“เย็นขนาดนี้แล้ว ทำไมเถ้าแก่เฉียนถึงมาอยู่นี่ได้ หรือว่ามีเรื่องด่วนอันใด?” พอหลิ่วหมิงเห็นคนที่อยู่ในห้องก็กล่าวออกมาด้วยความแปลกใจทันที
คนผู้นี้ก็คือเฉียนเชาเจ้าของจวนเฉียนนั่นเอง
“คุณชายเฉียน ที่ข้ามาถึงที่นี่ความจริงต้องการมาบอกข่าวแก่ท่าน หญ้าน้ำแข็งเงินที่คุณชายต้องการ คนของข้าซื้อจากร้านค้าอื่นมาได้ต้นหนึ่ง แต่ต้องขอให้คุณชายตรวจสอบดูก่อนว่าใช้ได้หรือไม่?” เฉียนเชาลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเรื่องจริงหรือ! ขอข้าดูหน่อยเถอะ!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เฉียนเชานำกล่องไม้ออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้หลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงรับกล่องไม้มาเปิดออก เผยให้เห็นถึงหญ้าสีเงินจางๆ ที่มีใบสามใบต้นหนึ่ง ซึ่งมันแผ่ไอเย็นสะท้านออกมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ แววตาเคร่งขรึมก็เปล่งประกายออกมา มือเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดร็วก่อนที่จะหยิบเข็มเงินยาวหลายชุ่นออกมา
มือข้างหนึ่งประคองกล่องไม้ อีกข้างก็คีบเข็มเงินไว้แน่น จากนั้นก็แทงลงไปบนใบไม้…
เสียงดัง “ซี๊ดๆ!”
พริบตาที่เข็มเงินแทงลงบนใบไม้สีเงินนั้น ความรู้สึกเย็นสะท้านก็แผ่ผ่านเข็มเงิน และพุ่งตรงมายังนิ้วหลิ่วหมิง
นิ้วมือหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวอย่างพร่ามัว เพื่อดึงเข็มเงินออกมา จากนั้นเขาก็มองไปที่เข็มเงิน
เข็มเงินครึ่งหนึ่งถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งบางๆ
“ไม่ผิด! สิ่งนี้คือหญ้าน้ำแข็งเงินที่มีอายุอย่างน้อยห้าสิบปี มันเพียงพอที่จะนำมารักษาอาการป่วยของหลานสาวข้าแล้ว ครั้งนี้คงลำบากเถ้าแก่เฉียนแล้ว ข้าน้อยขอรับไว้อย่างไม่เกรงใจล่ะนะ!” พอหลิ่วหมิงเห็นสภาพการณ์บนเข็มเงินอย่างชัดเจนแล้ว ก็กล่าวออกมาด้วยความโล่งใจ ขณะเดียวกันเข็มเงินบนมือก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ่อๆ! ขอเพียงแค่หญ้าน้ำแข็งเย็นต้นนี้ใช้ได้ผลก็พอแล้ว ของสิ่งนี้เดิมทีฮูหยินข้าได้รับปากหาให้ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านได้ช่วยชีวิตไว้ ตอนนี้ข้าเพิ่งจะหามาได้ ควรเป็นข้าที่ต้องกล่าวขอโทษจึงจะถูก” เฉียนเชากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เถ้าแก่เฉียนเกรงใจเกินไปแล้ว ตอนนั้นข้าสะดวกมือช่วยเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตัว จากนั้นก็ปิดฝากล่องแล้วนำหญ้าน้ำแข็งเงินนี้ไปเก็บอย่างระมัดระวัง
“ความจริงที่ข้ามาในครั้งนี้ยังมีเรื่องอื่นอีก แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่?” เฉียนเชาเห็นหลิ่วหมิงรับกล่องไม้ไว้แล้ว ก็ทำให้เขายิ้มกว้างมากกว่าเดิม
“หืม! เถ้าแก่เฉียนมีอะไรก็พูดมาเถอะ!” หลิ่วหมิงได้ยินก็คิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ข้าได้ยินฮูหยินบอกว่าคุณชายเฉียนพอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรือนร้อยวิญญาณมาบ้าง ไม่ทราบว่าคุณชายมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” เฉียนเชากล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“ความหมายของเถ้าแก่เฉียนคือ…” หลิ่วหมิงหรี่ตาถามกลับไป
“ไม่ขอปิดบังคุณชาย ข้ารู้มาจากผู้อาวุโสเหมี่ยนว่าคุณชายไม่เพียงแต่มีพลังเวทย์ยอดเยี่ยม ทั้งยังมีวิชาแพทย์ติดตัวไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย ผู้มีพรสวรรค์อย่างคุณชาย เรือนร้อยวิญญาณของเราต้องการยิ่งนัก ดังนั้นที่ข้ามาด้วยตัวเองในครั้งนี้ ก็เพื่อเชื้อเชิญคุณชายให้เป็นหนึ่งในแขกคนสำคัญของเรือนร้อยวิญญาณเรา ค่าใช้จ่ายตอบแทนทั้งหมดเทียบเท่ากับค่าตอบแทนที่สูงที่สุดของพวกเรา” เฉียนเชากล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณ? เกรงว่าจะทำให้ท่านต้องผิดหวังซะแล้ว ข้าไม่ได้มีความคิดนี้เลย” หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“เพราะเหตุใดกัน? คุณชายเป็นผู้ฝึกฝนอิสระ ในเมื่อกะที่จะอยู่เสวียนจิงในระยะยาว ช้าเร็วก็ต้องเข้าร่วมกับกลุ่มอิทธิพลในเสวียนจิงอยู่ดี ไม่ใช่ว่าข้าชื่นชมตัวเองหรอกนะ ถึงแม้ค่าตอบแทนของแขกเรือนร้อยวิญญาณจะไม่ได้สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งหรืออันดับสองในเสวียนจิง แต่ก็จัดอยู่ในห้าอันดับแรก เพียงแค่คุณชายเข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณ ไม่เพียงแต่จะได้หินจิตวิญญาณเดือนละเป็นจำนวนมาก ถ้าขาดแคลนโอสถหรืออาวุธต่างๆ เรือนของข้าก็จะช่วยรวบรวมมาให้ อีกอย่างเรือนร้อยวิญญาณยังปฏิบัติต่อแขกอย่างใจกว้าง ถ้าแขกคิดว่าภารกิจไหนอันตรายเกินไปจนอาจทำให้เสียชีวิต ก็สามารถปฏิเสธได้อย่างเด็ดขาด ข้าย่อมไม่ให้แขกไปทำงานที่ไม่สามารถทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน เพราะโดยทั่วไปแล้ว กลุ่มผู้มีอิทธิพลระดับข้านี้ มักจะใช้อำนาจคุกคามแขกให้เกรงกลัว โอกาสที่แขกแต่ละท่านจะได้เลือกภารกิจเองนั้นมีไม่มาก” เฉียนเฉากลับไม่รู้สึกแปลกใจ แต่กลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเถ้าแก่เฉียนมีความจริงใจเช่นนี้ ข้าจะไม่ปิดบังท่านอีก ข้าจะพูดตามจริงก็แล้วกัน เรื่องเกี่ยวกับค่าตอบแทนของแขกเรือนร้อยวิญญาณนั้น ข้าได้รู้จากผู้อาวุโสเหมี่ยนมาบ้าง นับว่ามันไม่เลวเลยจริงๆ ที่ข้าไม่ยอมตอบตกลง เพราะมีความกังวลที่ตอนนี้เรือนร้อยวิญญาณดูเหมือนจะไปยั่วแหย่ศัตรูที่แข็งแกร่งเข้า มิเช่นนั้นฮูหยินกับลูกชายของท่านคงไม่ถึงกับถูกคนลอบฆ่าในสถานที่ใกล้เสวียนจิงเช่นนี้ ที่ข้ามาเสวียนจิงในครั้งนี้เพราะมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ และไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากต่างๆ เพื่อลดการสูญเสียพลังส่วนมากไปด้วย” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าคุณชายเฉียนจะยังไม่ค่อยชอบสถานะของเรือนร้อยวิญญาณในตอนนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ คุณชายไม่ต้องกังวลเลย ความจริงข้าได้สืบรู้แล้วว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังของศัตรูเรือนร้อยวิญญาณ ซึ่งก็คือหอรวมสมบัติที่เป็นคู่แข่งทางการค้าของเรานั่นเอง สุภาษิตกล่าวไว้อาชีพเดียวกันคือศัตรู อีกอย่างถ้าเอาการค้าของพวกเราทั้งสองมารวมกัน เกรงว่ามันคงครอบคลุมทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนราวๆ สองถึงสามในสิบส่วนของเสวียนจิง ข้ากับมู่อิ่งเฉิงที่เป็นเจ้าของร้านหอรวมสมบัติมีความแค้นต่อกันเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ผ่านมาตั้งหลายปีพวกเราทั้งสองต่างก็ไม่มีใครทำอะไรใครได้ หนึ่งในนั้นเป็นเพราะว่าพวกเราต่างก็มีอิทธิพลพอๆ กัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือทั้งสองฝ่ายต่างก็มีคนหนุนหลัง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มลงไป ดังนั้นคุณชายไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาที่เรือนจิตวิญญาณต้องเผชิญในตอนนี้เลย เพียงแค่รอให้งานประมูลในเดือนหน้าผ่านไปอย่างราบรื่น ร้านของเราก็สามารถกดดันหอรวมสมบัติได้ เชื่อว่าในระยะหลายปีนี้ พวกเขาคงไม่กล้ามาหาเรื่องร้านของเรา” เฉียนเชาอธิบายอย่างละเอียดในฉับพลัน
“มีคนหนุนอยู่เบื้องหลัง? ด้วยอิทธิพลของร้านท่านยังต้องบอกว่ามีคนหนุนหลัง คิดว่าคงต้องเป็นผู้ที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงฟังจบก็ถามด้วยความแปลกใจ
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ความจริงแล้วอิทธิพลน้อยใหญ่ในเสวียนจิงต่างก็ต้องมีคนหนุนหลังถึงจะอยู่ได้ มิเช่นนั้นจะยืนมั่นอยู่ในเสวียนจิงได้อย่างไร และเรือนร้อยวิญญาณเรากับหอรวมสมบัติเป็นคู่แข่งทางการค้ากัน ดังนั้นคนหนุนหลังของแต่ฝ่ายคือใคร ต่างก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้กันดี ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร ความจริงผู้หนุนหลังของเรือนร้อยวิญญาณคือ ‘ท่านอ๋องสาม’ ที่เป็นพระอนุชาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน กำไรหนึ่งในสามของร้านเราจะต้องส่งไปให้จวนท่านอ๋องสาม และผู้หนุนหลังของหอรวมสมบัติคือองค์ชายเก้าในปัจจุบัน แต่มันไม่เหมือนกับร้านของเรา มู่อิ่งเฉิงที่เป็นเจ้าของหอรวมสมบัติอย่างเปิดเผยนั้น ความจริงแล้วเป็นแค่ทาสขององค์ชายเก้า และหอรวมสมบัติทั้งหมดก็เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ขององค์ชายเก้าเท่านั้น ดังนั้นต่อให้พวกเราทั้งสองฝ่ายจะสู้รบกันดุเดือดสักเพียงใด ก็ไม่มีฝ่ายใดทำลายอีกฝ่ายได้ ผู้หนุนหลังของพวกเราต่างก็ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” เฉียนเชากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านอ๋องสาม หรือว่าเป็นผู้ที่ช่วยให้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันได้ขึ้นครองราชย์เมื่อยี่สิบปีก่อน ผู้ที่ได้ว่าเป็นอ๋องผู้ทรงธรรมมาโดยตลอดผู้นั้น?” ใจหลิ่วหมิงเต้นขึ้นมาในทันที แต่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
“อืม! ข้าคิดไม่ถึงว่าคุณชายเฉียนก็เคยได้ยินชื่อเสียงของท่านอ๋องสามในปีนั้น ถ้าอย่างนี้ก็ง่ายน่ะสิ! เป็นอ๋องผู้ทรงธรรมผู้นี้ไม่มีผิด ไม่ทราบว่าคุณชายเฉียนจะยอมเปลี่ยนใจมาเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณเราไหม?” เฉียนเชาถามด้วยความแปลกใจ
“ในเมื่อเรื่องยุ่งยากของเรือนร้อยวิญญาณเป็นแค่ปัญหาชั่วคราว เบื้องหลังยังมีท่านอ๋องสามคอยหนุน ถ้าข้ายังบอกปัดอีกล่ะก็ เกรงว่าคงทำให้เถ้าแก่เฉียนรู้สึกไม่สบายใจอย่างแน่นอน ข้ารับปากเข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณได้ แต่ก่อนอื่นข้ามีเงื่อนไขสองข้อ หวังว่าท่านจะยอมรับปากข้า” หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย
“คุณชายเฉียนมีเงื่อนไขอะไรพูดมาได้เลย” เฉียนเชาได้ยินก็รีบถามด้วยความดีใจ
“ข้อแรก ข้าเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณในช่วงที่ข้าทำธุระอยู่ในเสวียนจิงเท่านั้น หากวันไหนข้าไปจากเสวียนจิงสถานะแขกของข้าก็กลายเป็นโมฆะ แต่เถ้าแก่เฉียนวางใจได้ ข้าอยู่ในเสวียนจิงอย่างน้อยสองสามปี มากสุดก็ห้าหกปี ข้อสองค่าตอบแทนที่ข้าเป็นแขกเรือนร้อยวิญญาณ นอกจากหินจิตวิญญาณที่ต้องได้รับในแต่ละเดือนแล้ว ข้ายังคิดที่จะเรียนวิชาการปรุงโอสถ ดังนั้นจึงหวังว่าทางเรือนร้อยวิญญาณจะแนะนำผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถบางท่านให้ข้าได้ แน่นอนข้ารู้ว่าโดยทั่วไปผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่เก่งกาจจะไม่รับศิษย์ แต่ข้าต้องการแค่จดหมายแนะนำของเรือนร้อยวิญญาณฉบับเดียวเท่านั้น แล้วข้าจะหาวิธีพูดจาเกลี้ยกล่อมเอง แต่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่ทางเรือนร้อยวิญญาณแนะนำให้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ค่อนข้างลึกซึ้ง จนถึงระดับที่สามารถปรุงโอสถที่อาจารย์จิตวิญญาณใช้ได้” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา
“อะไรนะ! คุณชายเฉียนต้องการเรียนวิชาการปรุงโอสถ?” เห็นได้ชัดว่าคำพูดหลิ่วหมิงทำให้เฉียนเชารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ทำไมล่ะ! ข้าเรียนไม่ได้หรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินหางคิ้วก็กระตุกขึ้นมา
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้น ถึงแม้ข้าไม่ใช่ศิษย์จิตวิญญาณ แต่ก็รู้ว่าวิชาการปรุงโอสถนั้นดูเหมือนจะเป็นทักษะที่ยากที่สุดของผู้ฝึกฝน ผู้ที่ยอมเสียเวลาฝึกฝนจริงๆ นั้นมีน้อยมาก แต่ถ้าคุณชายสนใจวิชาการปรุงโอสถล่ะก็ เรือนจิตวิญญาณของพวกเราเคยไปมาหาสู่กันกับผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถอยู่หลายท่าน พอจะช่วยแนะนำให้ท่านได้บ้าง แต่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่สามารถปรุงโอสถของอาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไปได้นั้น แม้แต่ในนิกายใหญ่ๆ ยังหาได้ยากยิ่ง ถ้าในเสวียนจิงล่ะก็ เกรงว่าจะมีแค่คนเดียวที่มีความสามารถเช่นนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านนี้มีนิสัยค่อนข้างประหลาด ถึงแม้เรือนร้อยวิญญาณเราจะเคยติดต่อกับเขาอยู่หลายครั้ง ช่วยเขาประมูลโอสถอยู่หลายครา แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจมากนักว่าจะทำให้เขายอมชี้แนะวิชาการปรุงโอสถให้ท่านได้ไหม” เฉียนเชาลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“ไม่เป็นไร! ขอเพียงเถ้าแก่เฉียนยอมให้ข้าได้พบกับผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ก็พอแล้ว เรื่องเรียนวิชาการปรุงโอสถนี้มอบให้ข้าจัดการเอง” หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา
“ได้! ถ้าแค่นี้ล่ะก็ ข้าจะรับปากเงื่อนไขทั้งสองของคุณชายเอง” ครั้งนี้เฉียนเชาเพียงแค่ลังเลเล็กน้อย แล้วกัดฟันรับปากออกไป
“ถ้าเช่นนั้นข้าเฉียนหมิงก็ขอคารวะเถ้าแก่เฉียน” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วค่อยๆ โค้งคำนับเฉียนเชา
……………………………………….