ครึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงไปจากจวนตระกูลไป๋อย่างเงียบๆ และพอเดินออกจากเมืองหลูสุ่ยก็เรียกเมฆเทาเพื่อขี่ไปยังทิศทางบางแห่ง
ส่วนเรื่องยกเลิกการแต่งงานนั้น ย่อมให้ตระกูลไป๋เป็นคนจัดการเอง เพราะถือเป็นเงื่อนไขหนึ่งในข้อตกลง
ส่วนผู้ส่งสาส์นตระกูลมู่ผู้นั้น เขาไม่สนใจที่จะไปพบเลย และก็ไม่อยากเสียเวลาอะไรให้มาก เพราะเขายังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องทำ
เจ็ดแปดวันผ่านไป หลิ่วหมิงก็ออกไปจากเขตเฟิ่งอวิ๋น และไม่ทราบว่าตอนนี้เขาอยู่ ณ ที่แห่งใด
สองเดือนผ่านไป บนถนนหลักสายหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงเสวียนจิง แคว้นต้าเสวียนไปหลายร้อยลี้ มีทหารเกราะดำสามสิบกว่าคนกำลังคุ้มกันรถม้าสามคันที่ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า
ทหารเกราะดำแต่ละคนต่างก็สวมเสื้อเกราะหนา ถือหอกดาบในมือ ลักษณะเหี้ยมโหด พวกเขาก็คือหน่วยพยัคฆ์ทมิฬอันเลื่องชื่อของแคว้นต้าเสวียนนั่นเอง
ทหารหนึ่งในนั้นมีพู่สีแดงอ่อนติดอยู่บนหมวก และสะพายธนูยักษ์สีเขียวอ่อนอยู่ที่หลัง เขาคือนายกองที่ควบคุมทหารเหล่านี้
ตามกฎแล้วกองทหารหนึ่งกองจะมีทหารประมาณสามสิบคนเท่านั้น แต่พอหน่วยพยัคฆ์ทมิฬตั้งมั่นตามป้อมปราการสำคัญในเมืองที่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์ของแต่ละเขต เพื่อตรวจตราควบคุมความเคลื่อนไหวของทหารและราษฎรในแต่ละพื้นที่ แม้เป็นแค่นายกองธรรมดาก็นับว่าเป็นขุนนางที่มีระดับได้
ตอนนี้หน่วยพยัคฆ์ทมิฬได้เคลื่อนตัวพร้อมกับนายกองเพื่อคุ้มกันรถม้าไม่กี่คัน แสดงว่าคนในรถจะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
“ใต้เท้า ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว พวกเราหาที่พักกันก่อนเถอะ! ไว้เดินทางต่อในวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ยังไปเสวียนจิงทัน” ทหารชุดเกราะรูปร่างกำยำที่อยู่ด้านหน้าควบม้ากลับมาหานายกองแล้วกล่าวขึ้นในฉับพลัน
“อืม! เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี แต่จุดพักม้าที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างจากที่นี่สามสิบถึงสี่สิบลี้ เจ้ารีบนำทหารสองคนไปสำรวจข้างหน้าก่อนว่ามีสถานที่เหมาะสมต่อการพักหรือไม่” นายกองผู้นั้นตอบกลับอย่างราบเรียบ เขาสวมหมวกเกราะสีดำอยู่จึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้
“ทราบ! เฮยหนิว เจ้าเถี่ย พวกเจ้าไปสำรวจข้างหน้ากับข้า” ทหารรูปร่างกำยำตอบรับในทันที จากนั้นก็หันไปเรียกทหารอีกสองคนที่อยู่ด้านหลัง
ทหารสองคนรีบวิ่งออกจากกลุ่มทันที จากนั้นทั้งสามก็ควบม้าห้อเหยียดไปข้างหน้า
“นายกองตู้ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?” น้ำเสียงอันมีเสน่ห์ของหญิงที่แต่งงานแล้วดังมาจากรถม้าคันหน้าสุด
“ฮูหยินหมีไม่ต้องกังวล ข้าแค่ให้ลูกน้องสองสามคนรุดหน้าไปหาที่พักก่อนเท่านั้น” นายกองที่สวมหมวกเกราะสีดำกล่าว
“อ๋อ! ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ต้องขอบคุณนายกองตู้ที่คุ้มกันมาตลอดทาง พอถึงเสวียนจิงแล้ว ข้าจะต้องตอบแทนทุกคนอย่างงาม” ดูเหมือนหญิงที่อยู่บนรถม้าจะรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่ยังคงกล่าวด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณน้ำใจของฮูหยิน พวกข้าเพียงแค่ทำตามคำสั่งของใต้เท้าเท่านั้น!” นายกองโค้งตัวเล็กน้อย ดูเหมือนกับว่าเขาไม่อยากพูดอะไรมาก
หญิงบนรถม้าหัวเราะเบาๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาเช่นกัน
เมื่อกองทหารเดินหน้าต่อไปได้ประมาณหนึ่งเค่อ ก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากข้างหน้า มันคือม้าของทหารรูปร่างกำยำที่กำลังตะบึงเข้ามา
พอมาถึงหน้ากองทหาร เขาก็ดึงบังเหียนขึ้นเพื่อชะลอความเร็วของม้าที่ขี่ให้ลดลง
“ท่านนายกอง มีวัดร้างอยู่ข้างถนนหลักห่างจากที่นี่ไปห้าลี้ ตอนนี้เฮยหนิวกับเจ้าเถี่ยกำลังเก็บกวาดอยู่” พอมาถึงด้านหน้าของนายกอง ทหารรูปร่างกำยำก็กล่าวด้วยความนอบน้อม
“ดีมาก เจ้านำทางไป พวกเราจะไปพักที่นั้นสักคืน” พอนายกองได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด
ดังนั้นกองทหารทั้งหมดก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพื่อตามทหารรูปร่างกำยำไป
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป ทหารทั้งกองก็เดินมาถึงวัดที่สร้างจากดินสีเหลือง และอยู่ห่างจากถนนหลักค่อนข้างไกล
นอกจากมีม้าสองตัวของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬอยู่นอกวัดแล้ว ยังมีรถม้าสีดำขนาดเล็กอยู่คันหนึ่ง และยังมีล่อสองตัวถูกผูกไว้กับเสาไม้ด้านนอก มันกำลังก้มหน้าเล็มหญ้าบริเวณนั้นอยู่เงียบๆ
แสงไฟส่องสว่างออกมาจากในวัด และยังมีเสียงคนพูดคุยกันดังมาแว่วๆ
“นี่คืออะไร?” เมื่อนายกองตู้เห็นเช่นนี้ก็ตะคอกใส่ทหารรูปร่างกำยำ
“เรียนท่านนายกอง ตอนที่พวกข้าค้นพบสถานที่แห่งนี้ก็มีคนสองคนอยู่ก่อนแล้ว แต่จากการที่ข้าได้สอบถามมา พวกเขากำลังบากหน้าไปพึ่งญาติพี่น้องที่เสวียนจิง คนหนึ่งเป็นบัณฑิตที่ไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ ส่วนอีกคนเป็นแค่เด็กผู้หญิงเท่านั้น” ทหารรูปร่างกำยำรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วตอบกลับไปในทันที
“จริงหรือ? เรื่องนี้สำคัญมาก ให้ข้าดูคนทั้งสองก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ดูเหมือนว่านายกองตู้จะยังไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่ หลังจากที่กล่าวอย่างราบเรียบไปหนึ่งประโยคแล้ว ก็กระโดดลงจากหลังม้า และก้าวยาวๆ เข้าไปในวัดดิน
ภายในวัดสว่างไสวไปด้วยกองไฟใหญ่เล็กสองกอง
ข้างกองไฟขนาดใหญ่มีทหารรูปร่างสูงต่ำสองคนนั่งอยู่ แต่บริเวณกองไฟขนาดเล็กอีกกองกลับมีชายหนุ่มสวมชุดบัณฑิตสีเขียวกับเด็กหญิงผอมแห้งอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ
ถึงแม้เด็กหญิงผู้นั้นจะงดงาม แต่ใบหน้ากลับซีดเหลืองและผอมแห้ง ร่างครึ่งหนึ่งของนางกำลังคลอเคลียกับอยู่บนตัวของชายหนุ่มราวกับว่าติดเขามาก
และดูเหมือนว่าบัณฑิตหนุ่มจะมีอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี หน้าตาดูธรรมดามาก เขากำลังหันหน้าเข้าหากองไฟเพื่ออ่านคัมภีร์เล่มหนาที่ถืออยู่บนมืออย่างเพลิดเพลิน
พอทหารสองนายที่อยู่ข้างกองไฟเห็นนายกองตู้เดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นด้วยความตกใจ และเดินเข้าไปทำความเคารพอย่างรวดเร็ว
“ตามสบาย”
“เจ้าชื่ออะไร มีใบผ่านทางหรือไม่ มาจากที่ไหนและกำลังจะไปที่ใด?” นายกองตู้โบกมือ และหันไปมองบัณฑิตก่อนที่จะกล่าวออกมา
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นท่านนายกอง ข้าน้อยเฉียนหมิง ข้าน้อยกับหลานสาวกำลังบากหน้าไปพึ่งพาญาติที่เสวียนจิง ส่วนใบผ่านทางหรือ? นายท่านโปรดรอสักครู่…”
พอบัณฑิตได้ยินคำถามทั้งหมดของนายกองตู้ ถึงได้ตื่นขึ้นมาจากโลกของหนังสือ หลังจากที่ตอบกลับไปไม่กี่ประโยคก็ค้นหาไปทั่วตัวก่อนที่จะหยิบแผ่นกระดาษยับๆ ออกมายื่นให้นายกอง
ทหารคนหนึ่งก้าวมาหยิบกระดาษอย่างรวดเร็วแล้วนำไปมอบให้นายกองตู้
นายกองตู้มองแผ่นกระดาษเพียงไม่กี่ทีก็พยักหน้า และยื่นให้ทหารคนนั้นนำไปคืนบัณฑิต ส่วนตัวเขาก็เดินออกไปนอกวัดโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงดังมาจากนอกวัด และทหารสิบกว่าคนก็พุ่งเข้ามาทำความสะอาดวัดดินอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาฟืนจำนวนมากมาจากไหน และยังจุดกองไฟขึ้นมาอีกหลายกองด้วย
ขณะนี้มีกลิ่นหอมพัดเข้ามาจากด้านนอก และหญิงใบหน้างดงามอายุสามสิบกว่าปีก็เดินเข้ามา มือข้างหนึ่งของนางจูงเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบอยู่ ด้านหลังของนางเป็นหญิงรับใช้ค่อนข้างมีอายุที่มือไม้หยาบกร้าน กับสาวใช้ใบหน้าสวยงามอายุไม่เกินสิบห้าถึงสิบหกปี
พอหญิงใบหน้างดงามกับเด็กชายเดินเข้ามาในวัด หญิงรับใช้ที่ค่อนข้างมีอายุก็รีบปูหนังสัตว์สีขาวหิมะลงข้างกองไฟ และยังวางเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ สองตัวให้หญิงใบหน้างดงามกับเด็กชายนั่ง ส่วนสาวใช้ใบหน้าสวยงามก็จุดธูปหอมก้านหนึ่งแล้วปักไว้ด้านหน้า
กลิ่นหอมจางๆ ของต้นจันทน์ตลบอบอวลไปทั่ววัดอย่างรวดเร็ว
ทหารคนอื่นๆ และนายกองตู้เดินเข้ามาในวัด หลังจากมีคำสั่งออกไปแล้ว ทหารห้าหกคนก็ไปยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูวัด ส่วนคนอื่นๆ ก็ถอดหมวกเหล็ก ชุดเกราะ และอาวุธออก ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมตัวพักผ่อน
หลังจากที่นายกองตู้ถอดหมวกเกราะและชุดเกราะบนตัวออกแล้ว ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นหญิงสาวสวยงามที่มีรูปร่างสูงสะโอดสะอง บุคลิกองอาจห้าวหาญเป็นอย่างมาก
แต่รอยแผลเป็นสีแดงจางๆ บนหน้าผากกลับทำลายความงามของนางไปสองถึงสามส่วน ขณะเดียวกันสีหน้าของนางก็เย็นชาเป็นอย่างมาก ไม่มีรอยยิ้มเลยไม่แต่น้อย หลังจากที่นางวางธนูยักษ์สีเขียวอ่อนกับกระบอกลูกธนูสีดำไว้ข้างตัวแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าหญิงใบหน้างดงามกับเด็กชายผู้นั้น และนางก็จ้องมองกองไฟอยู่เงียบๆ
ขณะนี้ทหารคนอื่นๆ ต่างก็เริ่มนำอาหารที่ดูคล้ายกับก้อนข้าวออกมาทานอย่างเงียบๆ
หน่วยพยัคฆ์ทมิฬสมกับเป็นทหารที่เกรียงไกรของแคว้นต้าเสวียน เพราะทุกคนต่างผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี
ทางด้านของหญิงใบหน้างดงาม หญิงรับใช้ที่มีอายุผู้นั้นได้ออกไปนอกวัดอีกรอบ นางหยิบตระกร้าไม้ไผ่ลงมาจากรถม้า และหยิบอาหารชั้นดีออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อนนำมาให้หญิงใบหน้างดงามกับเด็กชาย
“นายกองตู้ ข้ามีเสบียงมากมาย พวกเรามาทานด้วยกันเถอะ!” หลังจากหญิงใบหน้างดงามหยิบขนมอบออกมาป้อนเด็กชายไม่กี่คำแล้ว ก็กวาดตามองหญิงสาวที่ยังนั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทีหนึ่งก่อนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณน้ำใจของฮูหยินหมี ข้าเคยเรียนวิชาอิ่มทิพย์มาบ้าง ต่อให้ไม่กินอาหารสองสามวันก็ไม่เป็นอะไรมาก” หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองมองดูหญิงใบหน้างดงามอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ส่ายศีรษะด้วยท่าทีเย็นชา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ฝืนใจท่านนายกองแล้ว” หญิงใบหน้างดงามเห็นเช่นนี้กลับไม่ได้โกรธแต่อย่างใด นางเพียงแค่ยิ้มบางๆ ก่อนที่จะป้อนเด็กชายต่อ
เด็กชายกินเพียงไม่กี่คำก็ส่ายหน้าไม่เอาอีก แต่กลับจ้องมองเด็กหญิงที่อยู่ข้างกายบัณฑิตด้วยความแปลกใจ
ไม่รู้ว่ามีหมั่นโถวร้อนๆ อยู่ในมือของนางตั้งแต่เมื่อไหร่ และนางกำลังกัดกินมันอย่างตะกละตะกลาม
“ค่อยๆ กิน เดี๋ยวจะสำลักเอา” บัณฑิตผู้นั้นยังคงอ่านหนังสือในมืออยู่ แต่พอเหลือบไปเห็นท่าทีตะกละตะกลามของเด็กหญิง เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม และยังหยิบเอาถุงหนังที่อุ่นเล็กน้อยออกมาจากอกแล้วยื่นให้เด็กหญิง
“ขอบคุณพี่หมิง”
เด็กหญิงเชื่อฟังอย่างดี นางรับถุงหนังมากรอกใส่ปากไปสองอึกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
แต่กลับมีกลิ่นหอมจรุงใจมาจากถุงหนัง แต่มันยังเข้มข้นไม่เท่ากลิ่นของธูปหอม ดังนั้นจึงมีคนได้กลิ่นเพียงไม่กี่คน แต่หญิงใบหน้างดงามที่กำลังเกลี้ยกล่อมให้เด็กชายทานอาหารนั้นกลับได้กลิ่นหอมจรุงใจนี้ภายในพริบตา นางรู้สึกตกตะลึงในทันที และยังมองไปยังถุงหนังในมือเด็กหญิงด้วยสีหน้าฉงน
“คุณชายผู้นี้ ข้าขอถามท่านหน่อย ในถุงหนังใบนี้…” สายตาฮูหยินหมีเป็นประกาย และคิดที่จะพูดอะไรกับบัณฑิตหนุ่ม
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องอย่างเวทนาของทหารที่ยืนเฝ้าหน้าวัดดังขึ้น ร่างของพวกเขาถูกลูกธนูที่พุ่งผ่านความมืดยิงเข้าใส่ จนพากันล้มลงไป
ขณะนี้ ทหารที่กำลังพักผ่อนอยู่ในวัดก็วุ่นวายขึ้นมา ทุกคนจับอาวุธโดยไม่สนใจที่จะสวมชุดเกราะ และแสดงท่าทีระแวดระวัง
ไม่รู้ว่าทหารบางคนหยิบโล่หนาๆ ไปยืนบังอยู่หน้าฮูหยินหมีและเด็กชายแต่เมื่อไหร่ และคุ้มกันพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา
……………………………………….