอาไว้ด้วย ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินในถ้ำที่พักจึงเข้มข้นกว่าด้านนอกไม่น้อย
เขาคาดว่าฝึกฝนในสภาพแวดล้อมเช่นนี้คงจะเร็วกว่าสถานที่อื่นอย่างน้อยสามเท่า
สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือในถ้ำที่พักแห่งนี้ไม่มีปราณหยินของภูตผีที่มีเฉพาะบนยอดเขาลั่วโยว แต่นี่ไม่เป็นปัญหาอันใด ตัวเขามีหยดพลังวารีแม่น้ำมืดอยู่จำนวนมาก ปราณหยินแม่น้ำมืดที่แผ่ออกมาเทียบกับปราณหยินธรรมดาแล้ว แข็งแกร่งกว่าไม่น้อยกว่าสิบเท่า
หลิ่วหมิงสำรวจถ้ำที่พักจนหมดรอบหนึ่ง เมื่อไม่พบปัญหาประการใดจึงเริ่มลงมือจัดถ้ำที่พักใหม่
เขาวางแผ่นค่ายกลหลายชุดที่รื้อมาจากยอดเขาลั่วโยวจนเรียบร้อย จากนั้นจึงจัดห้องลับที่ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเข้มข้นที่สุดห้องหนึ่งให้เซียเอ๋อร์ไว้ฝึกฝนด้วยตนเอง
“นายท่าน ที่แห่งนี้ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเข้มข้นจริงเชียว พลังของข้าใกล้ถึงจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ขั้นต้นแล้ว หากฝึกฝนที่นี่ คาดว่าไม่ถึงสิบปีก็คงจะลองทะลวงสู่ขั้นกลางดูได้” เซียเอ๋อร์พอใจกับสภาพแวดล้อมที่นี่อย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
“น่าเสียดายที่นี่ไม่มีปราณหยินบริสุทธิ์ที่เจ้าต้องการ อาจมีผลกระทบต่อการฝึกฝนของเจ้า แต่ข้าเคยซื้อธงค่ายกลของค่ายกลทานตะวันวารีมาจากแดนวารีมืดสองชุด เมื่อรวมกับหยดพลังวารีแม่น้ำมืด น่าจะเพียงพอ” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ พลางโบกมือ แสงสีดำสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ในมือพลันมีแผ่นค่ายกลกับธงค่ายกลที่สะท้อนประกายน้ำสีดำปรากฏขึ้นมาหนึ่งตั้ง