“ไม่ผิด มันก็คือเมฆวิญญาณกับปีศาจผึ้ง พอพบเจอกับเจ้ามหันตภัยร้ายสองชนิดนี้ในแดนปีศาจปรโลก ต่อให้จะเป็นศิษย์เก่าอย่างพวกเราถ้าไม่ระวังก็อาจทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นได้ โดยเฉพาะมหันตภัยจากเมฆวิญญาณ เวลาที่มันประทุออกมาจะไม่มีลางบอกเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้คิดที่จะหลบหนีก็ไม่รู้จะหลบอย่างไรแล้ว” มู่อวิ๋นเซียนอธิบาย
“อยากขอให้ศิษย์พี่เล่าให้ฟังโดยละเอียดอีกเล็กน้อย” หลิ่วหมิงเห็นทั้งสองกล่าวจริงจังเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเย็นยะเยือกอย่างอดไม่ได้
“สิ่งที่เรียกว่าเมฆวิญญาณนั้น แท้จริงแล้วก่อเกิดจากปีศาจระดับต่ำในแดนปีศาจที่เรียกว่า ‘ศพวิญญาณ’ ปีศาจชนิดนี้เกิดมาจากปราณหยินเหมือนกัน แต่มันไม่มีพลังในตัวเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเคลื่อนไหวเชื่องช้าราวกับศพ สิ่งเดียวที่สามารถทำให้คนไม่อยากยุ่งกับมันก็คือ พอปีศาจชนิดนี้ตายแล้วจะกลายเป็นเมฆปกคลุมภายในรัศมีหลายจั้ง ทั้งยังมีพิษที่อันตรายเป็นอย่างมาก และอายุขัยของศพวิญญาณนี้สั้นมาก ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นปีศาจระดับที่สูงได้ โดยทั่วไปจะมีอายุขัยไม่กี่ปี และชอบเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มๆ ดังนั้นพอกลุ่มศพวิญญาณรวมตัวกันถึงพันตนขึ้นไป และอายุขัยหมดแล้ว ก็จะกลายเป็นเมฆพิษอันน่าสะพรึงกลัว เมื่อมันถูกลมหยินพัดก็สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ได้สัมผัสมัน และมันยังจะยังเป็นอันตรายเช่นนั้นจนกว่าเมฆพิษจะสลายหายไป ดังนั้นเรียกชื่อมันได้อีกแบบว่า ‘เมฆแห่งความตาย’ ส่วนมหันตภัยแห่งผึ้งปีศาจก่อตัวจากพิษของผึ้งปีศาจชนิดหนึ่ง ฝูงผึ้งปีศาจชนิดนี้ชอบอพยพจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งตามช่วงเวลา มันจะเคลื่อนไหวทีละกว่าหมื่นตัว ถ้าเผชิญกับมันย่อมไม่สามารถต่อกรกับมันได้ ดีที่ฝูงผึ้งปีศาจชนิดนี้มีเส้นทางการอพยพที่แน่นอน แค่ต้องระวังสักหน่อยก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เผชิญหน้ากับมันได้ และนอกเหนือจากเมฆวิญญาณ ผึ้งปีศาจแล้ว ในแดนปีศาจปรโลกนี้ยังมีอันตรายรูปแบบอื่นอีก ศิษย์น้องต้องระวังให้ดี ยกตัวอย่างเช่นถ้าศิษย์น้องพบเจอกับสถานที่ที่ดูคล้ายบึง ต้องระวังปีศาจระดับกลางที่เรียกว่า ‘ปีศาจเน่า’ พวกมัน…” มู่อวิ๋นเซียนค่อยๆ เล่าออกมา
หลิ่วหมิงตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก
มู่อวิ๋นเซียนใช้เวลาเล่าไปทั้งหมดหนึ่งถ้วยชา
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่บอกให้ทราบ ศิษย์น้องไม่ทราบจริงๆ ว่าแดนปีศาจปรโลกจะอันตรายมากถึงเพียงนี้ ดูเหมือนต้องระวังให้มากขึ้นแล้ว” หลิ่วหมิงฟังเสร็จแล้วกุมมือกล่าวขอบคุณอยู่ไม่หยุด
“ศิษย์น้องไป๋ก็ไม่ตัองกังวลจนเกินไป ถึงแม้แดนปีศาจปรโลกนี้จะอันตรายเป็นอย่างมากแต่ถ้าไม่ไปเกินร้อยลี้จากฐานที่มั่นที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งได้สร้างไว้มันยังคงปลอดภัยอยู่ ปีศาจที่แข็งแกร่งก็โดนผู้อาวุโสนิกายเราเก็บกวาดไปหมดแล้ว ในเมื่อศิษย์น้องเพิ่งจะฝึกวิชาสื่อสารจิตวิญญาณก็คงไม่อาจทำให้ปีศาจที่แข็งแกร่งศิโรราบได้ ภายในระยะร้อยลี้คงจะยังมีหวังที่จะหาปีศาจเหมาะสมเจอ! ถึงแม้ครั้งแรกจะหาไม่เจอศิษย์น้องก็ยังสามารถมาได้อีกหลายครั้ง จะต้องได้ปีศาจตามที่ต้องการอย่างแน่นอน” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยประกายตาหยาดเยิ้ม
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ใช่สิ! ในเมื่อศิษย์พี่มู่กับศิษย์พี่ตู้ไม่ได้มาหาปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณ มีอะไรที่ต้องการให้ศิษย์น้องช่วยไหม” หลิ่วหมิงฝืนยิ้มแล้วถามกลับไป
“ขอบคุณในน้ำใจของศิษย์น้อง พวกข้าสองคนอยู่ในนี้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว สิ่งของที่ต้องการหาก็พอจะได้มาบ้างแล้ว ไม่ต้องรบกวนศิษย์น้องแล้วล่ะ” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องก็ขอให้ศิษย์พี่ทั้งสองทำได้สำเร็จโดยเร็ว ศิษย์น้องเองก็ไม่อยากถ่วงเวลาแล้วจะไปสำรวจเส้นทางแถวนี้ก่อน” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วก็กะจะเดินจากไป
“ใช่สิ! ศิษย์น้องไป๋ ถ้าหากยังมีหินจิตวิญญาณล่ะก็ สามารถไปซื้อแผนที่บริเวณแถบนี้กับคัมภีร์โบราณอธิบายเกี่ยวกับปีศาจในแดนปีศาจปรโลกโดยเฉพาะจากผู้เฒ่าปีศาจตนนั้น ถ้ามีสองสิ่งนี้แล้วเชื่อว่าศิษย์น้องจะเดินหาได้ง่ายขึ้น” ตู้ไห่กล่าวเตือนขึ้นมา
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็รู้สึกดีใจ เขากล่าวขอบคุณอีกครั้งแล้วก็กล่าวลาศิษย์พี่ทั้งสอง และเดินจากห้องหินไป
“บอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้กับศิษย์น้องไป๋แล้ว เท่ากับว่าเราได้ตอบแทนน้ำใจของศิษย์น้องในตอนแรกแล้ว” ตู้ไห่รอจนหลิ่วหมิงเดินออกจากห้องแล้วก็หันหน้ากลับมากล่าวกับหญิงสาว
“ไม่ผิด น้ำใจที่เราตอบกลับนี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่สะสมมาจากการเผชิญความเป็นความตายหลายครั้งของพวกเรา ถ้าไม่เช่นนั้นล่ะก็จะยอมบอกกับผู้อื่นง่ายๆ ได้อย่างไร ที่น่าเสียดายก็คือมันหักล้างกันได้พอดิบพอดี ถ้าหากว่าทำให้เขาติดค้างน้ำใจเราได้ล่ะก็คงจะดีกว่านี้” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยคำที่แฝงความหมาย
“โอ้! อวิ๋นเซียน หรือว่าเจ้าเห็นอะไรดีในตัวของศิษย์น้องไป๋” ตู้ไห่ได้ยิน ก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
“ไม่เพียงแต่จะเห็นอะไรดีเท่านั้น ถ้าหากข้าเขียนจดหมายไปบอกพี่ข้าให้มู่หมิงจูหมั้นกับศิษย์น้องไป๋ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวออกมา
“อะไรนะ จะให้มู่หมิงจูหมั้นกับศิษย์น้องไป๋ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอก ตามที่ข้าทราบมามู่หมิงจูมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเด็กหนุ่มผู้มีชีพจรจิตวิญญาณพสุธาผู้นั้น พี่ชายเจ้าจะตอบรับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร” ตู้ไห่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ฮึ! พี่ชายข้าถูกเจ้าเด็กชีพจรจิตวิญญาณพสุธาอย่างเกาชงนั่นมอมเมา ทั้งยังอยากจะได้เขามาเป็นลูกเขย แต่ก็ไม่ลองคิดดูบ้างว่าคุณสมบัติสูงอย่างเกาชงนั้น ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีศิษย์จิตวิญญาณหญิงมากมายเท่าไหร่อยากจะเป็นคู่รักฝึกฝนกับเขา เขาจะแต่งกับศิษย์นิกายสายนอกที่ไม่มีชีพจิตวิญญาณแม้แต่ชีพจรเดียวมาเป็นภรรยาได้อย่างไร พูดแบบไม่น่าฟังก็คือ แม้แต่ความหวังที่มู่หมิงจูจะเป็นภรรยาน้อยยังมีน้อยมาก เหตุที่ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นยังพัวพันกับมู่หมิงจูอยู่ ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าอายุยังน้อยค่อนข้างไร้เดียงสา อีกด้านหนึ่งคืออาจารย์ลุงประมุขนิกายควบคุมเข้มงวดมากย่อมไม่ให้เขาได้เข้าใกล้ชิดกับศิษย์หญิงคนอื่นๆ ส่วนที่มู่หมิงจูได้ติดต่อกับเจ้าเด็กหนุ่มนี้เป็นครั้งคราว เกรงว่าอาจารย์ท่านประมุขอาจวางแผนไว้แล้ว เจ้าอย่าลืมสิว่าตอนนี้เด็กหนุ่มนั่นกำลังฝึกวิชาอะไรอยู่!” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“อะไรกัน หรือว่าอาจารย์ลุงคิดจะให้มู่หมิงจูเป็น…” สีหน้าของตู้ไห่เปลี่ยนไปอย่างมาก จนเผลอหลุดปากกล่าวออกมา
“ไม่ผิด เกรงว่าท่านประมุขคิดที่ให้มู่หมิงจูเป็นเตาหลอมพลังให้กับเจ้าเด็กนั่น“ ครั้งนี้มู่อวิ๋นเซียนตัดคำว่า ‘อาจารย์ลุง’ ทิ้งไปแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ฟังจากที่เจ้าพูด มันค่อนข้างมีโอกาสเป็นไปได้ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ให้มู่หมิงจูหมั้นกับศิษย์น้องไป๋ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว ถึงแม้ศิษย์น้องไป๋จะเป็นศิษย์จิตวิญญาณเหมือนกัน แต่ก็มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณความหวังที่ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายก็มีน้อย และด้วยอิทธิพลของตระกูลมู่เชื่อว่าทางด้านตระกูลไป๋คงจะพอใจกับเรื่องนี้ และตระกูลไป๋มีศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางอย่างศิษย์น้องไป๋แล้วต่อไปอิทธิพลก็จะเพิ่มขึ้นไม่น้อย พอที่จะเป็นกำลังสนับให้ตระกูลมู่แข็งแกร่งอีกแรง แต่ทางด้านมู่หมิงจูนั้นคงจะพูดเกลี้ยกล่อมได้ยาก” ตู้ไห่ถอนหายใจแล้วเปลี่ยนมาเห็นด้วยกับมู่อวิ๋นเซียน
“ตอนนี้มู่หมิงจูยังเด็ก ย่อมไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ข้าจะหาโอกาสพูดเกลี้ยกล่อมให้มากขึ้น แต่เรื่องแต่งงานที่ต้องแจ้งกับตระกูลไป๋นี้จะชักช้าไม่ได้ต้องให้พี่ชายรีบดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว เมื่อมู่หมิงจูไม่ได้เป็นศิษย์จิตวิญญาณเรื่องการแต่งงานนั้นทางตระกูลต้องเป็นคนจัดการ” มู่อวิ๋นเซียนค่อยๆ กล่าวออกมา
“ก็คงต้องทำแบบนี้แล้วล่ะ แต่มู่หมิงจูอาจจะเกลียดเจ้าไปชั่วชีวิต” ตู้ไห่ถอนหายใจกล่าวออกมา
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ยังยืนกรานที่จะทำแบบนี้ ข้าจะไม่ยอมให้นางตกเป็นเตาหลอมพลังที่จะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้” มู่อวิ๋นเซียนกัดฟันพูด
ครั้งนี้ตู้ไห่ก้าวไปข้างหน้าเบาๆ กุมมือเรียวเล็กของมู่อวิ๋นเซียนไว้ และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
มู่เซียนอวิ๋นถอนหายใจออกมาเบาๆ เอาศีรษะพิงไหล่ของตู้ไห่ และไม่กล่าวอะไรออกมาเช่นกัน
ทั้งสองอยู่เงียบๆ อย่างนั้น แต่มีความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
……
มือของหลิ่วหมิงถือแผนที่หยาบๆ ที่ทำมาจากหนังสัตว์ เขากำลังค่อยๆ เหาะอยู่กลางอากาศสูงจากพื้นสามสิบถึงสี่สิบจั้ง
ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากลานกว้างสิบกว่าลี้แล้วและสำรวจดูด้านล่างอย่างระมัดระวังอยู่ตลอด
ถึงแม้มู่อวิ๋นเซียนจะบอกว่าภายในระยะร้อยลี้มีอันตรายไม่ค่อยมาก แต่ด้วยนิสัยของเขายังคงไม่เชื่อทั้งหมด
ระหว่างทางนอกจากปีศาจเลื้อยคลานระดับต่ำอย่างจิ้งเหลนไม่กี่ตัวแล้ว ยังไม่เห็นปีศาจอื่นๆ เลย
หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสถานการณ์เช่นนี้
ผ่านมาหลานพันปี ไม่รู้ว่าศิษย์ของนิกายมากวาดเอาปีศาจแถวนี้ไปแล้วตั้งกี่รอบต่อกี่รอบ ถ้าหากเจอปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณที่เหมาะสมได้ง่ายๆ สักตัวกลับเป็นเรื่องที่แปลกเสียยิ่งกว่าอีก
อึดใจเดียวหลิ่วหมิงก็เหาะออกมาไกลสามสิบถึงสี่สิบลี้แล้วถึงหยุดอยู่หน้าผืนป่าที่มีต้นไม้เตี้ยสีแดง
ป่าเมเปิ้ลหยินนี้ถึงแม้จะมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่เป็นอาหารที่ปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณระดับต่ำอย่าง ‘วัวกระดูกคู่’ ชอบกิน ถึงแม้ที่นี่จะมีคนมาดูแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแต่ก็ยังมีคนโชคดีได้มันกลับไปบ้าง
หลิ่วหมิงบังคับเมฆเหาะวนด้านบนของป่าสีแดงผืนนี้อยู่หลายรอบ แล้วก็พกสีหน้าผิดหวังจากไป
เป้าหมายต่อไปของเขาคือบ่อมืดที่อยู่ไกลออกไปสิบลี้กว่า ที่นั่นคือสถานที่อีกแห่งที่ปีศาจระดับต่ำอย่างศพตะเข้ออกมาปรากฏตัวอยู่บ่อยๆ
แต่ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เขาก็ไปจากบ่อน้ำสีดำที่มีไอสีเทาปกคลุมด้วยความแค้นเคืองใจ และบังคับเมฆไปยังสถานที่อื่น
ภายในเวลาสามสี่วันหลิ่วหมิงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ระบุว่ามีปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณปรากฏตามแผนที่ภายในระยะร้อยลี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย
วันนี้เมื่อเขายืนอยู่เหนือเนินดิน มองไปยังพื้นที่แถวนี้ที่เป็นหลุมว่างเปล่าขนาดใหญ่รูปร่างเหมือนรังนก คิ้วเขาก็ขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขาคิดไม่ถึงว่าการหาปีศาจที่เหมาะสมสักตัวจะยากเย็นถึงเพียงนี้ จะให้หาปีศาจเลื้อยคลานที่แข็งแกร่งน้อยกว่าสัตว์ธรรมดามาเป็นปีศาจสื่อจิตวิญญาณของตนก็คงจะไม่ได้
แต่ที่นี่ก็เป็นสถานที่สุดท้ายภายในระยะรัศมีร้อยลี้ ที่ในแผนที่ระบุว่าอาจจะมีปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณปรากฏออกมา ถ้ายังคิดที่จะหาตามแผนที่ต่อไปล่ะก็ต้องไปยังสถานที่ไกลออกไปอีกสักเล็กน้อย
หลิ่วหมิงคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ และกางแผนที่ออกมาอีกครั้ง เขากวาดสายตามองบนนั้นใหม่อีกรอบ
แผนที่หนังสัตว์ผืนนี้ จะมีข้อมูลที่ระบุบนนั้นยิ่งละเอียดถ้าสถานที่นั้นใกล้กับฐานที่มั่นตรงลานกว้าง แต่ถ้ายิ่งไกลออกไปก็ยิ่งน้อยลง และพ้นออกไปไกลจากรัศมีพันลี้แผนที่นั้นก็จะว่างเปล่า
“ดูท่าจะต้องเสี่ยงกันหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นก็จะเสียร้อยแต้มคุณูปการในครั้งนี้โดนไม่ได้อะไรกลับไปเลย” หลิ่วหมิงเก็บแผนที่แล้วกล่าวพึมพำ
นี่เป็นความสูญเสียที่เขารับไม่ได้!
ต่อให้กลับไปสะสมแต้มคุณูปการแล้วค่อยมาใหม่อีกรอบ ก็ใช่จะรับรองได้ว่าจะได้อะไรกลับไป
……………………………………….