หลิ่วหมิงกวาดสายตามองด้านในห้องแล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้
เจียหลานปิดประตูห้อง เยื้องย่างแผ่วเบามาถึงริมโต๊ะ แล้วยกกาน้ำชาดินเผาสีแดงรินชาถ้วยหนึ่งให้หลิ่วหมิง จากนั้นจึงนั่งลงที่ขอบเตียง
หลิ่วหมิงยื่นมือหยิบถ้วยชายกขึ้นจรดจมูก สัมผัสกลิ่นหอมรวยรินชื่นใจ จิตใจรู้สึกปลอดโปร่งอย่างไม่รู้ตัว เขาหวนนึกถึงแต่ละเหตุการณ์นับตั้งแต่พานพบกับเจียหลานแล้วเหม่อลอยอย่างไม่รู้ตัวชั่วขณะ
เจียหลานมองหลิ่วหมิง แววตาวูบไหวเล็กน้อยแต่ไม่พูดอันใด
ทั้งสองคนนั่งกันอยู่เงียบๆ ไม่ส่งเสียงเช่นนี้ ทั้งห้องเงียบสงบไร้สุ้มเสียง
จวบจนเสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังออกมาจากปากของเจียหลาน
เสียงเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน แต่กลับดังชัดเจนอย่างยิ่งในห้องตอนนี้เวลานี้
“ข้า…” หลิ่วหมิงเพิ่งได้สติคืนมา
“ศิษย์พี่หลิ่ว ชาเย็นแล้ว ข้าจะรินให้ท่านใหม่” ปรากฏว่าหลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยจบ เจียหลานกลับลุกขึ้นยืน ริมฝีปากสีแดงสดเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา ทว่าในน้ำเสียงแฝงความขุ่นเคืองอยู่เลือนราง
“ไม่เป็นไร เมื่อครู่ด้านนอกร้อนอยู่บ้าง ชาเย็นแล้วดับกระหายได้พอดี” หลิ่วหมิงเอ่ยแช่มช้า ยกชาจิตวิญญาณในมือขึ้นดื่มคำเดียวจนหมด
เจียหลานเห็นเช่นนี้ ดวงหน้างามพลันมีสีหน้าซับซ้อนปรากฏขึ้น ร่างกายชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเดินมาที่ริมโต๊ะ ยกกาน้ำชาดินเผาสีแดงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาในมือหลิ่วหมิงจนเต็ม
ตอนนี้เองมือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยื่นมาจากอีกด้านหนึ่งกุมข้อมือขาวผ่องของเจียหลานเอาไว้
ร่างอรชรของเจียหลานสะดุ้งแล้วหันหน้ามามองหลิ่วหมิง แต่ไม่ได้สะบัดทิ้ง
“ศิษย์น้องเจียหลาน ก่อนหน้านี้ที่อาจารย์อินเดินทางไปยังยอดเขาเลื่อนลอย ความจริงแล้ว…” หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นมา
“ศิษย์พี่หลิ่ว เจียหลานพรสวรรค์ธรรมดา จนตอนนี้พลังยังหยุดอยู่ที่ระดับแก่นเสมือน แต่ยามนี้ศิษย์พี่ได้รับความสำคัญจากคนระดับสูงในนิกาย มีฐานะสูงส่งเป็นถึงศิษย์ลับ เจียหลาน…เจียหลานหวังสูงไปอยู่บ้างจริงๆ” เจียหลานเอ่ยขัดหลิ่วหมิง ระหว่างที่พูด น้ำเสียงก็เหินห่างขึ้นหลายส่วน
“ศิษย์น้องเข้าใจผิดแล้ว เรื่องการยืดสัญญาหมั้นมิได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด ยามนี้พวกต่างเผ่าเหิมเกริมรุกราน ข้ากำลังเตรียมตัวทุ่มเทสมาธิกับการเพิ่มพูนพลังให้เร็วที่สุด ต้องมีพลังแข็งแกร่งพอเท่านั้น ข้ากับเจ้าจึงจะโชคดีรอดพ้นจากหายนะใหญ่เช่นนี้ไปได้ ข้าจึงจะปกป้องคนข้างกายได้ดีกว่าเดิม รอเรื่องราวครั้งนี้จบลงแล้ว ข้าจะไปเยือนยอดเขาเลื่อนลอยด้วยตนเอง ไปสู่ขอเจ้าจากผู้ควบคุมยอดเขาเทียนกับกับผู้อาวุโสอวี้อินจื่อ ตบแต่งเจ้าอย่างเป็นทางการ” หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ของเจียหลานจึงมองดวงหน้างามพิลาสไม่มีใครเทียบเทียมของนาง ดวงใจรุ่มร้อนขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง
“ศิษย์พี่หลิ่วกล่าวจริงหรือ? แต่…” เจียหลานได้ยินคำพูดของเขา ดวงเนตรงามพลันเป็นประกาย แต่ก็อดวิตกกังวลอยู่บ้างไม่ได้
“ข้าหลิ่วหมิงแม้มิใช่วิญญูชน แต่ลั่นวาจาแล้วไม่มีทางกลับคำ ศิษย์น้องไม่เชื่อข้าหรือ?” ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายเจิดจ้า เอ่ยอย่างแน่วแน่ยิ่งนัก
“ข้าย่อมเชื่อท่าน” ดวงเนตรงามทั้งคู่ของเจียหลานมองหลิ่วหมิงแล้วพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา
ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลิ่วหมิงจึงพูดคุยสัพเพเหระกับเจียหลานเรื่อยเปื่อย จากนั้นขอตัวออกไป
หลิ่วหมิงเดินออกมาจากห้องของเจียหลาน ในใจโล่งอกขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้รับการอภัยจากเจียหลานก็นับว่าได้คลายปมในใจของเขาไปเปลาะหนึ่ง เขาหมุนตัวเดินไปยังชั้นสามของหอทันที ไม่นานก็มาถึงประตูห้องของตนเอง
ทว่าเวลานี้หญิงสาวอาภรณ์สีเงินเรือนร่างอ้อนแอ้นผู้หนึ่งกำลังยืนตัวเป็นๆ อยู่นอกประตูห้องของเขา หลงเยียนเฟยนั่นเอง
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้ากับน้องเจียหลานพูดคุยภาษาคนใกล้ชิดอันใดกันจึงอยู่ในห้องนางนานปานนั้นไม่ออกมาเสียที?” หลงเหยียนเฟยมองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มหยอกเย้า
“ศิษย์พี่หลง ท่านอย่าล้อข้าเลย” หลิ่วหมิงส่ายศีรษะจากนั้นจึงหัวเราะฝืดเฝื่อน
“เรื่องของพวกเจ้า น้องเจียหลานเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว ศิษย์น้องหลิ่ว แม้ยามนี้ฐานะของเจ้าไม่เหมือนเดิม แต่น้องเจียหลานเป็นสตรีที่ดีนางหนึ่ง อย่าได้ทำผิดต่อนาง” จู่ๆ หลงเหยียนเฟยก็เก็บสีหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ศิษย์น้องเจียหลานเป็นคนเช่นไร ในใจข้ารู้ชัดและไม่มีทางทำให้นางผิดหวัง” หลิ่วหมิงเอ่ยพร้อมแววตาเป็นประกาย
“หากเป็นเช่นนั้น คงไม่ต้องให้ข้าพูดอันใดมากแล้ว เจ้าจงทำตัวให้ดี” หลงเฟยียนเฟยเลิกคิ้วเรียวงามของตนแล้วหมุนกายเดินไปยังห้องของตนเอง
หลิ่วหมิงมองเงาแผ่นหลังของหลงเหยียนเฟยอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็เรียกนางเอาไว้
“ศิษย์พี่หลง รอประเดี๋ยว”
“ศิษย์น้องยังมีธุระประการใด” หลงเหยียนเฟยได้ยินก็หันกลับมามองหลิ่วหมิงอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“หากศิษย์พี่ไม่มีธุระ ไม่สู้มานั่งในห้องของข้าสักครู่ มีเรื่องบางอย่าง ข้าต้องการคุยกับศิษย์พี่สักหน่อย” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างจริงจัง จากนั้นก็เปิดประตูห้องแล้วผายมือเชื้อเชิญ
“อ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะอยู่ต่อสักหน่อยก็แล้วกัน”
หลงเหยียนเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องของหลิ่วหมิง จากนั้นเดินอาดๆ ไปนั่งบนเก้าอี้
หลิ่วหมิงเดินเข้ามาในห้องแล้วพลิกมือปิดประตู จากนั้นโบกมือข้างหนึ่ง แสงสีดำชั้นหนึ่งคลี่ออกกางเขตแดนกั้นเสียงสีดำอ่อนชั้นหนึ่ง
เห็นหลิ่วหมิงจริงจังเช่นนี้ หลงเหยียนเฟยย่อมอึ้งไปชั่ววูบ
“ศิษย์น้องหลิ่ว นี่มันเรื่อง…”
“เรื่องที่ข้าจะเล่าต่อไปนี้ ความจริงเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ลิ่วยิน” หลิ่วหมิงเรียบเรียงความคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็เอ่ยปากออกมา
“อะไรนะ ท่านบรรพบุรุษลิ่วยินหรือ?” หลงเหยียนเฟยได้ยินคำนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด ลุกพรวดขึ้นทันที
“ศิษย์พี่หลง อย่าเพิ่งใจร้อน ฟังข้าเล่าให้จบก่อน เรื่องนี้ฟังดูแล้วอาจเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่เป็นความจริง สามสิบกว่าปีก่อนข้าถูกเผ่าผีระดับดาราพยากรณ์ตนหนึ่งไล่ล่า หลังจากนั้นจึงพลัดหลงเข้าไปในยมโลกอย่างคิดไม่ถึง…” หลิ่วหมิงเล่าเรื่องราวที่ตนพบอินหลิวหรือก็คือชาติใหม่ของปรมาจารย์ลิ่วยินในยมโลก
“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือ…” เมื่อหลงเหยียนเฟยฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบ ใบหน้าก็เผยสีหน้าสับสนเล็กน้อย
“ปรมาจารย์ลิ่วยินยามนี้เป็นศิษย์ของราชาแดนตัณหามืดแห่งยมโลกคงไม่อาจหวนคืนแผ่นดินจงเทียนได้แล้ว ดังนั้นจึงไหว้วานข้าให้ดูแลตระกูลหลงแห่งหุบเขาน้ำพุเงิน ปรมาจารย์ลิ่วยินมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อข้า วันหน้าหากหุบเขาน้ำพุเงินเกิดเรื่องอันใด ศิษย์พี่หลงมาหาข้าที่ถ้ำได้ตลอดเวลา ขอเพียงมีความสามารถทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่นอน” หลิ่วหมิงให้สัญญาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอบคุณศิษย์น้องมากที่บอกกล่าวเรื่องนี้ เรื่องท่านบรรพบุรุษลิ่วยิน หลังข้ากลับไปจะบอกท่านย่าตามความจริง ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็น่าเหลือเชื่อเกินไปอยู่บ้าง” หลังจากหลงเหยียนเฟยใคร่ครวญอยู่เนิ่นนานก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วพลันก้มตัวคำนับหลิ่วหมิงพร้อมกับเอ่ยออกมาเช่นนี้
“ศิษย์พี่ไม่ต้องเกรงใจ น่าเสียดายที่ข้าจากกับผู้อาวุโสลิ่วยินอย่างรีบร้อน จึงไม่ทันได้นำของแทนตัวสักชิ้นสองชิ้นกลับมา มิเช่นนั้นคงน่าเชื่อขึ้นบ้าง” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างเสียดายเช่นกัน
หลงเหยียนเฟยฟังแล้วได้แต่ยิ้มเจื่อน
อาจเพราะเพิ่งได้ฟังข่าวของปรมาจารย์ลิ่วยิน หลงเหยียนเฟยจึงคุยกับหลิ่วหมิงอีกเพียงสองสามคำก็ขอตัวจากไปพร้อมสีหน้าสับสน
หลิ่วหมิงมองส่งหลงเหยียนเฟยจากไป จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิเงียบๆ เริ่มหลับตาฝึกฝนพลัง
เรือเหาะบินอยู่เหนือชั้นเมฆ ความสูงระดับนี้ไม่ต้องกลัวพบการลอบโจมตีขนานใหญ่จากเหล่าแมลง
หลังจากนั้นหลายวันหลายคืน เรือเหาะก็มาถึงท้องฟ้าเหนือเทือกเขาทอดยาวอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
คุนอวี้นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหัวเรือเหาะ ร่างกายแผ่แสงสีเหลืองสว่างชั้นหนึ่งออกมาเชื่อมกับค่ายกลใต้ตัวเขาคอยควบคุมเรือเหาะให้บินอย่างรวดเร็วไปด้านหน้า
ท้องนภาเบื้องหน้ามีเงายอดเขาสูงตระหง่านหลายลูกปรากฏขึ้นเลือนราง
ดวงตาของคุนอวี้ทอประกายวูบหนึ่ง จากนั้นโบกมือส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งจมหายเข้าไปที่หอบนเรือ
หอทั้งหลังเปล่งแสงสว่างวูบหนึ่ง ครู่เดียวหลังจากนั้นเสียงฝีเท้าก็ทยอยดังขึ้น ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหมดเดินลงมา
“ไม่ถึงพันลี้ด้านหน้าก็คือเขตเทือกเขาหม่อนเขียวแล้ว พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม” คุนอวี้เอ่ยเสียงเข้ม
ผู้คนที่นั่นได้ยินต่างพากันมองไปยังเทือกเขาสูงตระหง่านที่เห็นอยู่เลือนรางไกลๆ แล้วเริ่มสำรวจสภาพพลังเวทกับอาวุธเวทที่ตัว
ในเมื่อมาถึงเทือกเขาหม่อนเขียวแล้วก็อาจพบเผ่าหนอนผีเสื้ออันดุร้ายเหล่านั้นได้ตลอดเวลา ศึกใหญ่ที่เทือกเขาหมื่นวิญญาณหลายวันก่อน ผู้คนที่นี่ล้วนสัมผัสความร้ายกาจของเหล่าแมลงมาแล้ว พวกเขาย่อมไม่มีทางประมาท
ศิษย์สายในสิบกว่าคนที่นี่เป็นศิษย์สายในจากยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ ยอดเขากระบี่สวรรค์กับยอดเขาเลื่อนลอย นอกจากหลิ่วหมิงกับคุนอวี้สองคนที่เป็นศิษย์ลับ ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มีเพียงซ่างกวนเยี่ยนอวี่ หลิงอีอีจากยอดเขาสวรรค์ลี้ลับกับหลงเหยียนเฟยจากยอดเขากระบี่สวรรค์เพียงสามคน ที่เหลือล้วนเป็นศิษย์ระดับผลึกกับระดับแก่นเสมือน
เจียหลานตรวจสอบอาวุธเวทเก็บของบนร่างเล็กน้อย ยันต์ อาวุธจิตวิญญาณและอาวุธเวทที่จำเป็นล้วนอยู่ครบ ในใจจึงโล่งอกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ในตอนนี้เองเงาคนร่างหนึ่งก็เดินมาข้างกายนาง หลิ่วหมิงนั่นเอง
“แม้ภารกิจครั้งนี้อาจไม่อันตรายเท่าไร แต่เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน เจ้าอย่าอยู่ห่างจากข้านัก” หลิ่วหมิงสบตากับเจียหลานแล้วส่งกระแสจิตบอกเบาๆ
ดวงเนตรงามของเจียหลานเป็นประกายแล้วพยักหน้ารับทันที
ระหว่างที่ทุกคนเตรียมตัว เรือเหาะก็แล่นเข้ามาในเทือกเขาเขียวขจีอันกว้างใหญ่ เทือกเขาแห่งนี้มีสภาพผืนดินอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าดินหรือศิลาล้วนมีสีเขียวอ่อน
เมื่อเข้าไปในเทือกเขาหลิ่วหมิงยิ่งสัมผัสได้ว่าปราณจิตวิญญาณธาตุไม้รอบด้านเข้มข้นขึ้นมากตามไปด้วย
“เทือกเขาหม่อนเขียวมีสายแร่หินจิตวิญญาณธาตุไม้ขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่ง ความจริงตระกูลเยี่ยเป็นตระกูลที่ก่อตั้งขึ้นโดยผู้ฝึกฝนที่นิกายเราส่งมา แต่ละรุ่นคอยเฝ้าดูแลสายแร่อยู่ที่นี่” เจียหลานเหมือนจะมองเห็นความสงสัยของหลิ่วหมิงจึงเอ่ยอธิบายเสียงเบา
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เจ้ากลับล่วงรู้ข่าวสารมากนัก แม้แต่เทือกเขาหม่อนเขียวก็รู้จักอย่างละเอียด เก่งกว่าข้ามาก” หลิ่วหมิงฟังแล้วอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงพยักหน้าแย้มรอยยิ้ม
“เก่งเสียที่ไหนเล่า สิบกว่าปีก่อนข้าติดตามอาจารย์ไปเยี่ยมเยือนสำนักเฮ่าหราน ผ่านที่แห่งนี้ อาจารย์จึงเล่าให้ข้าฟังสองสามคำ” เจียหลานมองหลิ่วหมิง ใบหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ
เจียหลานเองก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่านางรู้สึกเช่นไรกับหลิ่วหมิงกันแน่
ผู้ที่มีสายเลือดผสมระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าเจ้าสมุทรเช่นนาง ไม่ว่าอยู่ที่นิกายปีศาจหรือกลับเผ่าเจ้าสมุทร แม้ฉากหน้ามีหน้ามีตายิ่งนัก แต่ในใจนางซ่อนความรู้สึกเดียวดายที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เอาไว้
ยามตกอยู่ตรงกลางระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าเจ้าสมุทร นางทรยศนิกายปีศาจไปเข้ากับฝั่งเผ่าเจ้าสมุทรเพื่อสายเลือดของตน ทว่าหลังจากนั้นกลับถูกราชาปีศาจสมุทรจับขัง แล้วยังหวิดจะถูกดวงวิญญาณดวงอื่นยึดร่างไปอีก
ประสบการณ์อันตรายทั้งหลายเหล่านี้ แม้นางผ่านพ้นมาได้แล้ว ทว่าในใจก็ยังคงปรารถนาเพียงชีวิตอันสงบสุข
อาจเป็นเพราะหลิ่วหมิงคือบุรุษคนแรกที่ทำให้นางรู้สึกสบายใจเช่นนี้ ดังนั้นหลายปีนี้แม้หลิ่วหมิงเหมือนจะรักษาระยะห่างกับนางเสมอ แต่นางก็ยังคงรอคอยอย่างเงียบๆ