ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินจงเทียน มีเมืองเล็กแห่งหนึ่งตั้งอยู่ห่างจากยอดเขาสองโลกพันกว่าลี้นามว่าเมืองหนานฮุย
ที่แห่งนี้เดิมทีเป็นเพียงเมืองเล็กตรงชายแดนอันธรรมดาสามัญเมืองหนึ่ง ทว่าหลายวันมานี้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจากทั่วทุกแห่งของแผ่นดินจงเทียนทยอยมารวมตัวกันที่นี่โดยมีสี่ยอดนิกายใหญ่เป็นผู้นำ
ไม่นานผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่มารวมตัวกันที่นี่ก็ทะลุหนึ่งแสนหลายหมื่นคน
จำนวนผู้ฝึกฝนมากมายเช่นนี้ เมืองหนานฮุยซึ่งเดิมทีขนาดไม่ใหญ่มากย่อมมีที่พักไม่พอ ทว่าเรื่องนี้กลับไม่เป็นปัญหาสำหรับกลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งสักนิด ไม่นานพวกเขาก็ตั้งค่ายใหญ่โตขนาดหลายสิบลี้รอบเมืองหนานฮุยในชั่วข้ามคืน
ผู้ฝึกฝนจากแต่ละนิกายได้พันธมิตรจัดสรรอย่างเป็นระบบจึงไม่เกิดความสับสนวุ่นวาย ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ
ที่พักของผู้ฝึกฝนจากแต่ละนิกายต่างล้วนมีค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่อยู่
กลุ่มพันธมิตรส่งผู้ฝึกฝนกลุ่มเล็กหลายร้อยคนลาดตระเวนรอบค่ายใหญ่ทั้งวันทั้งคืน เฝ้าป้องกันการจู่โจมของเหล่าแมลงอย่างกวดขัน
เผ่าหนอนผีเสื้อระดับสูงคล้ายจะสังเกตอะไรบางอย่าง เผ่าหนอนผีเสื้อที่เดิมทีกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกแห่งบนแผ่นดินจงเทียนจึงมารวมตัวกันที่ยอดเขาสองโลกมากกว่าแปดส่วน
มองจากไกลๆ จะเห็นที่ตรงนั้นถูกหมอกสีเทาประหลาดห้อมล้อม แม้อยู่ห่างไกลยิ่งนัก แต่เหล่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ก็ยังรู้สึกถึงลมปราณดุร้ายท่วมฟ้าที่แผ่มาจากฝั่งตรงข้าม
ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทุกคนต่างรู้ว่าศึกใหญ่ครั้งนี้หากเผ่าหนอนผีเสื้อไม่พินาศถอยกลับไปก็คงเป็นแผ่นดินจงเทียนที่สูญเสียสาหัส นับจากนี้อาจตกเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อน ดังนั้นขวัญกำลังใจของกำลังพลไม่ต้องถูกปลุกระดมก็ฮึกเหิมถึงขีดสุด
เวลาแต่ละวันเคลื่อนผ่านไป ผู้ฝึกฝนจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ทิศที่มีเผ่าหนอนผีเสื้ออยู่ฝั่งตรงข้าม จำนวนชั้นจำกัดและกำลังพลที่ลาดตระเวนย่อมมากที่สุด แต่ด้านหลังของค่ายใหญ่ของเผ่ามนุษย์ กลุ่มพันธมิตรก็ส่งผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งคอยลาดตระเวนสอดส่องอยู่เช่นกัน
บนท้องฟ้าหน่วยลาดตระเวนจำนวนสิบกว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังเหาะเชื่องช้าอยู่บริเวณหมู่เนินเขาห่างจากเมืองหนานฮุยยี่สิบสามสิบลี้
ผู้ฝึกฝนเหล่านี้สวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อนซึ่งมีลวดลายสัญลักษณ์ของสายน้ำเป็นหลัก พวกเขามาจากนิกายขนาดเล็กแห่งหนึ่งในเขตหนานไห่ของแผ่นดินจงเทียน ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือบุรุษหนุ่มร่างกำยำพลังระดับผลึกขั้นกลางผู้หนึ่ง บนบ่าของเขาแบกกระบองใหญ่สีดำท่อนหนึ่งเอาไว้
แม้รอบด้านไม่มีสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ทว่าชายหนุ่มร่างกำยำกลับยังคงสอดส่ายสายตาไปรอบด้านอย่างระมัดระวังเช่นเดิม พร้อมกันนั้นจิตสัมผัสก็แผ่ขยายออกไปสังเกตทุกสิ่งรอบด้านอยู่ตลอดเวลา ดูออกว่าคนผู้นี้เป็นคนที่รอบคอบมากกว่าปกติคนหนึ่ง
ทันใดนั้นชายหนุ่มร่างกำยำก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันทีแล้วหยุดเคลื่อนไหว จากนั้นมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป
ผู้ฝึกฝนด้านหลังชายหนุ่มเห็นเช่นนี้จึงพากันหยุดแล้วเงยหน้ามองไปไกลบ้าง
“รองประมุขซิน พบสิ่งใดเข้า…” หญิงสาวชุดเขียวระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายถามขึ้นมา แต่ยังเอ่ยไม่ทันจบ ท้องฟ้าไกลๆ ก็มีแสงสีน้ำเงินจุดหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นเหาะเข้ามาใกล้ในชั่วเวลาไม่กี่ลมหายใจ
แสงสีน้ำเงินนั่นก็คือเรือเหาะยักษ์ขนาดร้อยจั้งลำหนึ่ง ตัวเรือสีน้ำเงินสลักภาพบานประตูสีน้ำเงินบานหนึ่งเอาไว้ บนนั้นมีแสงจิตวิญญาณเลือนรางไหววนเวียนไม่หยุด
เรือยักษ์เริ่มลดความเร็วลง แต่ยังคงมีกระแสลมแรงพัดออกมา มันเหาะผ่านเหนือศีรษะหน่วยลาดตระเวนขนาดเล็กกลุ่มนี้มุ่งไปยังเมืองหนานฮุยอย่างรวดเร็ว
“เรือเหาะใหญ่เช่นนี้กลับเหาะได้รวดเร็วปานนี้ นี่คงจะเป็นเรือเหาะระดับอาวุธเวทสินะ ไม่รู้ว่าผู้ฝึกฝนนิกายใหญ่นิกายใดมาถึง?” ผู้ฝึกฝนชุดสีฟ้าระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นกลางผู้หนึ่งมองเรือเหาะที่เหาะจากไปไกลอย่างอิจฉา พลางพึมพำกับตนเองอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย
“เจ้าหนู ปกติข้าบอกว่าเจ้าเป็นกบในกะลา เจ้าก็ไม่เชื่อ ไม่เห็นสัญลักษณ์บนเรือเหาะลำนั้นหรือนั่นคือสัญลักษณ์ของนิกายยอดบริสุทธิ์อันเลื่องชื่อหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่” คนที่อยู่ด้านข้างหัวเราะเยาะทันที
“อ้อ ที่แท้ก็นิกายยอดบริสุทธิ์นี่เอง มีสง่าราศีไม่ธรรมดาจริงๆ! น่าเสียดายไม่ได้เห็นว่าผู้ฝึกฝนเหล่านั้นบนเรือเหาะหน้าตาเป็นเช่นไร” ผู้ฝึกฝนอาภรณ์สีฟ้าถูกหัวเราะเยาะกลับไม่โกรธ ตรงกันข้ามกลับเอ่ยขึ้นอย่างเสียดายเล็กน้อย
ชายหนุ่มร่างกำยำผู้เป็นหัวหน้ามองเรือเหาะจากไกลๆ ใบหน้ากลับเผยสีหน้าประหลาดออกมานิดหน่อย
“หลายวันนี้สี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่ส่งศิษย์ของตนมาเสริมกำลังไม่หยุดหย่อน แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้ผู้ที่นิกายยอดบริสุทธิ์ส่งมาเป็นศิษย์ระดับใด” หญิงสาวชุดเขียวผู้นั้นดวงตาทอประกายระยับเอ่ยขึ้นมา
“สี่ยอดนิกายใหญ่ขุมกำลังล้ำลึก ต่อให้เป็นศิษย์ที่ธรรมดาที่สุด พวกเราก็สู้ไม่ได้” ชายหนุ่มร่างกำยำรั้งสายตากลับมาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย
“เป็นเช่นนั้นจริง สองวันก่อน ข้าเห็นกำลังเสริมของสำนักเฮ่าหรานกับตาครั้งหนึ่ง พวกเขาส่งศิษย์ระดับผลึกมาพันกว่าคน แล้วยังมีผู้อาวุโสระดับแก่นแท้นับร้อยเป็นหัวหน้า…” หญิงสาวชุดเขียวจุ๊ปากเอ่ยชม
“นี่ก็ไม่มีอันใด มหันตภัยเผ่าหนอนผีเสื้อครั้งนี้ ผู้ฝึกฝนของแผ่นดินจงเทียนมากกว่าแปดส่วนล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ในเมืองหนานฮุยไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ กระทั่งยอดคนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก็มารวมตัวไม่น้อยกว่าสิบคน” ชายหนุ่มร่างกำยำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่รู้ว่าจะโชคดีได้เห็นหน้าของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์สักคนหรือไม่” หญิงสาวชุดเขียวเอ่ยอย่างวาดหวังเล็กน้อย
“รอสงครามกับเผ่าหนอนผีเสื้อเริ่มขึ้น เหล่ายอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จากนิกายต่างๆ ย่อมออกโรง เอาล่ะ เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ลาดตระเวนต่อเถอะ!” ชายหนุ่มร่างกำยำเหวี่ยงกระบอกเหล็กในมือแล้วเอ่ยเสียงเข้ม
สมาชิกหน่วยด้านหลังรีบขานรับอย่างพร้อมเพรียง หน่วยขนาดเล็กจึงเหาะต่อไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า
“จริงสิ รองประมุขซิน ข้าได้ยินผู้อาวุโสหลายคนของพรรคฉางเฟิงบอกว่าก่อนหน้านี้ท่านเหมือนจะเคยพบปะกับศิษย์บางคนจากนิกายยอดบริสุทธิ์ ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใดหรือ?” หญิงสาวชุดเขียวสำรวจสภาพรอบด้านไปพลาง สายตาก็มองชายหนุ่มกำยำแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัยเล็กน้อย
“ก็แค่เคยมีวาสนาพบกันครั้งหนึ่งเท่านั้น หลายปีมานี้ก็ไม่เคยติดต่อกันอีก ผู้อื่นไหนเลยจะจดจำคนตัวเล็กๆ เช่นข้าได้” ซินหยวนลูบกระบองเหล็กในมือพลางส่ายศีรษะ เอ่ยราวกับพึมพำกับตนเอง
หญิงสาวชุดเขียวเห็นท่าทางซินหยวนไม่ยินดีจะเล่าจึงไม่ถามต่ออย่างรู้จักสถานการณ์
……
เรือเหาะสีน้ำเงินของนิกายยอดบริสุทธิ์หยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองหนานฮุย ภายในเมืองหนานฮุยมีผู้ฝึกฝนเดินทางมาไม่น้อยอยู่ก่อนแล้ว
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สามสิบถึงสี่สิบคนทยอยเหาะตามต่อกันลงมาจากบนเรือเหาะ
คนเหล่านี้ล้วนพลังระดับแก่นแท้ขึ้นไป ลมปราณบนร่างแต่ละคนล้วนลึกล้ำเก็บงำ ซ่อนเร้นไว้ไม่เผยออกมา เห็นชัดว่าในหมู่ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันพลังไม่อาจดูแคลน
หลิ่วหมิง ฉิวหลงจื่อ คุนอวี้ล้วนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ หัวหน้าที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดก็คือจินเลี่ยหยาง
กำลังเสริมกลุ่มนี้ก็คือเหล่าศิษย์ลับของนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง
“ที่แท้สหายจินมาถึงแล้วนี่เอง เดินทางลำบากแล้ว” คนผู้หนึ่งเหาะออกจากเมืองหนานฮุยมาต้อนรับ เขาคือบุรุษวัยกลางผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์สีเหลืองของนิกายเทียนกง สายตาเขากวาดผ่านผู้คนที่อยู่หลังร่างจินเลี่ยหยาง ดวงตาทอประกายวูบหนึ่งจากนั้นจึงเก็บงำประกายในดวงตาไป
จินเลี่ยหยางกับบุรุษวัยกลางคนอาภรณ์สีเหลืองผู้นี้เหมือนจะรู้จักกัน ทั้งสองคนสนทนากันเล็กน้อยแล้วจึงพาพวกหลิ่วหมิงเหาะเข้าไปในเมือง
หลิ่วหมิงบังคับลำแสงไปพลางก็กวาดสายตาสำรวจรอบด้านไปด้วย
เขาเห็นรอบเมืองที่เดิมทีไม่ใหญ่โตมีค่ายของนิกายและสำนักต่างๆ ตั้งเรียงรายแน่นขนัด กลุ่มอำนาจขนาดใหญ่หน่อยจะอยู่ใกล้กับเมือง ส่วนกลุ่มอำนาจที่ค่อนข้างเล็กได้แต่อยู่ตรงขอบรอบนอกสุด
ผู้ที่พักอยู่ในเมืองหนานฮุยล้วนเป็นศิษย์ระดับสูงกับผู้อาวุโสของนิกายใหญ่แต่ละแห่ง พวกหลิ่วหมิงแต่ละคนได้รับที่พักชั่วคราวที่จัดไว้ให้แห่งหนึ่งเช่นกัน ด้านในมีห้องศิลาขนาดเล็กห้องแล้วห้องเล่าที่เพิ่งสร้าง
“ศิษย์น้องทั้งหลาย พวกเจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน หลังจากนี้พันธมิตรจะมอบหมายงานสำคัญให้แก่พวกเจ้า” จินเลี่ยหยางสั่งพวกหลิ่วหมิงอย่างมีลับลมคมใน แล้วจึงจากไปพร้อมกับบุรุษวัยกลางคนชุดสีเหลืองผู้นั้น
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าว่าเมื่อครู่พี่จินหมายถึงสิ่งใด?” หลังจากจินเลี่ยหยางออกไป ฉิวหลงจื่อก็เดินมาข้างกายหลิ่วหมิงพลางเอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าก็ไม่แน่ใจ พันธมิตรอาจจะมอบหมายภารกิจให้พวกเรากระมัง” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างไม่เผยท่าที
ฉิวหลงจื่อส่ายศีรษะแล้วไม่พูดสิ่งใดอีก ไม่นานก็เดินเข้าไปในห้องน้อยของตนเอง
ศิษย์ลับคนอื่นบางคนกลับไปพักในห้อง บางคนเดินออกไปด้านนอกเพื่อไปเยี่ยมเยียนคนคุ้นเคยจากนิกายอื่นหรือทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบด้าน
เมืองหนานฮุยเวลานี้รวบรวมผู้ฝึกฝนระดับสูงแทบทั้งหมดของแผ่นดินจงเทียนเอาไว้ แต่เพราะศึกใหญ่บีบเข้ามาประชิด บรรยากาศจึงเคร่งเครียดอยู่บ้าง
หลิ่วหมิงหมุนตัวเดินกลับไปในห้องของตนแล้วนั่งขัดสมาธิเริ่มทำสมาธิบำรุงพลัง
ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์แทบจะมารวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้จนหมด สงครามใหญ่ใกล้จะเปิดฉากขึ้นเต็มที วันนี้เขาเพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นปลายได้ไม่นาน ต้องรีบเร่งทำให้พลังสเถียร พยายามยกระดับพลังของตนเองให้ได้มากที่สุด
สิ่งก่อสร้างที่หน้าตาเหมือนตำหนักหลังใหญ่ใจกลางเมืองหนานฮุยฝังค่ายกลวงกลมไว้ค่ายกลหนึ่ง ภายในตำหนักหลังใหญ่ตกแต่งเรียบง่ายยิ่งนัก นอกจากโต๊ะเก้าอี้ที่จำเป็นไม่กี่ตัวก็มีเพียงม่านแสงยักษ์อันหนึ่งที่ฉายภาพภูมิประเทศของยอดเขาสองโลกไว้อย่างละเอียด
โต๊ะกลมในตำหนักหลังใหญ่มีร่างของผู้ฝึกฝนยี่สิบกว่าคนนั่งล้อมอยู่ มู่คง เฟิงชิง หั่วเยี่ย เสวียนอวี๋ผู้อาวุโสสูงสุดระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ทั้งสี่ของนิกายยอดบริสุทธิ์ล้วนอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า
ปรมาจารย์มู่คงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ สตรีทรงเสน่ห์ผู้สวมอาภรณ์สีเหลืองจากนิกายเทียนกง บุรุษวัยกลางคนคิ้วขาวเครายาวผู้สวมชุดบัณฑิตจากสำนักเฮ่าหรานและผู้เฒ่าผอมแห้งผู้สวมอาภรณ์สีดำจากนิกายปีศาจลี้ลับนั่งอยู่ตรงตำแหน่งหัวหน้ากันสี่คน
ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จากยอดนิกายใหญ่ที่เหลืออีกสามแห่ง รวมถึงหุบเขาปีศาจสวรรค์ หอเป๋ยโต่วกับแปดตระกูลใหญ่ก็ล้วนอยู่ที่นี่ด้วย
การรวมตัวของนิกายและสำนักต่างๆ ทำให้เห็นขุมกำลังเปรียบเทียบกันชัดเจน ยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของสี่ยอดนิกายใหญ่เผ่ามนุษย์ นิกายยอดบริสุทธิ์มีสี่คน ส่วนนิกายปีศาจลี้ลับหลายปีก่อนเสียยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ไปหนึ่งคน ตอนนี้จึงเหลือเพียงสาม
ส่วนนิกายอื่น หอเป๋ยโต่วและหุบเขาปีศาจสวรรค์ต่างมีผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์สองคน แปดตระกูลใหญ่ต่างมีตระกูลละหนึ่งคน
สิ่งที่แปลกก็คือวังสวรรค์ผู้ลึกลับยากหยั่งซึ่งคอยดูแลกระแสโชคชะตาของแผ่นดินจงเทียนมาตลอดกลับไม่มีตัวแทนสักคนอยู่ที่นี่
ผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่ยามปกติยากจะพบเห็นสักครั้ง ยามนี้กลับรวมตัวกันอยู่ในตำหนักหลังใหญ่มากถึงยี่สิบเจ็ดคน
ภายในตำหนักหลังใหญ่ยังมีผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์หลายคนยืนอยู่ด้วย ดูแล้วล้วนเป็นประมุขของแต่ละนิกายทั้งสิ้น
เทียนเกอเจินเหรินของนิกายยอดบริสุทธิ์ยืนอยู่หลังพวกเสวียนอวี๋ เมื่อเห็นผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์รวมตัวกันอยู่ตรงหน้า สีหน้าก็เคร่งขรึมกว่าปกติ
“จนวันนี้กำลังพลที่พวกเรารวบรวมมาได้ล้วนมาถึงเมืองหนานฮุยเกือบครบแล้ว แม้รอต่อไปก็คงไม่มีกำลังเสริมมาอีกสักเท่าใด” สตรีชุดเหลืองจากนิกายเทียนกงสีหน้าเฉยชา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เป็นเช่นนั้น อาศัยกำลังพลที่ฝั่งเรารวบรวมมาลงมือก่อนจะดีกว่า บางทีโอกาสชนะอาจมากขึ้นสักหน่อย” ผู้เฒ่าผอมแห้งจากนิกายปีศาจลี้ลับพยักหน้าเห็นด้วย
“สหายซือถู ได้ยินว่านิกายของเจ้ามีกลองศึกยกพลสิบทิศที่ช่วยสร้างขวัญกำลังใจแก่ไพร่พลฝั่งตน ลดทอนแรงใจของศัตรูได้ แม้มันอาจสำแดงพลังกับเผ่าหนอนผีเสื้อได้ไม่เต็มที่ แต่ก็เหมาะกับสงครามใหญ่เช่นนี้ไม่น้อย ไม่ทราบว่านิกายของท่านนำอาวุธชิ้นนี้มาหรือไม่?” เงาร่างกำยำที่ห่มแสงดาวบนที่นั่งด้านบนเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ
คนผู้นี้ก็คือประมุขแห่งหอเป๋ยโต่วผู้เคยปรากฏตัวครั้งหนึ่งที่งานประตูสวรรค์นั่นเอง