“ในเมื่อพี่เหมี่ยนไม่ยอมบอก แสดงว่าพี่ต้องลำบากใจอยู่แน่นอน แต่ความหวังดีของพี่ข้าจะน้อมรับไว้ ที่ข้ามาเสวียนจิงในครั้งนี้ นอกจากจะหาสมุนไพรจิตวิญญาณมารักษาอาการป่วยของหลานสาวแล้ว ความจริงข้ายังมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องจัดการด้วย เกรงว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้คงไม่อาจจากไปได้ อีกอย่างข้าเองก็ไม่สามารถอยู่จวนเฉียนได้นาน พี่มีที่พักที่เหมาะสมกับผู้ฝึกฝนอิสระแนะนำบ้างหรือไม่?” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวเหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ใจคำพูดของผู้อาวุโส
“ในเมื่อน้องเฉียนจำเป็นต้องอยู่เสวียนจิงล่ะก็ ข้าก็จะไม่พูดเกลี้ยกล่อมแล้ว ความจริงเรื่องราวบางอย่างในเสวียนจิงก็เป็นเรื่องที่ข้าคาดเดาเท่านั้น และข่าวคราวบางอย่างข้าเคยสัญญากับผู้อื่นว่าจะไม่แพร่งพรายออกไป จึงไม่อาจบอกเจ้าได้เช่นกัน แต่ถ้าน้องเฉียนอยากจะเข้าใจสถานการณ์ของเสวียนจิงล่ะก็ เพียงแค่ใช้หินจิตวิญญาณเล็กน้อย ก็สามารถสืบหาเรื่องราวที่เจ้าอยากรู้จากสถานที่ต่างๆ ได้ ส่วนเรื่องที่พักข้ามีข้อแนะนำอยู่สองประการ ประการแรกข้าเห็นว่าท่านเฉียนเหมือนจะดึงเจ้าให้อยู่ด้วย เรือนร้อยวิญญาณนับว่าพอมีอิทธิพลในเสวียนของอยู่บ้าง ถ้าน้องเฉียนยอมเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณล่ะก็ สามารถย้ายไปอยู่กับข้าได้ ตอนนี้ข้าพักอยู่กับแขกอีกสองคน พอถึงตอนนั้นข้าจะแนะนำให้น้องเฉียนได้รู้จัก แน่นอนว่าถ้าเจ้าไม่อยากเข้าร่วมกับเรือนร้อยวิญญาณล่ะก็ ก็ไปเช่าถ้ำที่เขาเซียนทอแสงชั่วคราวได้ เขาเซียนทอแสงเป็นของราชสำนัก บรรยากาศเงียบสงบ และมีพลังปราณหนาแน่น ทั้งยังไม่อนุญาตให้ผู้คนต่อสู้กันบนนั้น นับว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ด้วยระดับคุณภาพของมันทำให้ค่าเช่าค่อนข้างสูง เกรงว่าผู้ฝึกฝนอิสระอย่างพวกเราจะไม่สามารถอยู่ได้นาน ส่วนสถานที่ที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่านั้นก็ยังมีสถานที่อื่นอยู่สองสามที่ แต่ส่วนมากมีอิทธิพลขนาดใหญ่หนุนหลัง ค่อนข้างวุ่นวาย ปราณฟ้าดินก็เทียบกับเขาเซียนทอแสงไม่ติด ยกตัวอย่างเช่นหอคุณธรรมใต้ ความจริงแล้วเป็นหอที่องค์ชายใหญ่แอบสนับสนุนให้เปิด และยังมีบ้านกลีบเมฆที่พรรควิญญาณมืดแอบสนับสนุนอยู่เบื้อหลัง” ผู้อาวุโสเหมี่ยนอธิบายให้หลิ่วหมิงฟังอย่างละเอียด
“พรรควิญญาณมืด?”
พอหลิ่วหมิงได้ยินคำทั้งสามคำนี้ สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
ข้อมูลที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยมอบให้ก่อนที่เขาจะมานั้น มีข้อมูลเกี่ยวกับพรรควิญญาณมืดมากที่สุด
พรรคนี้ปรากฏตัวในเสวียนจิงเมื่อสามสิบปีก่อน พูดได้ว่าสมาชิกพรรคมีความลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
เล่ากันว่าผู้ทำงานในพรรคมีไม่มาก แต่เป็นผู้ฝึกฝนนอกรีตที่มีอิทธิพลแข็งแกร่ง เวลาทำงานจะปิดบังใบหน้าไว้ แม้แต่พวกกันเองก็ไม่รู้จักกัน และเรียกขานกันด้วยฉายาเท่านั้น
พอพรรคนี้ปรากฏตัวในเสวียนจิง ย่อมถูกผู้มีอิทธิพลร่วมมือกันต่อต้าน แต่ผู้ที่ลงมือเป็นกลุ่มแรกคือ ‘หอกิเลนโลหิต’ ที่เดิมทีเป็นหนึ่งในห้ากลุ่มที่มีอิทธิพลใต้ดินมากที่สุดในเสวียนจิง ภายในคืนเดียวศิษย์จิตวิญญาณของหอกิเลนโลหิตก็ถูกสังหารตายไปจนหมดด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยม หลังจากนั้นกลุ่มผู้มีอิทธิพลอื่นในเสวียนจิงก็เกิดความหวาดกลัว จนต้องหยุดการต่อต้านพรรควิญญาณมืดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
และหลังจากที่พรรควิญญาณมืดได้รับช่วงทรัพยากรของหอกิเลนโลหิตแล้ว ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพอใจกับสิ่งที่มี และไม่ขยายอิทธิพลอีก
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มผู้มีอิทธิพลพลที่เดิมทีคิดจะร่วมมือด้วย ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ขณะเดียวกันกันก็ยอมรับตำแหน่งของพรรควิญญาณมืดในเสวียนจิงไปโดยปริยาย
การปรากฏตัวของพรรควิญญาณมืดแปลกประหลาดเช่นนี้ ศิษย์ตรวจตราของแต่ละนิกายที่อยู่ในเสวียนจิงต่างก็เคยหาวิธีสืบหาเบื้องหลังที่แท้จริง
แต่น่าเสียดายที่สมาชิกพรรคนี้ลึกลับซับซ้อนมาโดยตลอด ทั้งยังปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนน้อยมาก จึงไม่ได้เบาะแสอะไร และไม่สามารถหาตัวผู้บงการที่แท้จริงได้
ตอนนี้ผู้อาวุโสเหมี่ยนพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขา ย่อมทำให้ใจเข้าเต้นขึ้นมา
“น้องเฉียนก็เคยได้ยินชื่อเสียงของพรรควิญญาณมืดด้วยหรือ? อ๋อ! นี่ก็ไม่แปลก! สำหรับผู้ฝึกฝนอิสระอย่างพวกเราแล้ว พรรควิญญาณมืดเป็นหนึ่งในสามของกลุ่มอิทธิพลในเสวียนจิงที่พวกเราไม่สามารถหาเรื่องได้ เพราะคนในพรรคนี้ลึกลับเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นผู้ฝึกฝนนอกรีตที่ชำนาญการสังหาร ถ้าผู้ฝึกฝนอิสระอย่างพวกเราไปล่วงเกินเข้าล่ะก็ เกรงว่าคงไม่สามารถหาสาเหตุการตายได้ ดังนั้นถ้าหลบได้ให้หลบไปไกลๆ ยิ่งไกลยิ่งดี” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ! นอกจากพรรควิญญาณมืดแล้ว ยังมีกลุ่มอิทธิพลไหนที่ไม่ควรไปหาเรื่องอีก?” หลิ่วหมิงถามด้วยความแปลกใจ
“แน่นอนว่าต้องเป็นราชสำนักกับนิกายใหญ่ทั้งห้า ถ้าเจ้าล่วงเกินกลุ่มอิทธิพลอื่นเข้า อย่างมากก็แค่หนีออกไปจากเสวียนจิงในคืนนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับผู้ฝึกปรานอิสระอย่างพวกเราได้แล้ว แต่ถ้าไปล่วงเกินผู้คนในราชสำนักกับนิกายใหญ่ทั้งห้าเข้า ต่อให้เจ้าหนีออกไปจากเสวียนจิงก็ไม่อาจหนีการตามฆ่าในแคว้นต้าเสวียนได้ ห้านิกายใหญ่ไม่ต้องพูดถึง พวกเขาถือว่าเป็นผู้บงการแคว้นต้าเสวียนที่แท้จริง ศิษย์ตรวจตราที่อยู่ในเสวียนจิงยิ่งลึกลับซับซ้อนกว่ามาก คนธรรมดาไม่อาจพบเจอพวกเขาได้ และราชสำนักเป็นอิทธิพลทางโลกที่ทั้งห้านิกายใหญ่รวมกันสร้างขึ้นมา ถึงแม้จะไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกฝนระดับอาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไปเข้ามา แต่ผู้ฝึกปราณที่เป็นทหารหน่วยกิเลนเงินนั้นมีหลายหมื่นคน ศิษย์จิตวิญญาณที่ถูกเชื้อเชิญให้มารับตำแหน่งก็มีหลายร้อยคน ขอเพียงแค่ราชสำนักเอาจริง ก็สามารถกวาดล้างอิทธิพลน้อยใหญ่ในเสวียนจิงได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ที่ตอนนี้ในเสวียนจิงมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้ ก็เพราะราชสำนักทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวอย่างลึกซึ้ง
“ขอบคุณพี่เหมี่ยนที่เตือน ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้า แล้วตอบกลับราวกับคิดอะไรอยู่
ทั้งสองพูดคุยกันต่อได้ไม่นาน ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็กล่าวคำอำลา
แต่หลังจากที่ผู้อาวุโสออกไปจากห้องรับรองแล้ว กลับมุ่งตรงไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนเฉียน
ที่นั่น เฉียนเชาที่เป็นเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณกำลังพูดอะไรบางอย่างกับฮูหยินหมีอยู่ สีหน้าเขาดูโกรธเล็กน้อย แต่พอเหลือบไปเห็นผู้อาวุโสเหมี่ยน ก็ลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ผู้อาวุโสเหมี่ยนในที่สุดท่านก็มา ท่านลองหยั่งเชิงดูหรือยังว่า คุณชายไป๋ยอมเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณหรือไม่?”
“ช่างละอายยิ่งนัก ข้าเกรงว่าจะต้องทำให้ท่านผิดหวังเสียแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าเขาจะมาเข้าร่วมกับเรือนร้อยวิญญาณ แต่ดูเหมือนว่าจะยังอยู่ในเสวียนจิงซักระยะหนึ่ง และภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้เขาจะยังไม่ไปจากเสวียนจิง” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าว
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่คุณชายเฉียนไม่รีบไปจากเสวียนจิง เรือนร้อยวิญญาณของเราก็ยังมีโอกาสดึงเขามาเป็นพวก น่าเสียดายที่เรือนร้อยวิญญาณของเราไม่มีหญ้าน้ำแข็งเงิน คงต้องไปรวบรวมจากร้านค้าอื่น เกรงว่าคงใช้เวลาสักระยะหนึ่ง” พอฮูหยินหมีได้ยินในตอนแรกก็คิ้วขมวดขึ้นมา แต่ก็ผ่อนคลายออกมาก่อนที่จะกล่าวออกไป
“เรื่องหญ้าน้ำแข็งเงิน ข้าได้เร่งรัดให้คนไปจัดการแล้ว ถ้าในเสวียนจิงมีสมุนไพรจิตวิญญาณตัวนี้ล่ะก็ จะต้องหาเจออย่างแน่นอน ที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ หน่วยเงาปีศาจของท่านอ๋องสามช่วยสืบหาตัวการที่สั่งลอบสังหารฮูหยินกับหู่เอ๋อร์ในก่อนหน้านั้นได้แล้ว ที่แท้มันก็คือเจ้าอ้วนมู่แห่งหอรวมสมบัติ” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“เดิมทีหอรวมสมบัติกับเรือนร้อยวิญญาณเราก็เป็นคู่แข่งทางการค้า อีกอย่างองค์ชายเก้าที่หนุนหลังเขา กับท่านอ๋องสามที่หนุนหลังท่านก็ไม่ถูกกันด้วย พวกเขาทำเรื่องแบบนี้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด” ผู้อาวุโสเหมี่ยนได้ยินก็ฟั่นหนวดแล้วกล่าวออกมา
“ข้าส่งคนคอยตามดูเจ้าอ้วนมู่แล้ว มันฉลาดมาก ตอนนี้มันหลบอยู่ในจวนทั้งวันไม่ยอมออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว แต่ข้าได้สั่งให้สาขาที่อยู่ในแต่ละเขตเพิ่มการโจมตีและกดดันการค้าของหอรวมสมบัติ เรื่องนี้จะปล่อยเลยไปไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นเรือนร้อยวิญญาณของพวกเราจะอยู่ในเสวียนจิงอย่างมั่นคงได้อย่างไร?” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นกล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด
“ท่านพี่ไม่ต้องโมโห ที่จริงยังมีเรื่องสำคัญกว่าการแก้แค้นหอรวมสมบัติ เรื่องสำคัญของพวกเราในตอนนี้คืองานประมูลซื้อขายในครั้งนี้จะต้องสำเร็จ อย่าลืมสิ! เพื่ออำนาจการประมูลในครั้งนี้ เรือนร้อยวิญญาณต้องจ่ายค่าตอบแทนอันน่าตกใจไปไม่ใช่น้อย จะพ่ายแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด แต่จนถึงตอนนี้ยังหารายการสิ่งของที่มาประมูลได้ไม่เพียงพอ” ฮูหยินหมีกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
พอได้ยินคำพูดของฮูหยินใบหน้างดงาม ความโกรธบนใบหน้าของชายชุดคลุมผ้าดิ้นก็หายไป แต่หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยแล้วก็กล่าวอย่างมีแผนในใจ
“ฮูหยินวางใจเถอะ! ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่ารายการของประมูลอย่างอื่นหาได้จากสาขาแห่งหนึ่งแล้ว ทั้งยังอยู่ในระหว่างการขนส่งมาเสวียนจิงพร้อมกับรายการของประมูลอื่นๆ จะต้องทันเวลาประมูลอย่างแน่นอน”
“อะไรนะ หาได้แล้ว ช่างดีเสียจริง แต่หอรวมสมบัติคงไม่ลงมือกับของประมูลเหล่านี้อีกนะ?” ฮูหยินหมีได้ยินในทีแรกก็รู้สึกดีใจ แต่ก็กล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ไม่ต้องกังวลเรื่องการคุ้มกันขนส่ง! ครั้งนี้ข้าไม่เพียงแต่ให้แขกคนสำคัญสองท่านออกไปรับของประมูลในคืนวันนั้น แต่ยังให้ให้หน่วยเงาปีศาจของท่านอ๋องสามออกไปด้วยกลุ่มหนึ่ง จะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นกล่าวอย่างมั่นใจ
“หน่วยเงาปีศาจของท่านอ๋องสามล้วนเป็นผู้ฝึกปราณที่แข็งแกร่ง กอปรกับยังมีสหายอีกสองท่านออกไปพร้อมกัน จะต้องไม่มีผิดพลาดอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสเหมี่ยนฟังถึงจุดนี้ก็พยักหน้าขึ้นมา
“อืม! แต่ความปลอดภัยของสถานที่ประมูลก็สำคัญมาก ข้าต้องหารือกับผู้อาวุโสเหมี่ยนเล็กน้อย ท่านคิดว่าชั้นจำกัดในสถานที่ประมูล…” หลังจากที่ชายชุดคลุมผ้าดิ้นมีสีหน้าผ่อนคลายแล้ว ก็หารือเกี่ยวกับเรื่องการประมูลกับผู้อาวุโส
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ทิ้งเด็กหญิงไว้ในห้อง ส่วนตนเองกลับมาอยู่นอกประตูหลังของจวนเฉียนอย่างเงียบๆ
ข้ารับใช้สองคนที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ย่อมจำแขกคนสำคัญอย่างหลิ่วหมิงได้ พวกเขารีบเปิดประตูหลังให้เขาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
พอเดินออกจากประตูหลังของจวนเฉียนแล้ว เขาก็เดินไปตามทางเล็กๆ จนมาถึงถนนใหญ่สายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล และเข้าไปปะปนกับฝูงชนอย่างรวดเร็ว
ก่อนมาเสวียนจิง เขาได้จดจำเส้นทางสำคัญจากแผนที่ไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกแปลกกับถนนที่เดินเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นหลังจากที่เขาเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาไม่นานก็ทะลุถนนไปหลายสาย สุดท้ายก็มาโผล่ที่หน้าตรอกเงียบสงัดแห่งหนึ่ง และหายเข้าไปในตรอกอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน ชายหน้าตาธรรมดาที่สวมชุดคลุมสีเทาก็เหมือนจะเดินมาถึงหน้าตรอกอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากที่กวาดตามองกลางตรอกผ่านๆ แล้ว สีหน้ากลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
เห็นชัดๆ ว่าในตรอกว่างเปล่า และเป็นตรอกตัน แต่กลับไม่มีเงาคนอยู่เลย
ภายใต้ความกระวนกระวาย เขารีบเดินเข้าเดินไปในตรอกเพื่อหาเส้นสนกลใน โดยไม่ทันได้คิดอะไร
แต่ขณะนั้นเอง ก็มีพายุพัดมาที่หลังอย่างรุนแรง เขาเพียงแค่รู้สึกเจ็บต้นคอ จากนั้นตาทั้งสองก็มืดดำก่อนที่จะล้มลงไปบนพื้น
……………………………………….