“ประมุขหุบเขาเหวิน ฤทธิ์ยาพิษตัวนี้ของท่านไม่เลวจริงๆ แต่พวกระดับสูงของเผ่าหนอนผีเสื้อคงจะไม่ยอมปล่อยมันทิ้งไว้โดยไม่จัดการ หากขวางแมลงระดับสูงของเผ่าหนอนผีเสื้อไม่ได้แล้วถูกพวกมันขัดขวาง เกรงว่าต่อให้ใช้ฤทธิ์ของยาพิษร่วมกับยาคลุ้มคลั่งก็คงไม่แพร่กระจายง่ายดายเช่นนั้นกระมัง?” หญิงงามจากนิกายเทียนกงฟังจบกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยขึ้นมาอย่างลังเล
“ความกังวลของฮูหยินเจินมิใช่จะไร้เหตุผล จากข่าวที่ได้รับมาจากวังสวรรค์ การสื่อสารระหว่างเผ่าหนอนผีเสื้อระดับสูงกับระดับล่างไม่เหมือนภาษาของมนุษย์ พวกมันใช้คลื่นเสียงที่คนธรรมดายากจะได้ยิน หากเป็นเช่นนี้ระหว่างศึกตัดสินต้องตัดการสื่อสารระหว่างเผ่าหนอนผีเสื้อระดับสูงกับเผ่าหนอนผีเสื้อระดับล่างให้ได้จึงจะรับประกันผลของยาพิษได้ ส่วนวิธีทำลายคลื่นเสียงคงจะต้องรบกวนผู้อาวุโสเสวียนอวี๋แห่งนิกายยอดบริสุทธิ์อธิบายให้ทุกคนฟังสักหน่อย” ผู้เฒ่าชุดเขียวเอ่ยเช่นนี้
เมื่อคำนี้เอ่ยออกมายอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ทั้งหลายที่นั่นรวมถึงเงาคนเหล่านั้นล้วนมองไปยังปรมาจารย์เสวียนอวี๋ที่หลับตาทำสมาธิอยู่ด้านข้างอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่ผิด หลังจากสร้างมาหลายปี นิกายของเราก็ใช้กระดูกหัวกะโหลกของร่างแยกราชินีหนอนผีเสื้อชิ้นหนึ่งเป็นแกนกลางสร้างอาวุธคลื่นเสียงชิ้นหนึ่งขึ้นมาได้สำเร็จ เมื่อศึกตัดสินเริ่มต้นขึ้นแล้วใช้มันก็จะรบกวนเผ่าหนอนผีเสื้อระดับสูงที่กำลังควบคุมเผ่าหนอนผีเสื้อระดับล่างได้” ปรมาจารย์เสวียนอวี๋ลืมตาขึ้น หลังจากกวาดมองผู้คนจนครบรอบก็เอ่ยแช่มช้า
“ดี วันนี้ทุกสิ่งเตรียมพร้อมย่อมเหลือแต่รอลมตะวันออกแล้ว ยามนี้ขุมกำลังของเผ่าหนอนผีเสื้อแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากยื้อเช่นนี้ไปตลอด เกรงว่านานวันเข้าพวกเราจะเสียเปรียบอย่างยิ่ง ตอนนี้เมื่อประจักษ์ผลของยาพิษแล้ว ไม่สู้หารือเรื่องศึกตัดสินสักหน่อยเถิด!” บุรุษวัยกลางคนผู้สวมชุดบัณฑิตจากสำนักเฮ่าหรานที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยปากขึ้นมา
ทุกคนฟังแล้วย่อมพากันพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อสี่ยอดนิกายใหญ่กับหุบเขาปีศาจสวรรค์แสดงออกว่าเห็นพ้องต้องกัน ตระกูลกับสำนักอื่นที่เหลือจะกล้าคัดค้านได้อย่างไร หลังจากนั้นการหารือเกี่ยวกับศึกตัดสินจึงเริ่มดำเนินไปอย่างจริงจัง
ต่างคนต่างออกความเห็น แง่มุมต่างๆ ล้วนถูกยกขึ้นมาพูดคุย
การประชุมใหญ่เพื่อหารือกันครั้งนี้ดำเนินไปถึงสามวันจึงตกลงกันได้ในที่สุด
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน
ในวิหารหลังใหญ่บนยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ ประมุขนิกายเทียนเกอเจินเหรินกำลังนั่งสง่าผ่าเผยอยู่บนที่นั่งของประมุขนิกาย สองฝั่งข้างกายเขามีผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์หลายคนนั่งอยู่
ส่วนด้านล่างก็มีผู้อาวุโสผู้ควบคุมยอดเขาจากแต่ละยอดเขานั่งอยู่แน่นขนัด อินจิ่วหลิงจากยอดเขาลั่วโยว เทียนอินซ่างเหรินจากยอดเขาเลื่อนลอยล้วนอยู่ในนั้น
แต่เวลานี้สีหน้าของทุกคนล้วนเคร่งขรึม พวกเขาลุกขึ้นรายงานสภาพการเตรียมตัวเข้าสู่สงครามกับจำนวนศิษย์ที่จะออกศึกของแต่ละยอดเขาให้เทียนเกอเจินเหรินฟังอย่างละเอียดทีละคน
ในเวลาเดียวกันสำนักเฮ่าหราน นิกายเทียนกง นิกายปีศาจลี้ลับ หุบเขาปีศาจสวรรค์รวมถึงนิกายและตระกูลใหญ่แต่ละแห่งก็ล้วนตีฆ้องลั่นกลองรบเตรียมตัวสำหรับศึกตัดสินกับเผ่าหนอนผีเสื้อ พร้อมทั้งออกคำสั่งเรียกศิษย์ที่อยู่ตามที่ต่างๆ กลับมา
……
สองเดือนให้หลัง
ภายในมิติทรงกลมใต้ดินอันลึกลับและเงียบสงัดแห่งหนึ่ง
ฉับพลันแสงสว่าแสบตาสายหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ค่ายกลแสงขนาดสิบกว่าจั้งค่ายกลหนึ่งปรากฏขึ้นเลือนราง
ขอบของค่ายกลแสงมีลำแสงสิบกว่าสายม้วนเป็นเกลียวออกมาตามแต่ละตำแหน่ง ในแสงเรืองรองมีอักขระอันลี้ลับหมุนวนจากนั้นก็หยุดนิ่ง เงามนุษย์พร่ามัวไม่ชัดสิบกว่าร่างปรากฏตัวจากความว่างเปล่า
“สหายทุกท่าน วันนี้ยาพิษรวมถึงยากระตุ้นให้คลุ้มคลั่งของหุบเขาเสินหนงถูกแจกจ่ายให้แก่นิกายใหญ่แต่ละแห่งแล้ว ดูจากทิศทางการเคลื่อนไหวของเผ่าหนอนผีเสื้อล่าสุดที่ตรวจสอบมา จุดรวมตัวที่ใหญ่ที่สุดของพวกมันก็คือยอดเขาสองโลกทางตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดิน คาดว่าจำนวนทั้งหมดมีมากถึงสิบล้านตัว ข้าเสนอให้ใช้สถานที่นี้เป็นสนามรบของศึกตัดสิน ไม่ทราบทุกท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้?” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งทำลายความเงียบขึ้นก่อน ฟังจากเสียง เขาก็คือปรมาจารย์เสวียนอวี๋ของนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง
“จากที่ข้ารู้มา ยอดเขาสองโลกคือสถานที่ซึ่งพบรอยแยกมิติมากที่สุดในตอนนี้ อีกทั้งภูมิประเทศยังสูงชัน ง่ายต่อการรวบรวมกำลังพลตีวงล้อม ขอเพียงแผนการวางยาพิษสัมฤทธิ์ผล ครั้งนี้ต้องถอนรากถอนโคนเผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านี้ได้แน่ ส่วนการกำจัดเผ่าหนอนผีเสื้อที่อื่นเทียบกันแล้วย่อมง่ายกว่ามาก นิกายเทียนกงเห็นด้วยที่จะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสนามรบของศึกตัดสิน!” เงาร่างพร่ามัวอีกร่างหนึ่งเอ่ยเช่นนี้
“สำนักเฮ่าหรานไม่เห็นแย้ง!”
“นิกายปีศาจลี้ลับก็เห็นด้วยให้ใช้สถานที่นี้เปิดศึกตัดสิน!”
“หุบเขาปีศาจสวรรค์…”
เมื่อกลุ่มอำนาจใหญ่ของพันธมิตรที่นำโดยสี่ยอดนิกายใหญ่ทยอยแสดงท่าทีเห็นด้วย การเลือกสนามรบสำหรับศึกตัดสินกับเหล่าแมลงจึงกำหนดแน่นอนในที่สุด
……
ในเวลาเดียวกัน
ณ ทะเลสีเลือดอันเร้นลับยิ่งนักแห่งหนึ่งบนแผ่นดินจงเทียน
ท้องฟ้าเหนือทะเลสีเลือดที่ดูเหมือนคลื่นลมสงบบางครั้งมีวิหคหรืออสูรสมุทรพลัดหลงเข้ามาสองสามตัว ทว่ายังไม่ทันส่งเสียงร้อง ผิวบนร่างพลันกลายเป็นโลหิตประหนึ่งถูกหลอมละลาย จากนั้นพวกมันก็ร่วงหล่นลงไปในทะเลเลือด
ลึกลงไปใต้ทะเลโลหิตอันเงียบสงบ ยอดเขาชันที่สูงนับพันจั้งห้าลูกตั้งแยกกันอยู่ห้าทิศทางราวกับนิ้วมือห้านิ้วที่กำเข้าหากัน กลางหมู่ยอดเขาที่จมอยู่ในทะเลสีเลือดเหล่านี้ แท่นบูชาหินสีดำเกลี้ยงแท่นหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง
โซ่สีดำหนาเท่าชามข้าวหลายสิบเส้นแทงทะลุร่างสูงใหญ่ผมสีแดงกระเซอะกระเซิงบนแท่นบูชาอย่างไร้เมตตา
หากไม่ใช่ว่าร่างกายนี้ยังแผ่ลมปราณเล็กน้อยออกมาเป็นระยะ เขาก็เหมือนตายไปแล้วจริงๆ
ทันใดนั้นเส้นผมยาวสีเลือดของร่างนั้นก็เหมือนถูกลมพัด เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีโลหิตลึกโหลบนใบหน้าจ้องเขม็งไปด้านหน้า จากนั้นเขาจึงเปล่งเสียงคำรามดุดัน
“ผู้ใดทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ออกมาซะ!”
ทันใดนั้นน้ำสีเลือดที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งก็ปั่นป่วนครู่หนึ่งก่อนจะระเหยเป็นไอก่อตัวเป็นฟองอากาศทรงกลมขนาดสองสามจั้งฟองหนึ่งในพริบตา จากนั้นเงาสีดำร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นด้านใน
“จิ๊ๆ ปรมาจารย์โลหิตเสวียนอู๋ฉาง บุคคลในตำนานที่ยามนั้นสร้างชื่อเลื่องลือทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าธรรมะหรืออธรรมสดับฟังนามล้วนหวั่นเกรง วันนี้กลับถูกสะกดไว้ที่นี่มานานหลายหมื่นปี แล้วยังต้องทุกข์ทรมานกับโลหิตกร่อนกระดูก ช่างน่าเวทนาจริงหนอ!” เงาดำเลือนหายไปวูบหนึ่งก่อนจะลอยมาหยุดอยู่ข้างกายปรมาจารย์โลหิตแล้วหัวเราะอย่างเริงร่า
“ท่านมาที่นี่คงไม่ได้ต้องการมาเยาะเย้ยข้าเท่านั้นหรอกกระมัง!” ดวงตาของปรมาจารย์โลหิตทอประกายสีเลือด เสียงฟังดูแปลกประหลาดดังออกมาจากลำคอ
“คิกๆ ท่านถูกขังมานานเลยเบื่อการพูดจาเช่นนี้เชียว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อม วันนี้ข้าจะมอบโอกาสให้ท่านออกไปจากที่แห่งนี้ แต่ข้าต้องการให้ท่านช่วยเผ่าของข้าอีกแรง การแลกเปลี่ยนครั้งนี้เป็นเช่นไร” เงาสีดำหัวเราะแผ่วเบา ร่างกายลอยละล่องวนอ้อมไปด้านหลังของปรมาจารย์โลหิตเสวียนอู๋ฉาง
“เหอะ ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ ท่านคือคนของเผ่าหนอนผีเสื้อ แม้ข้าถูกขังอยู่ที่นี่ แต่เรื่องการรุกรานของเผ่าหนอนผีเสื้อก็รู้กระจ่างดุจอยู่บนฝ่ามือ ยามนี้ศึกตัดสินระหว่างเผ่ามนุษย์เหล่านั้นกับเผ่าหนอนผีเสื้อของพวกท่านใกล้อุบัติแล้วสินะ! แต่สิ่งที่ท่านไม่รู้ก็คือต่อให้ท่านไม่ช่วยข้า ข้าก็ต่อสู้กับโซ่ปราบปีศาจเหล่านี้มานานหลายหมื่นปีแล้ว อย่างมากที่สุดผ่านไปอีกพันปี ท่านคิดว่ามันจะยังขังข้าไว้ได้หรือ หากเพียงปล่อยข้าออกไปแล้วข้าต้องสู้เอาเป็นเอาตายกับพวกเขา นั่นไม่คุ้มอยู่สักหน่อย!” ปรมาจารย์โลหิตยกมุมปาก ดวงตาสีเลือดอันดำมืดกระตุก สภาพดูน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
“สหายเสียเวลาอยู่ที่นี่มาหลายหมื่นปี เกรงว่าอายุขัยคงเหลือไม่เท่าไรแล้วกระมัง ขอเพียงท่านรับปากว่าจะช่วยเผ่าพันธุ์ข้า โอสถยืดอายุขัยของเผ่าพันธุ์ข้าแล้วแต่เจ้าจะเลือกหยิบ อายุขัยของท่านรับรองว่ามีแต่เพิ่มไม่มีลด อีกอย่างอย่าท้าทายความอดทนของข้า คำพูดเหล่านี้ข้าจะพูดเพียงรอบเดียว” หลังจากเงาดำเอ่ยจนถึงสุดท้ายก็เหมือนจะรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว มันเลือนหายไปวูบหนึ่งก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าปรมาจารย์โลหิตแล้วปล่อยแรงกดดันออกมา ก้นทะเลสีเลือดฉับพลันปั่นป่วนประหนึ่งน้ำเดือด ยอดเขาห้าลูกสั่นไหวแผ่วเบา
“ฮ่าๆ ในเมื่อสหายพูดจนถึงขนาดนี้ ผู้แซ่เสวียนไม่ตกลงอีกก็จะหยิ่งทะนงเกินไปสักหน่อย เดิมทีข้าก็มีความแค้นลึกล้ำกับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์จอมอวดดีพวกนั้นอยู่แล้ว หากท่านรักษาสัญญา ผู้แซ่เสวียนย่อมทุ่มเทกำลังให้ศึกตัดสินอย่างเต็มที่” ปรมาจารย์โลหิตเสวียนอู๋ฉางเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าช่วยท่านออกจากการกักขังก่อนก็แล้วกัน!”
เงาสีดำได้ยินพลันยินดี จากนั้นจึงกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งโฉบเข้าหาร่างปรมาจารย์โลหิต
แสงสีดำแหวกวายดั่งมัจฉาทะลุผ่านเข้าออกระหว่างโซ่สีดำที่ตรึงร่างปรมาจารย์โลหิตไว้อย่างว่องไวยิ่งนัก แสงสีดำกะพริบวูบเดียว โซ่ทั้งหมดก็เริ่มหม่นแสงลงเรื่อยๆ
ผ่านไปเพียงไม่นาน ก้นทะเลก็ส่งเสียงครืนดังกัมปนาท
ยอดเขาห้าลูกรอบด้านราวกับเกิดแผ่นดินไหว คลื่นสีเลือดโถมจากก้นทะเลซัดยอดเขาถล่มลงทีละลูก
“ฮ่าๆ! ในที่สุดข้าก็หลุดจากการจองจำแล้ว…”
“เสวียนอู๋ฉาง ขอเพียงช่วยให้เผ่าเราชนะศึกนี้ เรื่องที่สัญญากับเจ้าไว้จะไม่ขาดแม้สักอย่าง ส่วนเมื่อไรควรลงมือ ไม่ต้องให้ข้าสั่งสอนเจ้ากระมัง?…” เงาดำมองปรมาจารย์โลหิตที่สลัดโซ่เหล็กทิ้งแล้วหัวเราะออกมาสองสามคำ จากนั้นแสงสีดำก็ส่องสว่างวูบหนึ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา
ปรมาจารย์โลหิตยังคำรามอยู่ที่ก้นมหาสมุทรไม่หยุดเพื่อระบายความยินดีเจียนคลั่งหลังจากหลุดพ้นพันธนาการ!
……
ณ หุบเขาชันขนาดมหึมายาวพันลี้ที่ถูกน้ำแข็งผนึกอยู่แห่งหนึ่งทางเหนือสุดของแผ่นดิน
ทอดสายตามองไป ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นสีขาวโพลนประหนึ่งทั้งโลกมีเพียงสีขาว ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
ในตอนนี้เองก้นหุบเขาชันแห่งหนึ่งพลันมีแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในแล้วมุ่งไปยังขอบฟ้าไกล มันรวดเร็วจนแทบจะใกล้เคียงกับการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา เพียงพริบตาเดียวก็หายลับขอบฟ้าไป
ต่อจากนั้นเสียงครืนสะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็ดังสนั่น หุบเขาชันมหึมาทั้งหมดสั่นไหวอย่างรุนแรง ต่อจากนั้นไอหมอกสีขาวขมุกขมัวมืดฟ้ามัวดินก็พัดกระจายออกไป ก้อนน้ำแข็งขนาดไม่เท่ากันนับไม่ถ้วนถล่มลงไปเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าถล่มดินทลาย!
เสียงหวีดแหลมดังขึ้นด้านในครั้งหนึ่ง ก่อนที่เงาร่างสีน้ำตาลร่างหนึ่งจะขยับวูบพุ่งออกมาจากกองศิลายักษ์และเศษน้ำแข็งที่กระจายเกลื่อน จากนั้นหยุดอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างมั่นคง!
เขาคือชายฉกรรจ์เส้นผมสีแดงดวงตาสีเขียวที่มีหนวดเฟิ้มบนแก้มสองข้างคนหนึ่ง ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า แผ่นหลังหนาเอวบึกบึน กล้ามนูนเป็นลูก ทั่วทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับอัดแน่นด้วยพลังอันไร้ขอบเขต
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว รสชาติของการถูกผนึกอยู่ในน้ำแข็งทมิฬหมื่นปีไม่อาจกระดิกตัวได้ ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสเสียบ้าง!” ชายฉกรรจ์หนวดเฟิ้มแหงนหน้าคำรามอย่างบ้าคลั่ง ทันทีที่เขาตวาดเสียงดังลั่นสะเทือนขุนเขาสายน้ำ หุบเขารอบด้านที่โงนเงนใกล้ถล่มก็ทยอยถล่มเสียงดัง รอบบริเวณร้อยลี้กลายเป็นที่ราบผืนหนึ่ง
……
แผ่นดินรกร้างสุดลูกหูลูกตาแห่งหนึ่งทางตะวันตกของแผ่นดินจงเทียน ดวงตะวันร้อนแรงลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า แผ่นดินไม่มีหญ้าสักต้น
บ่อน้ำแห้งขอดที่ดูเหมือนถูกทิ้งร้างมาไม่รู้นานเท่าไรแห่งหนึ่งบนผืนดินรกร้างฉับพลันเกิดแรงสั่นสะเทือน แม้เสียงแผ่วเบายิ่งนัก แต่ในสถานที่อันเงียบสงัดไร้สรรพเสียงเช่นนี้กลับดังชัดเจนเป็นพิเศษ
ต่อจากนั้นเงาสีดำร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวที่ปากบ่อ เขาคือเด็กหนุ่มผอมแห้งดุจท่อนฟืนผู้หนึ่ง รอบร่างมีผ้าพันแผลสีดำพันอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่าตั้งแต่หัวจรดเท้า มองลอดผ้าพันแผลไปจึงเห็นว่าแทบจะทั่วทั้งร่างของเขามีแต่กระดูก สิ่งที่เผยออกมามีเพียงดวงหน้าหล่อเหลาที่ทำหน้าเฉยชาเท่านั้น
ดวงตาของเขากวาดมองรอบด้านดุจสายฟ้า ต่อจากนั้นมุมปากจึงยกขึ้นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งวาดแผ่วเบาอย่างสบายๆ รอยแยกมิติเส้นหนึ่งก็เปิดออก ร่างกายผลุบเข้าไปด้านในหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่นานนักหลังจากร่างของเขาหายไป เงาสีดำอีกร่างหนึ่งก็โผล่ออกมาจากบ่อ เมื่อแสงสีดำดับลงเผยให้เห็นสตรีงามล้ำผู้หนึ่ง นางหันหน้าไปมองทิศใต้พลางเอ่ยพึมพำกับตนเองสองสามประโยค หลังจากนั้นจึงกลายเป็นแสงสีดำอีกครั้ง เคลื่อนไหวไม่กี่หนก็หายไปจากที่เดิม
……
ท้องฟ้าเหนือบึงโคลนที่มีฟองสีดำผุดทั่วแห่งหนึ่งในดินแดนทางใต้ มนุษย์ผู้มีตุ่มหิดทั่วตัวและสวมเสื้อผ้ารุ่งริ่งคนหนึ่งลอยอยู่กลางท้องฟ้า
สายลมชื้นร้อนผ่าวสายหนึ่งพัดผ่าน เส้นผมสีเทาอ่อนที่ปิดบังใบหน้าของนางเปิดออกเล็กน้อยเผยให้เห็นดวงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น พอตัดสินได้เลือนรางว่านางน่าจะเป็นแม่เฒ่าที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานคนหนึ่ง
นางใช้ดวงตาพร่ามัวทั้งคู่มองดูภาพรอบด้าน ทันใดนั้นมุมปากก็ยกยิ้มเย็นชาอย่างที่แทบจะมองไม่ออก