แต่ครั้งนี้กลับมีเสียงดังสะเทือนขึ้นมา ลูกธนูเล็กสามดอกพุ่งไปยังด้านหน้าเขาด้วยเสียงแหลมบาดหู
มันคือลูกธนูที่หญิงแซ่ตู้ยิงออกไปในฉับพลัน
ผู้ฝึกปราณที่ดูเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก ถึงแม้ตัวจะยังอยู่บนอากาศ แต่เขากลับสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน ทำให้กระบี่อ่อนราวกับอสรพิษพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา หลังจากที่มันหมุนควงเล็กน้อยแล้ว ก็กลายเป็นเงากระบี่สามเงาฟันไปยังลูกธนูทั้งสามอย่างบ้าคลั่ง
เสียงดัง “ตู้ม!”
พริบตาที่ลูกธนูทั้งสามถูกเงากระบี่ฟัน มันก็ระเบิดตัวออกมาราวกับเป็นเครื่องเคลือบดินเผา และยังมีของเหลวสีดำพุ่งออกมาปกคลุมไปทั่ว
ผู้ฝึกปราณที่เป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง นับว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้มาไม่น้อย แต่การเปลี่ยนแปลงอันกะทันหันนี้ทำให้เขาไม่อาจป้องกันตัวได้ทัน จึงถูกของเหลวสีดำสาดทั่วตัว
เขาพลิกตัวร่วงลงไปบนพื้น และรีบดมแขนเสื้อข้างหนึ่ง หลังจากที่สัมผัสถึงกลิ่นเหม็นคาวแล้ว เขาก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมาด้วยความตกใจปนโมโหอย่างอดไม่ได้
“เจ้าซ่อนอะไรไว้ในลูกธนู?”
“ไม่จำเป็นต้องถามอะไรมาก อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง ข้าเองก็ไม่อยากเสียเวลาพูดกับคนตาย” หญิงแซ่ตู้ลดธนูยักษ์ในมือลงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“อ๊าก…ถึงแม้จะต้องตาย ข้าก็จะต้องฆ่าเจ้าก่อน” ผู้ฝึกปราณที่เป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงร้องอย่างเวทนา กล้ามเนื้อผิวหนังเปื่อยยุ่ยและละลายไปอย่างรวดเร็ว เขาส่งเสียงแหลมเศร้ากำสรดออกมาในทันที จากนั้นก็ตวัดกระบี่อ่อนในมือ และเขวี้ยงเข้าใส่หญิงแซ่ตู้อย่างโหดเหี้ยม
แสงสีเงินเปล่งประกายออกมา กระบี่อ่อนกลายเป็นสายรุ้งอันเย็นสะท้านพุ่งไปยังเหนือศีรษะของนาง และฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม
นางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะยังมีท่าไม้ตายนี้อยู่ จึงได้แต่ยกธนูยักษ์ในมือขึ้นต้านทานทันที เพื่อหวังโจมตีให้สายรุ้งอันเย็นสะท้านกระเด็นกลับไป
แต่เห็นได้ชัดว่านางประมาทท่าไม้ตายของผู้ฝึกปราณขั้นกลางคนนี้มากไปหน่อย แม้ว่าธนูยักษ์ในมือจะไม่ใช่อาวุธธรรมดาทั่วไป แต่ไหนเลยจะสามารถเทียบกับอาวุธอาญาสิทธิ์ได้
หลังจากที่มีเสียงดัง “เพล้ง!” สายธนูยักษ์ถูกตัดขาดในทันที หลังจากสายรุ้งอันเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง มันก็กะจะฟันร่างของนางให้เป็นสองส่วน
แต่ขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งมาจากอีกด้าน และฟันลงบนสายรุ้งเย็นสะท้านอย่างรุนแรง
เสียงดัง “เต๊ง!”
แสงสีเขียวสลายกลายเป็นจุดๆ ก่อนที่จะหายไป สายรุ้งเย็นสะท้านก็กระเด็นออกไป และกลายเป็นกระบี่อ่อนก่อนที่จะตกลงบนพื้น
หญิงแซ่ตู้รู้สึกอึ้งเล็กน้อย นางหันหน้าไปมองบัณฑิตหนุ่มทีหนึ่ง
เห็นเพียงแค่บัณฑิตหนุ่มค่อยๆ วางมือลง ประจักษ์ว่าเมื่อครู่เขาได้ยื่นมือเข้าไปช่วยนางไว้
หญิงแซ่ตู้คิดใคร่ครวญเรื่องนี้ แล้วพยักหน้าให้กับบัณฑิตหนุ่ม แต่ไม่ได้กล่าวขอบคุณออกมา และนางก็หันไปตะคอกใส่ทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬคนอื่นๆ
“พวกเจ้ารออะไรกัน ยังไม่รีบจัดการโจรพวกนี้อีก!”
เดิมทีทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬต่างก็ตกตะลึงตาค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พอได้ยินเช่นนี้ ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาในฉับพลัน พวกเขาส่งเสียงตะโกนพร้อมกับกระโจนเข้าใส่คนชุดดำด้วยท่าทีฮึกเหิมกว่าเดิมหลายเท่า
ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่หัวหน้าผู้ฝึกปราณของคนชุดดำตายไปหมดแล้ว พวกเขาต่างก็ค่อยๆ ถอยไปอย่างลนลาน และบางคนก็หมุนตัววิ่งหนีอย่างไม่ลังเล
ผลลัพธ์ของการต่อสู้นัวเนียกัน คนบางส่วนก็ถูกฆ่าตายในนั้น แต่ส่วนมากกลับวิ่งหนีลอยนวลไป
ในช่วงระหว่างนี้ หญิงแซ่ตู้กับหญิงแกร่งผู้นั้น กลับยืนอยู่ข้างฮูหยินหมีกับเด็กชายอยู่ตลอดเวลาโดยไม่คิดที่จะต่อสู้ ดูเหมือนยังกังวลว่าผู้ที่มาโจมตีจะมีไม้ตายอื่นซ่อนอยู่
แต่เห็นชัดว่าพวกเขากังวลเกินความจำเป็น
เมื่อหน่วยพยัคฆ์ทมิฬจัดการกับคนชุดดำคนสุดท้ายที่หนีไม่ทันได้แล้ว ก็ไม่มีคนอื่นๆ โผล่มาอีกเลย
หญิงแกร่งเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจยาวออกมา หลังจากที่มองไปทางบัณฑิตหนุ่มแล้ว ก็กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับฮูหยินหมีเบาๆ สองประโยค
หญิงแซ่ตู้สั่งให้ทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬเริ่มจัดการสถานที่ และเริ่มสอบสวนคนชุดดำสองคนที่ถูกจับเป็น
“ขอบคุณท่านเซียนที่ยื่นมือเข้าช่วย มิเช่นนั้นเกรงว่าข้ากับลูกของข้าคงยากที่จะหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้” พอฮูหยินหมีเดินมาถึงหน้าบัณฑิตหนุ่ม ก็แสดงความเคารพและกล่าวด้วยความนอบน้อมและจริงใจ
“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าเมื่อครู่สหายได้ช่วยไว้ฮูหยินข้าคงไม่สามารถมีชีวิตกลับไปเสวียนจิงได้” หญิงร่างแข็งแรงทำความเคารพพร้อมกับกล่าวออกมา
“ไม่ต้องขอบคุณข้า ที่ข้าลงมือเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะช่วยพวกเจ้า เพียงแค่คนเหล่านี้ลงมือกับข้าก่อนเท่านั้น” บัณฑิตหนุ่มใช้ไม้เขี่ยกองไฟตรงหน้าสองที แล้วตอบกลับอย่างไม่สนใจไยดี ท่าทีของเขาแตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก
“ท่านเซียนล้อข้าเล่นแล้ว เป็นเพราะท่านเซียนพวกข้าถึงรักษาชีวิตไว้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ทราบท่านเซียนมีนามว่าอะไร ท่านก็ไปเสวียนจิงใช่หรือไม่?” ฮูหยินหมียิ้มหวานแล้วกล่าวออกไป
“ข้าเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ไม่อาจให้เรียกว่าท่านเซียนได้ พวกเจ้าเรียกข้าว่า ‘คุณชายเฉียน’ ก็แล้วกัน ข้าจำเป็นต้องไปเสวียนจิงเพื่อทำธุระบางอย่าง” บัณฑิตหนุ่มกล่าวอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็คือคุณชายเฉียน ข้าแซ่หมี บ้านสามีอยู่ที่เสวียนจิง นับว่าพอมีอิทธิพลเล็กๆ อยู่บ้าง เพียงแต่การออกมาข้างนอกในครั้งนี้ไปล่วงเกินคนบางคนเข้า ในระหว่างทางถึงได้ถูกคนลอบสังหารอยู่หลายครา ถ้าคุณชายยอมคุ้มกันพวกเราล่ะก็ พอถึงเสวียนจิงข้าจะต้องขอบคุณท่านอย่างงาม” ฮูหยินหมีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“คุ้มกันพวกเจ้า? ข้าไม่สนใจ ที่ข้ามาเมืองเสวียนจิงครั้งนี้ ก็เพื่อหาสมุนไพรจิตวิญญาณ มารักษาอาการป่วยให้กับหลานสาวข้าเท่านั้น ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น” บัณฑิตหนุ่มได้ยินก็ตอบกลับไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
คำพูดนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินหมีค่อยๆ ชะงักลง
แต่หญิงแกร่งข้างกายผู้นั้น ยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเช่นเดิม
“ถ้าคุณชายเฉียนไปเสวียนจิงเพื่อหาสมุนไพรจิตวิญญาณล่ะก็ ฮูหยินข้าสามารถช่วยได้ คุณชายไม่รู้อะไร สามีของฮูหยินข้าเป็นเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเสวียนจิง และเรือนร้อยวิญญาณเป็นร้านค้าที่รับซื้อพืชสมุนไพรจิตวิญญาณและแร่ต่างๆ แม้แต่เขตอื่นๆ ก็มีสาขาอยู่ด้วย ถึงแม้สิ่งที่คุณชายต้องการจะหาไม่ได้ในเรือนร้อยวิญญาณ ฮูหยินข้าก็สามารถช่วยติดต่อกับร้านค้าอื่นเพื่อช่วยท่านหาได้”
“อ๋อ! ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของเรือนร้อยวิญญาณมาบ้าง! ฮูหยินเป็นภรรยาเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณจริงหรือ?” พอบัณฑิตหนุ่มได้ยินคำพูดนี้ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป และหันไปสังเกตดูฮูหยินหมีสองที ราวกับกำลังตรวจสอบว่าคำพูดของหญิงแกร่งนั้นจริงเท็จประการใด
“เพียงแค่คุณชายคุ้มกันข้ากับลูกชายกลับถึงเสวียนจิงอย่างปลอดภัย ไม่ว่าท่านจะต้องการสมุนไพรแบบใด ข้าก็จะช่วยท่านหา” มาถึงตอนนี้แล้วฮูหยินหมีก็กัดฟันแล้วยอมรับออกมา
“หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็…ได้ ข้าจะเชื่อพวกเจ้าสักครา! แต่ต้องพูดกันให้ชัดเจนก่อน ถ้าถึงเสวียนจิงแล้วฮูหยินไม่ทำตามคำพูดล่ะก็ อย่าโทษว่าข้าไร้น้ำใจก็แล้วกัน” บัณฑิตหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ
“เฮ่อๆ! สหายวางใจได้ ขอเพียงแค่ไม่ใช่วัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินในตำนานเหล่านั้น สมุนไพรจิตวิญญาณทั่วไปย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” หญิงแกร่งรีบกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! สมุนไพรจิตวิญญาณที่ข้าหานับว่าราคาไม่สูง เพียงแต่มันพบเจอได้น้อยมาก บวกกับมีคนต้องใช้มันน้อย ถึงได้ตามหายาก” ดูเหมือนบัณฑิตหนุ่มจะเข้าใจความหมายของหญิงแกร่ง ถึงได้ทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกไป
“นี่ก็ไม่มีปัญหา ใช่สิ! ไม่ทราบว่าหลานของท่านป่วยเป็นอะไร ข้าเองก็ค่อนข้างชำนาญวิชาแพทย์ ให้ข้าตรวจดูหน่อยไหม?” หญิงแกร่งได้ยินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่พอมองดูเด็กหญิงตัวผอมหน้าเหลืองที่อยู่ข้างกายบัณฑิตหนุ่มแล้ว ก็อดที่จะพูดออกไปไม่ได้
“ไม่ต้องแล้ว ถ้าสหายชำนาญด้านการแพทย์ล่ะก็ ลองแก้พิษในร่างกายของคุณชายน้อยดูก่อนเถอะ” บัณฑิตหนุ่มส่ายศีรษะแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“อะไรนะ! คุณชายถูกพิษ!”
“เป็นไปไม่ได้ ลูกข้าจะถูกพิษได้อย่างไร”
พอหญิงแกร่งกับฮูหยินหมีได้ยินก็หลุดปากออกมาพร้อมกัน
“เฮ่อๆ! ถ้าทั้งสองไม่เชื่อล่ะก็ ลองไปตรวจดูได้ ดูจากหน้าผากที่มีไอดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าโดนพิษมาอย่างน้อยหนึ่งเดือนขึ้นไป” บัณฑิตหนุ่มมองหน้าเด็กชายทีหนึ่ง แล้วก็ตอบกลับไปอย่างสบายๆ
ได้ยินบัณฑิตหนุ่มยืนยันเช่นนี้ ฮูหยินหมีกับหญิงแกร่งก็มองตากัน และเชื่อบัณฑิตหนุ่มโดยไม่รู้ตัว
ฮูหยินหมีรีบกล่าวขอตัวกับบัณฑิตหนุ่มแล้วนางกับหญิงแกร่งก็จูงเด็กชายเดินกลับไป
หญิงแกร่งกำชับหญิงรับใช้คนนั้นสองสามที จากนั้นก็รีบออกไปจากประตูวัดอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน หญิงรับใช้สาวก็หอบห่อตุงนูนเดินเข้ามา
หญิงแกร่งรับห่อผ้ามาแล้วค้นหาในนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็หยิบกล่องเข็มเงินกับยันต์หลายผืนออกมาได้อย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางสายตาที่เป็นกังวลของฮูหยินหมี หญิงแกร่งแปะยันต์บนตัวของเด็กชายผืนหนึ่ง จากนั้นก็ฝังเข็มเงินจำนวนมากลงบนแขนของเด็กชายอย่างรวดเร็ว
“พี่หมิง เขาถูกพิษจริงๆ หรือ?”
ขณะนี้เด็กหญิงที่นั่งชิดอยู่ข้างบัณฑิตหนุ่มเงยหน้าขึ้นถามอย่างอดไม่ได้
“อืม! ถูกพิษจริงๆ ทั้งยังเป็นพิษประหลาดที่มีปัญหาเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะข้า พวกเขาคงค้นพบเรื่องนี้ก่อนวันพิษกำเริบหนึ่งวันเท่านั้น” บัณฑิตหนุ่มตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็ใช้มือลูบศีรษะของเด็กหญิงด้วยความสงสาร
แน่นอนว่าบัณฑิตที่ดูเหมือนอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีนี้ คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวมา
หลังจากที่เขาไปจากเขตเฟิ่งอวิ๋นแล้ว ก็ไปเมืองเล็กๆ ที่อยู่อีกเขตหนึ่ง สืบหาจนเจอทายาทเพียงหนึ่งเดียวของอาเฉียน และนางก็คือหลานสาวของของอาเฉียนนั่นเอง
บนเกาะมฤตยูในตอนนั้น อาเฉียนที่เป็นเหมือนพ่อและอาจารย์ของเขาผู้นั้น ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวก่อนตายของเขาคือ หวังว่าถ้าหลิ่วหมิงมีโอกาสล่ะก็ ช่วยดูแลทายาทของท่านด้วย
หลังจากที่หลิ่วหมิงไปจากเกาะมฤตยูแล้ว ก็ถูกคนตามล่ามาโดยตลอด จากนั้นก็ได้เป็นศิษย์นิกายปีศาจโดยไม่คาดคิด จนถึงตอนนี้ถึงได้มีเวลาไปบ้านเกิดของอาเฉียนเพื่อสืบหาทายาทของท่าน
แต่หลังจากที่เขาสืบหาแล้ว กลับค้นพบว่าก่อนอาเฉียนถูกจับไปขังที่เกาะมฤตยูนั้น ท่านมีบุตรชายอยู่เพียงคนเดียว ถึงแม้จะมีครอบครัวไปนานแล้ว แต่เมื่อหลายปีก่อนทั้งสองสามีภรรยาต่างก็เสียชีวิตจากโรคระบาด ทิ้งลูกสาวอายุสามสี่ขวบที่ชื่อว่าเฉียนหรูผิงไว้เพียงคนเดียว
ด้วยเหตุนี้ เด็กหญิงที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ข้างกาย ย่อมถูกญาติคนอื่นๆ แย่งเอาทรัพย์สินไปทั้งหมด ผ่านไปไม่นานก็ถูกขับไล่ออกจากบ้าน จนต้องตกเป็นขอทานน้อย
……………………………………….