ตอนที่หลิ่วหมิงหาเด็กหญิงเจอในบ้านไม้ทรุดโทรมแห่งหนึ่งที่อยู่ในเมือง นางก็ป่วยหนักจนดูเหมือนหายใจรวยรินแล้ว
ถ้าไม่ใช่ว่าแถวนั้นมีขอทานใจดีหลายคนที่ดูแลนาง เกรงว่าหลานสาวของอาเฉียนผู้นี้คงจะจากโลกนี้ไปตั้งแต่อายุยังน้อยแล้ว
ภายใต้ความตกใจ แน่นอนว่าหลิ่วหมิง ย่อมพยายามรักษาอย่างสุดกำลัง แต่กลับค้นพบว่าเด็กหญิงป่วยเป็นโรคประหลาดที่พบเจอได้น้อยมากบนโลกใบนี้ ไม่คาดคิดว่ามันจะกลืนกินพลังชีวิตของเด็กหญิงอยู่ไม่หยุด ราวกับว่านางป่วยเป็นวัณโรคอย่างนั้น
ดีที่ว่าตอนอยู่บนเกาะมฤตยู หลิ่วหมิงเคยเรียนตำราโอสถเกี่ยวกับการรักษาโรคซับซ้อนรักษายากกับคนจำนวนหนึ่งมาไม่น้อย บวกกับที่ตนเองได้พกยันต์และโอสถมาด้วย จึงสามารถระงับอาการป่วยของนางไว้ได้ชั่วคราว และพอประคับประคองไม่ให้อาการของนางทรุดลง แต่ถ้าจะรักษาที่ต้นตอล่ะก็ จำเป็นต้องใช้สมุนไพรจิตวิญญาณที่พบเจอได้น้อยมากบนโลกใบนี้
ดังนั้นเมื่อเขารอจนอาการป่วยของเฉียนหรูผิงดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว คืนนั้นจึงจัดการเผาบ้านญาติที่แย่งเอาทรัพย์สินของลูกชายอาเฉียนไป และยังทิ้งทรัพย์สินเงินทองให้กับเด็กขอทานที่ช่วยดูแลเด็กหญิง จากนั้นจึงได้พาเด็กหญิงไปจากบ้านเกิดมุ่งหน้าเข้าสู่เสวียนจิง
ถึงแม้สมุนไพรจิตวิญญาณที่เขาตามหาจะพบเจอได้น้อยมาก แต่เสวียนจิงใหญ่ขนาดนั้นก็ยังพอมีความหวังที่จะหาเจอได้
อีกอย่าง มันก็ใกล้จะถึงเวลารับภารกิจของเขาแล้ว ไม่อาจเอ้อระเหยลอยชายอยู่นอกเมืองเสวียนจิงต่อไปได้นาน
และในระหว่างทาง เขาได้ใช้หน้ากากพันหน้าเปลี่ยนโฉมตนเองจนมีรูปโฉมดังเช่นตอนนี้ ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาเปลี่ยนกระดูกเปลี่ยนรูปร่างให้เตี้ยกว่าก่อนหน้านั้นสองส่วน ทำให้รูปร่างสูงใหญ่ของเขาดูเหมือนคนทั่วไป
ส่วนหลังจากรักษาอาการป่วยของเฉียนหรูผิงจนหายดีแล้วจะทำอย่างไรต่อนั้น เป็นเรื่องที่เขาค่อยคิดในภายหลัง
อย่างน้อยในระหว่างที่อยู่เสวียนจิงนี้ นางจะต้องตามติดเขาอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ที่เฉียนหรูผิงได้รับความช่วยเหลือจากหลิ่วหมิง ให้รอดพ้นจากการป่วยหนัก นางก็แสดงออกว่าต้องพึ่งพาอาศัย ‘พี่หมิง’ คนนี้เป็นอย่างมาก แม้กระทั่งตอนนอนหลับยังต้องใช้มือข้างหนึ่งจับชายเสื้อของหลิ่วหมิงไว้ ถึงจะหลับได้อย่างสบายใจ ท่าทีของนางที่ดูเหมือนกลัวว่าตื่นมาจะถูก ‘พี่หมิง’ ทอดทิ้งนั้น แลดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเองก็รู้สึกสงสารเด็กหญิงร่างผอมอ่อนแอ ที่เป็นสายสัมพันธ์ของอาเฉียนคนนี้เป็นอย่างมาก คำขอร้องเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างการเดินทาง เขาก็จำเป็นต้องรับปากนาง แม้กระทั่งบางทีเขายังแสดงวิชาง่ายๆ ทำให้เด็กหญิงหัวเราะ “เอิ๊กอ๊าก!” อยู่ไม่หยุด
เพื่อที่จะดูแลสุขภาพของเฉียนหรูผิง เขาไม่อาจใช้วิชาทะยานเวหาในการเดินทางได้ แต่ตอนที่ออกเดินทาง เขาได้จ้างรถม้าคันหนึ่ง และขับรถม้าพาเด็กหญิงออกเดินทางไปเสวียนจิงด้วยตนเอง
หลิ่วหมิงเองก็คิดไม่ถึงว่า พอใกล้จะถึงเสวียนจิงแล้ว กลับได้มาพบกับหน่วยพยัคฆ์ทมิฬที่ตามล่าจนเขาต้องจนมุมในปีนั้นในวัดดินแห่งนี้ และยังมีฉากการไล่ฆ่าบังเกิดขึ้นอีกครั้ง
ก็เหมือนกับที่เขาได้กล่าวไว้ในตอนแรก ถ้าจูหรูผู้นั้นไม่ลงมือกับเฉียนหรูผิงก่อน เขาก็ขี้เกียจที่ยื่นมือเข้าไปแทรก
เพราะเรื่องแบบนี้มันเกี่ยวพันกับอิทธิพลในเสวียนจิง
ในขณะที่เขาไม่ได้เข้าใจเสวียนจิงอย่างแจ่มแจ้ง ก็ไม่อยากเผยตัวตนศิษย์จิตวิญญาณของตนเองต่อหน้าผู้คนโดยตรง
แน่นอนว่าตอนนี้มันย่อมไม่เหมือนกัน
ในเมื่อเขาได้ยื่นมือเข้าไปแล้ว ก็คิดที่จะยืมอิทธิพลของฮูหยินหมีผู้นี้ เพื่อใช้สถานะผู้ฝึกฝนอิสระเข้าไปในเสวียนจิง
ตามที่เขาทราบมา ทุกปีมีผู้ฝึกฝนอิสระปรากฏตัวอยู่ในเสวียนจิงไม่ใช่น้อย สถานการณ์ปกติคงไม่มีใครสังเกตเห็นได้
ส่วนพิษประหลาดที่เด็กชายได้รับนั้นไม่ใช่ว่ามีไอดำอยู่ตรงระหว่างคิ้วแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเขาใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งกวาดมองร่างกายของเด็กชาย ถึงค้นพบว่าร่างกายภายในเขาผิดปกติ
เพื่อรักษาความลับของตนเอง เขาถึงได้กล่าวออกไปเช่นนั้น
ขณะนี้ หญิงแกร่งได้ดึงเข็มเงินออกจากแขนเด็กชายมาเล่มหนึ่ง ผลลัพธ์คือส่วนล่างของเข็มมีสีดำมืดไปหมด
สิ่งนี้ทำให้ฮูหยินหมีร้องออกมาด้วยความตกใจ
หญิงแกร่งรีบแปะยันต์ไม่กี่แผ่นที่เหลืออยู่ในมือลงบนตัวเด็กชาย
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หญิงแกร่งก็ดึงเข็มเงินออกมาอีกเล่ม หลังจากที่เห็นว่าเข็มเงินยังคงเป็นสีดำเหมือนเดิม นางก็ดูหน้าเสียขึ้นมา
สีหน้าฮูหยินหมีกลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ หลังจากที่พูดอะไรกับหญิงแกร่งอย่างรวดเร็วแล้ว นางก็หยิบขวดใบเล็กละเอียดอ่อนออกมาจากตัว และเทโอสถสีเขียวหยกออกมาใส่ปากเด็กชาย
ผ่านไปสักครู่ เมื่อนางดึงเข็มเงินออกมาแล้วยังเห็นเป็นสีดำเช่นเดิม ทั้งสองก็รู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันเบาๆ ไม่กี่ประโยคแล้ว ก็จูงมือเด็กชายเดินเข้ามาหาหลิ่วหมิง
“คุณชายเฉียน ลูกชายข้ามีพิษประหลาดในร่างกายจริง ข้ากับหงเส่าได้พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว แต่ไม่อาจแก้พิษนี้ได้ เมื่อคุณชายตรวจเจอพิษนี้ได้ คิดว่าจะต้องรู้วิธีแก้พิษด้วยเช่นกัน” ฮูหยินหมีเดินมาถึงหน้าหลิ่วหมิง และกำลังจะพาลูกชายโค้งคำนับเขา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้น เขาเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ พลังไร้รูปบางอย่างก็พรั่งพรูออกมา
ฮูหยินหมีที่กำลังจะโค้งคำนับรู้สึกทันทีว่าพลังตรงหน้าค้ำร่างนางไว้จนไม่สามารถโค้งคำนับได้
“ฮูหยินไม่จำเป็นต้องมากพิธี พิษนี้ถึงแม้จะร้ายแรง แต่ไม่อาจกำเริบได้ในระยะเวลาสั้นๆ ถึงแม้ว่าข้าจะแก้มันได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ภายในวันเดียว จำเป็นต้องใช้การฝังเข็มเอาโลหิตออกถึงจะค่อยๆ ขับมันออกมาได้ เพราะลูกชายท่านได้ถูกพิษซึมไปค่อนข้างมากแล้ว!” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่เห็นผลก็ไม่ต้องกลัวว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ คุณชายสามารถขับพิษในตอนนี้ได้เลยหรือไม่?” ฮูหยินหมีได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางกล่าวออกไปโดยไม่ต้องคิด
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดู แต่ข้าไม่ชอบให้มีคนมาดูในขณะทำการขับพิษ ฮูหยินและคนอื่นๆ จะต้องหลบไปก่อน” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูเด็กชายผู้นั้นแล้วกล่าวออกมาอย่างสงบ
“หลบไปก่อน? คุณชายต้องกายให้พวกข้าหลบอย่างไร?” หญิงแกร่งไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่กลับถามออกไปอย่างระมัดระวัง
“อืม! พวกเจ้าไม่ต้องไปไหน ข้าสามารถแสดงวิชากั้นพวกเจ้าไว้ได้” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง แสงสีดำจำนวนหนึ่งม้วนตัวออกมา และจมหายเข้าไปในร่างของเด็กชาย
เด็กชายที่เดิมทีเบิกตาจ้องมองหลิ่วหมิงอยู่ได้สลบลงไปทันที โดยไม่เปล่งเสียงออกมาเลยสักคำ แต่พอร่างของเขาจะล้มลง ก็ถูกพลังไร้รูปบางอย่างห่อหุ้มไว้ ทำให้ร่างของเขาลอยต่ำอยู่ในอากาศ
ฉากนี้สร้างความตกใจให้กับฮูหยินหมีที่ไม่ทันตั้งตัว สีหน้านางดูเป็นกังวลและกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับถูกหงเส่าดึงแขนเสื้อไว้ นางถึงได้เปลี่ยนคำพูดในฉับพลัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องรบกวนคุณชายเฉียนแล้ว ข้าจะรออยู่ที่นี่ละกัน”
หลิ่วหมิงพยักหน้า และหันไปกำชับกับเด็กหญิงข้างตัวไม่กี่ประโยค จากนั้นก็โบกมือย้ายเด็กชายลอยไปยังอีกมุมหนึ่งของวัดดิน
เขาขยับร่างเพียงทีเดียวก็ไปปรากฏอยู่ข้างเด็กชายอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำพวยพุ่งออกมาจากร่าง และมันก็รวมตัวกันเป็นหมอกดำกลุ่มหนึ่งปกคลุมรัศมีหลายจั้งไว้
ด้วยเหตุนี้ฮูหยินหมีกับหงเส่าต่างก็มองหน้ากัน และก็ได้แต่ยืนรออยู่ที่เดิม
และขณะนี้ หญิงแซ่ตู้ก็สอบสวนเชลยเสร็จแล้ว และนางก็ก้าวยาวๆ เดินเข้ามา
“ฮูหยินหมี ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว คนเหล่านี้เป็นแค่โจรปล้นสะดมในหมู่บ้านบางแห่งที่อยู่บริเวณนี้ หลายวันก่อนถูกผู้ฝึกปราณสองสามคนรับเป็นลูกน้อง และถูกบังคับให้มาโจมตีพวกเรา ไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเราเป็นใครเท่านั้น แม้แต่ที่มาของผู้ฝึกปราณสองสามคนนั้นก็ไม่รู้เลย” หญิงนางนี้กล่าวกับฮูหยินหมีอย่างเยือกเย็น
“นายกองตู้ นี่ก็ไม่แปลกหรอก เรือนร้อยวิญญาณของพวกเรามีคู่แข่งทางการค้าเพียงไม่กี่ราย นอกจากพวกเขาแล้วจะมีใครส่งคนมาจัดการพวกเราได้ เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่า ครั้งนี้พวกเขาจะกล้าลงมือใกล้กับเสวียนจิงขนาดนี้ มิเช่นนั้นหลายวันก่อนคงไม่ให้พี่น้องปาซื่อกลับไปส่งข่าวที่เสวียนจิงก่อน” ฮูหยินหมีได้ยินก็เผยแววตาเคร่งขรึมออกมา และกัดฟันกรอดๆ ในขณะที่กล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่เก็บเฉลยทั้งสองคนนั้นไว้ เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ข้าได้แบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มคอยระแวดระวังป้องกัน เผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก!” หญิงแซ่ตู้ได้ยินก็ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“ดี! ทุกอย่างเอาตามที่เจ้าพูด น้องสาว เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ!” ถึงแม้ว่าฮูหยินหมีจะเป็นห่วงเรื่องการขับพิษของลูกชายมาก แต่ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หญิงแซ่ตู้พยักหน้า และกวาดสายตามองไปยังมุมวัดทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปนั่งข้างกองไฟเงียบๆ
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป หลังจากมีเสียงสูดลมหายใจยาวดังออกมา หมอกดำที่เข้มข้นก็ค่อยๆ สลายไปในที่สุด
มือทั้งสองของหลิ่วหมิงอุ้มร่างของเด็กชายอยู่ เขาปรากฏตัวออกมาด้วยสีหน้าที่อ่อยเพลีย
พื้นบริเวณนั้นมีโลหิตพิษสีดำอยู่กองหนึ่ง และมันยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนอยากจะอาเจียนออกมา
“คุณชายเฉียน ลูกชายข้า…” ฮูหยินหมีรีบเดินเข้าไปรับลูกชายกลับมา หลังจากที่เห็นเขายังไม่ฟื้น ก็สอบถามด้วยความกังวล
“วางใจเถอะ! ข้าขับพิษส่วนหนึ่งออกไปแล้ว อย่างน้อยหลายวันนี้พิษที่เหลืออยู่ก็ไม่อาจกำเริบได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หงเส่าก้าวเข้าไปสองสามก้าว และใช้เข็มเงินฝังบนแขนของเด็กชายอย่างระมัดระวัง หลังจากที่ดึงมันออกมา ก็พบว่าส่วนที่เข้าไปในเนื้อนั้น มีแค่ไอสีดำจางๆ เท่านั้น นางถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ฮูหยินหมีเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกวางใจขึ้นมา และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความซาบซึ้งใจ
“ครั้งนีโชคดีมากที่ได้พบเจอกับคุณชาย มิเช่นนั้นต่อให้จะสามารถขับไล่นักฆ่าเหล่านั้นไปได้ แต่ชีวิตลูกชายข้าคงจะหาไม่แล้ว พอถึงเสวียนจิง นอกจากสมุนไพรจิตวิญญาณแล้ว ข้าจะต้องเตรียมของขวัญอย่างอื่นเพื่อตอบแทนท่านอย่างงาม”
“สิ่งของอย่างอื่นช่างมันเถอะ! แต่สมุนไพรจิตวิญญาณที่หลานสาวข้าต้องการจะต้องถึงมือโดยไว นอกจากนี้หลังจากคุณชายขับโลหิตพิษออกมาแล้วร่างกายจะอ่อนแอเล็กน้อย รอฟื้นแล้วลองให้เขาทานของบำรุงเสริมเข้าไปหน่อย แน่นอนว่าไม่ควรให้มากเกินไปในแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันการรับไม่ไหวของร่างกาย อีกอย่างการขับพิษเช่นนี้ ต้องทำทุกสามวัน หลังจากหนึ่งเดือนแล้วถึงขับพิษออกไปได้หมด” หลิ่วหมิงส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“ได้! คุณชายวางใจเถอะ! รอกลับถึงเสวียนจิง ข้าจะรีบสั่งให้คนของข้าช่วยคุณชายหาสมุนไพรจิตวิญญาณตัวนั้น แต่เรื่องการขับพิษของลูกข้า ยังต้องขอให้คุณชายช่วยต่อไป” ฮูหยินหมีกล่าวโดยไม่ต้องคิด
……………………………………….