“ไม่ได้ ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อหลายปีก่อน อิทธิพลใหญ่หลายกลุ่มต่างก็ค่อนข้างให้ความสนใจกับพวกเราแล้ว ถ้ามีผู้ฝึกฝนอิสระหายไปอีกล่ะก็ เกรงว่าคงจะทำให้พวกเขาระวังตัวมากขึ้น ใช้ตัวตนที่เปิดเผยของพวกเราดึงผู้ฝึกฝนอิสระเข้าจวนจะดีกว่า จากนั้นก็ทำให้พวกเขาหายไปอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว” เงาดำรูปร่างสูงใหญ่ส่ายหน้ากล่าวออกมา
“ในเมื่อมีวิธีที่เชื่อถือได้มากกว่า ข้าย่อมไม่ขัดข้อง ใช่สิ! ทางด้านราชสำนักไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม? ทำไมข้าถึงได้ยินข่าวคราวมาว่าแขกระดับจิตวิญญาณทองคำก็เหมือนจะเริ่มสืบค้นเรื่องของพวกเราแล้ว” เงาดำเงาสุดท้ายพยักหน้า และถามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แขกระดับจิตวิญญาณทองคำ! นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากเข้าแล้ว แขกในราชสำนักเหล่านี้ พอเรากระทบโดนคนหนึ่งก็เท่ากับกระทบโดนรังแตนทั้งรัง พวกเขาเหมือนจะเป็นแขกของราชสำนัก แต่แท้ที่จริงแล้วทำงานให้เชื้อราชวงศ์มากกว่า แต่ถ้าคนในราชสำนักให้ความสนใจพวกเราล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่ได้รับข่าวนี้ ตอนนี้คงจะเป็นการกระทำของแขกบางคนมากกว่า เอาอย่างนี้เถอะ! กลับไปข้าจะหาคนสืบหาต้นตอของข่าวนี้แล้วค่อยว่ากันอีกที แต่ก่อนอื่นอย่าเพิ่งไปยั่วเย้าแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเหล่านั้น เชื้อพระวงศ์แตกต่างกับนิกายทั้งห้าที่อยู่ห่างไกลหมื่นพันลี้ หากรู้เรื่องพวกเราทั้งหมดล่ะก็ เกรงว่าคงจะลงมือในทันที และคงจะจัดการพวกเราด้วยความยินดี อีกอย่างด้วยอำนาจของเชื้อพระวงค์ในแคว้นต้าเสวียน เกรงว่าคงจะแอบฝึกฝนอาจารย์จิตวิญญาณของตนเองอย่างเงียบๆ ตั้งนานแล้ว เพียงแค่ไม่กล้าให้พวกเขาโผล่หน้าออกมาเท่านั้น” เงาดำรูปร่างสูงใหญ่กล่าวออกมา
“อะไรนะ เชื้อพระวงศ์มีอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว เจ้าได้ยินข่าวอะไรมา?” เงาดำคนที่สองกล่าวออกมาด้วยความตกใจ
“เรื่องนี้ข้าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดมายืนยัน เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น” เงาดำรูปร่างสูงใหญ่ส่ายหน้ากล่าวออกมา
“ต่อให้จะเป็นเรื่องจริง อาจารย์จิตวิญญาณของเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ก็ไม่น่าหวาดกลัวเท่าใดนัก เพียงแค่พวกเขาเผยร่องรอยต่อหน้าผู้คนเพียงหนึ่งคน เกรงว่าสิ่งแรกที่นิกายใหญ่ทั้งห้าจะทำคือกำจัดทั้งราชวงศ์ เอาอย่างนี้เถอะ! กลับไปข้าจะให้คนของข้าหลบเลี่ยงแขกระดับจิตวิญญาณทองคำนี้ให้มากที่สุด ดีที่แค่ต้องอดทนให้พ้นครึ่งปีนี้ไปเท่านั้น ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างราบเรียบ” เงาดำคนสุดท้ายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา
“อืม! คงได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว” เงาดำคนที่สองถอนหายใจกล่าวออกมา
ต่อมาทั้งสามก็คุยกันต่อซักพักแล้วก็พากันลุกขึ้นไปและออกไปจากโถงใหญ่
……
เมื่อหลิ่วหมิงกลับเข้าเสวียนจิงอีกครั้ง ก็เป็นช่วงเวลาบ่ายแล้ว
ตอนนี้เขากลายเป็นนักพรตวัยกลางคนที่มีหนวดเครายาว และกำลังเดินอยู่บนถนนของเสวียนจิงที่ดูคึกคักสายหนึ่ง
ทันใดนั้นเขาก็ขยับตัวเลี้ยวไปยังตรอกด้านข้างที่ดูธรรมดาตรอกหนึ่ง
ตรอกนี้นับว่าไม่ลึกมาก แต่ทั้งสองด้านกลับมีร้านค้าเจ็ดแปดแห่งที่มีเครื่องหมายแบบต่างๆ
หลิ่วหมิงเดินเข้าไปไม่กี่เก้า ก็มาหยุดอยู่หน้าร้านขายโลงที่มีธงสีขาวแขวนอยู่ แล้วเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
“ลูกค้า ท่านต้องการสั่งซื้อโลงไม้?”
ชายวัยกลางคนหลังค่อมกำลังขัดโลงไม้ด้วยสีเคลือบเงาสีดำ พอเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็รีบวางสิ่งของในมือแล้วเดินมากระแอมไอก่อนกล่าว
หลิ่วหมิงพินิจดูชายหลังค่อมตรงหน้าสองสามทีแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาหยิบป้ายที่เปล่งประกายแสงสีเงินแวววาวออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นไปด้านหน้า
พอชายหลังค่อมที่มีสีหน้านิ่งสงบได้เห็นแผ่นป้าย สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป และขยับตัวปิดประตูร้านด้วยความรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็กลับมายืนตรงหน้าหลิ่วหมิง และหยิบป้ายเหล็กสีดำออกมาจากตัว
ดูจากขนาดรูปร่างของมัน นอกจากสีที่แตกต่างแล้ว อย่างอื่นก็ดูคล้ายกับป้ายของหลิ่วหมิงเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงกระตุกหางคิ้ว และสะบัดข้อมือ โยนป้ายเงินออกไป
ชายหลังค่อมเห็นเช่นนี้ ก็โยนป้ายเหล็กสีดำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงคว้าป้ายเหล็กสีดำไว้แน่น เขากวาดตาดูผ่านๆ แล้วก็ส่งพลังเวทย์เข้าไปเล็กน้อย
ค่ายกลอักขระสีดำปรากฏขึ้นบนป้ายเหล็ก และมีอักขระสีดำแปลกประหลาดหลายตัวลอยขึ้นมา
หลังจากที่หลิ่วหมิงดูอักขระเหล่านี้จนชัดเจนแล้ว ถึงพยักหน้าแล้วเก็บพลังเวทย์เข้าไป แสงบนป้ายเหล็กก็ดับลงแล้วกลับคืนสภาพดังเดิม
เวลานี้ ชายหลังค่อมผู้นั้นกลับหยิบขวดเล็กๆ ออกมาใบหนึ่ง และเทของเหลวอะไรบางอย่างลงบนป้ายเงิน หลังจากที่ตรวจดูสิ่งของบนมืออย่างละเอียดแล้ว ถึงโยนป้ายเงินคืนหลิ่วหมิงอย่างโล่งอก
“สถานะของท่านถูกต้อง ข้าเป็นสายลับที่ทางนิกายเตรียมไว้ คิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับคนในนิกายเสียแล้ว”
“ข้าเป็นผู้ที่มารับภารกิจศิษย์ตรวจตราเสวียนจิงคนใหม่ เจ้ารู้เรื่องที่ศิษย์ตรวจตราคนก่อนหายไปหรือไม่?” หลิ่วหมิงโยนป้ายเหล็กสีดำคืนให้ให้ฝ่ายตรงข้ามแล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ใยท่านต้องใช้คำพูดทดสอบข้าด้วยเล่า! ข้าเป็นสายลับของนิกาย พลังเวทย์แต่เดิมได้ถูกทำลายไปนานแล้ว ปกติไม่สามารถสืบหาเรื่องราวใดๆ ได้ และก็ไม่ได้พบเจอกับศิษย์จิตวิญญาณคนใด เป็นแค่คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในเสวียนจิงเท่านั้น มีประโยชน์อย่างเดียวคือเป็นช่องทางติดต่อนิกายให้กับคนอย่างท่านในเวลาสำคัญเท่านั้น ในเมื่อท่านมาหาข้า ดูท่าช่องทางการติดต่อที่เปิดเผยคงจะถูกทำลายไปแล้ว” ชายหลังค่อมกล่าวอย่างช้าๆ
“ดีมาก! เจ้าเก็บซ่อนตัวตนได้ดีมาก มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้” หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด แต่กลับพยักหน้ากล่าวชื่นชม
“ท่านตามข้ามาเถอะ! ค่ายกลที่สามารถติดต่อกับนิกายได้ถูกซ่อนอยู่ใต้ดิน ข้าได้ลงไปตรวจสอบทุกปีเว้นปี แต่การใช้งานครั้งล่าสุดคือเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว” ชายหลังค่อมถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินตามเขาไปหลังร้าน
พวกเขาเดินทะลุลานเล็กๆ แล้วเดินเข้าไปห้องที่ดูธรรมดาๆ
ห้องนี้ไม่กว้างมากนัก นอกจากมีเตียงหลังหนึ่ง โต๊ะหนึ่งตัว กับเก้าอี้สองตัวแล้ว ก็ไม่มีเครื่องเรือนอื่นๆ อีก
ชายหลังค่อมก้าวไปที่เตียงไม่กี่ก้าว และใช้มือทั้งสองออกแรงดึงกลไกที่อยู่ใต้เตียงทันที
เสียงดัง “ครอกแครก!” เตียงค่อยๆ แยกจากตรงกลางออกมาเป็นสองส่วน เผยให้เห็นถึงอุโมงค์มืดๆ แห่งหนึ่ง และยังมีบันไดหินง่ายๆ ที่ทอดยาวลงไปด้านล่าง
ชายหลังค่อมควักเอาไฟพกพาออกมาอันหนึ่ง พอสะบัดไปหนึ่งทีมันก็ลุกพรึ่บขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็เดินลงบันไดไป
หลิ่วหมิงมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตามติดลงไป
หลังจากที่ทั้งสองเดินเข้าไปไม่นาน ก็มีเสียงกลไกดังมากจากเตียงที่แยกออกจากกัน หลังจากนั้นมันก็ปิดประกบเข้าหากันอีกครั้ง
ทั้งสองเดินลงไปประมาณสามสิบกว่ากว่าจั้ง ในที่สุดก็มาถึงห้องหินใต้ดินที่ค่อนข้างใหญ่ห้องหนึ่ง
ในห้องหินใต้ดินที่มีขนาดไม่เกินสิบกว่าจั้งนี้ มีค่ายกลค่อนข้างใหญ่ที่วางไว้แล้ว รอยเว้าตรงขอบล้วนมีผลึกหินสีขาววางไว้แต่แรกแล้ว
ใจกลางค่ายกลมีแท่นหินกลมๆ สูงจั้งกว่าๆ บนพื้นผิวของมันถูกจารึกด้วยอักขระจิตวิญญาณจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่ามันคือค่ายกลขนาดเล็ก
“นี่คือค่ายกลที่ใช้ส่งข่าว ถึงแม้จะอยู่ห่างกันไกล ก็สามารถส่งข่าวกลับไปนิกายได้ภายในพริบตา แต่มันก็สิ้นเปลืองผลึกหินฟ้าอย่างน่าตกใจ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ส่งข่าวให้สั้นหน่อยจะดีที่สุด วิธีการใช้ท่านคงเคยเรียนมาแล้ว ข้าเองก็จะไม่พูดอะไรมาก” ชายหลังค่อมกล่าว
“อืม! ก่อนมาข้าได้ดูวิธีใช้มาบ้าง” หลิ่วหมิงจ้องมองแท่นหิน และคิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดขึ้นมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปเฝ้าอยู่ด้านนอก เมื่อท่านใช้เสร็จแล้วก็ขึ้นไปได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าคลื่นพลังของค่ายกลนี้จะถูกค้นพบเข้า ห้องหินนี้ถูกก่อสร้างมาจากวัสดุพิเศษ สามารถซึมซับคลื่นพลังได้” ชายหลังค่อมพยักหน้ากล่าว จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไป
หลิ่วหมิงเดินวนค่ายกลอยู่สองสามรอบ แล้วถึงยกมือขึ้นมาทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นลำแสงสีเขียวก็พุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก และจมหายเข้าไปในค่ายกล
พริบตานั้น ค่ายกลทั้งหลังก็เริ่มส่งเสียงดังหวึ่งๆ อักขระเปล่งประกายออกมารอบด้าน…
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงก็ไปจากร้านขายโลง แล้วเดินออกไปจากตรอกอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน และปรากฏตัวบนถนนอีกครั้ง
เขาใช้เวลาที่เหลือเดินเที่ยวเล่นอยู่บนท้องถนนแถวนั้น
เมื่อท้องฟ้าใกล้มืด เขาก็เดินเข้าไปในตรอกเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง แต่พอออกมาจากปลายทางอีกด้าน เขาก็กลับมาเป็นบัณฑิตหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีเหมือนเดิม และค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปยังประตูหลังของจวนเฉียน
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงที่พักผ่อนไปแล้วทั้งคืนก็ออกไปทางประตูหลังของจวนเฉียนอีกครั้ง
ครั้งนี้เขามุ่งตรงไปเรียกรถม้าคันหนึ่งที่อยู่บนถนน หลังจากที่พูดกำชับคนขับรถแล้วก็มุ่งหน้าไปเขาเซียนทอแสง
เขาเซียนทอแสงแตกต่างจากเขาเล็กๆ ลูกอื่นที่อยู่นอกเสวียนจิง ในตัวเสวียนจิงมีสิ่งก่อสร้างจำนวนหนึ่งที่สร้างตามเขา และเขาทอแสงทั้งลูกก็เป็นของราชสำนัก บนเขาไม่เพียงแต่มีทหารชุดเกราะของราชสำนักตั้งมั่นอยู่ตลอดปี ทั้งยังเป็นสถานที่ที่มีพลังปราณหนาแน่น ซึ่งมันถูกจัดสรรให้กับแขกระดับจิตวิญญาณทองคำของราชสำนัก
ถ้ำที่คนนอกสามารถเช่าพักได้นั้น แท้จริงแล้วเป็นสถานที่ที่มีพลังปราณน้อยสุดของเขาเซียนทอแสง
แต่อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการเช่าถ้ำเหล่านี้ก็แพงจนน่าตกใจ มันเพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกฝนอิสระรู้สึกปวดใจได้ ดังนั้นการทำการค้าโดยให้เช่านี้จึงไม่ค่อยดีนัก มีผู้ฝึกฝนอิสระจริงๆ ไม่กี่คนที่เช่าอยู่บนเขาเซียนทอแสง
เมื่อหลิ่วหมิงมายืนอยู่ในห้องโถงใหญ่บนเขาเซียนทอแสง และแจ้งประสงค์ขอเช่าถ้ำระดับกลางในระยะยาว ทำให้ผู้ดูแลที่อยู่ตรงหน้าเขายิ้มออกมาด้วยความดีใจ
เขาเปิดแผนที่แสดงตำแหน่งต่างๆ ของถ้ำให้หลิ่วหมิงดูในทันที เพื่อให้หลิ่วหมิงเลือกสถานที่ที่เหมาะสม
หลิ่วหมิงจ้องมองแผนที่ และถามเกี่ยวกับสถานที่ตนเองสนใจสองสามแห่งอย่างไม่ใส่ใจ ในที่สุดก็เลือกตำแหน่งที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งมีลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่านหน้าถ้ำพอดี
ผู้ดูแลนำเขาไปดูถ้ำแห่งนั้นด้วยตนเอง หลังจากที่เขารู้สึกค่อนข้างพอใจ ก็ได้จ่ายค่าเช่าเป็นเวลาหนึ่งปีด้วยหินจิตวิญญาณหลายพันก้อน จากนั้นก็รับป้ายอนุญาตเข้าออกถ้ำมาจากผู้ดูแลที่ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เหมือนว่าถ้ำเหล่านี้จะมีค่ายกลง่ายๆ วางไว้ ถ้าไม่มีป้ายอนุญาตแล้วบุกเข้ามาโดยพลการล่ะก็ หน่วยลาดตระเวนบนเขาจะรับรู้ได้ในทันที ดังนั้นเมื่อเทียบกับสถานที่อื่นๆ แล้ว เขาเซียนทอแสงนี้นับว่าปลอดภัยกว่ามาก
เมื่อหลิ่วหมิงไปจากเขาเซียนทอแสงแล้วก็ไม่ได้กลับเข้าจวนเฉียนในทันที เขาเดินเตร่ไปตามที่ต่างๆ ของเสวียนจิงเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน
เมื่อเขากลับถึงจวนเฉียนในเย็นนั้น ที่พักของเขาก็มีคนผู้หนึ่งมาคอยอยู่นานแล้ว
……………………………………….