“ฮ่าๆ! คุณชายเฉียนไม่ต้องมากพิธี พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำป้ายประจำตัวของแขกมาให้คุณชาย อีกอย่างเรื่องเกี่ยวกับที่พักคุณชาย……” เฉียนเชากล่าวด้วยความดีใจ
“เรื่องที่พักคงไม่รบกวนเถ้าแก่แล้ว ข้าชอบความเงียบสงบมาแต่ไหนแต่ไร จึงได้เช่าถ้ำเขาทอแสงไว้ รอจนงานประมูลสิ้นสุด และข้าขับพิษคุณชายหู่ออกมาจนหมดแล้ว ข้าก็จะย้ายออกไป” หลิ่วหมิงพูดปฏิเสธออกมาโดยไม่ต้องคิด
“เช่นนี้คุณชายคงต้องใช้หินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากในแต่ละเดือน เอาอย่างนี้เถอะ! ต่อไปข้าจะเพิ่มค่าตอบแทนในแต่ละเดือนให้คุณชายอีกหนึ่งส่วน” ตอนแรกเฉียนเชารู้สึกแปลกใจ แต่ก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าปกติ
“ขอบคุณความเมตตาของเถ้าแก่เฉียน” หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณออกไป
จากนั้นเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณผู้นี้ ก็สนทนากับหลิ่วหมิงต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นก็กล่าวอำลา
หลิ่วหมิงส่งเขาที่นอกประตูแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เวลาต่อมาเขาก็รีบนำหญ้าน้ำแข็งเงินมาผสมตามสูตร และต้มเป็นโอสถน้ำให้เฉียนหรูผิงทาน จากนั้นก็ใช้วิธีการอื่นๆ กับเวลาอีกสองสามวันเพื่อรักษาต้นตออาการเจ็บป่วยของนางให้หายขาด
ขณะเดียวกันเฉียนเชาก็กลับมาถึงห้องโถงที่อยู่ด้านหน้า
ผู้อาวุโสกำลังเหมี่ยนนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้
“เถ้าแก่ ท่านกลับมาแล้ว ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนี้ หรือว่าเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้ว? คุณชายเฉียนยอมเข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณแล้วใช่หรือไม่?” พอผู้อาวุโสเหมี่ยนเห็นสีหน้าของเฉียนเชาแล้ว ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ผู้อาวุโสเหมี่ยนมีสายตาที่หลักแหลมยิ่งนัก ข้าจะปิดบังท่านได้อย่างไร คุณชายเฉียนถูกข้าเกลี้ยกล่อมจนตอบตกลงแล้ว แต่เขาเสนอเงื่อนไขมาสองข้อ ข้าเกรงว่าคงต้องติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่แล้วล่ะ” เฉียนเชาหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“หืม! ติดนี้บุญคุณครั้งใหญ่! เถ้าแก่หมายถึง……” สีหน้าผู้อาวุโสเหมี่ยนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เงื่อนไขข้อแรกของคุณชายเฉียนไม่ก็มีอะไรมาก แต่เงื่อนไขข้อที่สองกลับเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญฝานแนะนำวิชาปรุงโอสถให้เขา” รอยยิ้มบนใบหน้าเฉียนเชาหายไป และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย
“วิชาปรุงโอสถ ผู้เชี่ยวชาญฝาน! เถ้าแก่หมายถึงผู้เชี่ยวชาญฝานไป๋จื่อหรือ?” สีหน้าของผู้อาวุโสเหมี่ยนค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเช่นนี้
“นอกจากผู้เชี่ยวชาญฝานไป๋จื่อแล้ว ในเสวียนจิงจะมีใครเรียกขานเช่นนี้ได้เล่า?”
“แต่ผู้เชี่ยวชาญฝานไป๋จื่อไม่พบคนนอกมาแต่ไหนแต่ไร แล้วจะชี้แนะวิชาปรุงโอสถให้สหายเฉียนได้อย่างไรกัน” ผู้อาวุโสเหมี่ยนรู้สึกอึ้งเล็กน้อย
“ข้อนี้ข้าย่อมรู้ดี แต่คุณชายเฉียนแค่ขอให้ช่วยแนะนำเขาให้ก็พอแล้ว ดูเหมือนเขาจะพูดเกลี้ยกล่อมผู้เชี่ยวชาญฝานด้วยตนเอง” เฉียนเชาถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
“ดูจากความสัมพันธ์ของเถ้าแก่กับผู้เชี่ยวชาญฝาน ถ้าแค่แนะนำล่ะก็ยังพอจะทำได้ มิน่าล่ะ! เถ้าแก่ถึงได้พูดว่าต้องติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่แล้ว แต่สหายเฉียนทำเช่นนี้ เกรงว่าคงจะต้องเสียแรงเปล่า” ผู้อาวุโสเหมี่ยนได้ยินเช่นนี้ ถึงได้เข้าใจในฉับพลัน
“ถ้าคุณชายเฉียนผู้นี้ เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายตามที่ท่านพูดจริงๆ ล่ะก็ จ่ายค่าตอบแทนเท่านี้ก็นับว่าคุ้มค่ามาก ว่าแต่ผู้อาวุโสเหมี่ยน คุณชายเฉียนดูอายุน้อยเช่นนี้ จะมีระดับการฝึกฝนที่น่าตกใจเช่นนี้จริงหรือ?” ตอนแรกเฉียนเชาก็พยักหน้า แต่ก็ถามออกไปด้วยความกังวล
“ทำไมล่ะ! เถ้าแก่ไม่เชื่อสายตาข้าหรือ? เฮ่อๆ! ถึงแม้คุณเฉียนจะไม่ยอมรับออกมา แต่จากการที่หงเส่าเล่าให้ฟังในครั้งนั้น กับการที่ข้าได้สัมผัสกับเขาในหลายวันมานี้ ข้ายืนยันได้ว่าระดับการฝึกฝนของเขาเหนือกว่าข้าอย่างแน่นอน ถึงแม้เถ้าแก่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากหน่อย แต่แค่ดึงเขาเข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณได้ การลงทุนนี้จะต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวเช่นนี้ ข้าก็วางใจ สำหรับเรือนร้อยวิญญาณแล้ว แขกจิตวิญญาณขั้นปลายหนึ่งคนถือเป็นแรงช่วยที่สำคัญมาก เพียงแค่ปล่อยข่าวออกไปเล็กน้อย ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็สามารถปลีกตัวออกไปจัดการเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญกว่าได้” เฉียนเชากล่าวด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย
“ใช่สิ! ที่มาของคุณชายเฉียน เถ้าแก่สืบได้อะไรมาบ้าง? ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่มีอายุน้อยนี้เช่นนี้ ถ้าเป็นแค่ผู้ฝึกฝนอิสระที่อยู่ในแคว้นเราจริงๆ ล่ะก็ คงจะมีชื่อเสียงไม่น้อย” ผู้อาวุโสเหมี่ยนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบถามออกไป
“เรื่องนี้ข้าส่งคนไปตรวจสอบตั้งนานแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ เลย ข้าว่าคุณชายเฉียนอาจจะไม่ใช่คนในแคว้นเรา ไม่แน่อาจเป็นผู้ฝึกฝนอิสระจากแคว้นอื่น มิเช่นนั้นจากข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้ ทำไมถึงหาข้อมูลที่สอดคล้องกับคนผู้นี้ไม่ได้” เฉียนเชากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“เรื่องนี้ก็พูดยาก แม้ว่าผู้ฝึกปราณอิสระบางส่วนจะไม่มีวาสนาได้เข้านิกาย แต่ก็สามารถฝึกฝนในเส้นทางเดียวกันนี้ด้วยความอุตสาหะได้ เพียงแค่พวกเขามีทรัพยากรที่เพียงพอ ก็จะเก็บตัวฝึกฝนอยู่สถานที่บางแห่งเป็นเวลาเกือบร้อยปี โดยไม่ออกมาโลกภายนอก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ดูจากการพูดจาและลักษณะท่าทางของคุณชายเฉียนผู้นี้แล้ว มันไม่เหมือนกับผู้ฝึกฝนกลุ่มนี้ ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกฝนจากแคว้นอื่นก็พอมีความใกล้เคียงอยู่บ้าง และศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่อายุยังน้อยเช่นนี้ ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้ฝึกฝนของนิกายในแคว้นอื่น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่
“อะไรนะ! ผู้อาวุโสเหมี่ยนคิดว่าคุณชายเฉียนเป็นผู้ฝึกฝนจากแคว้นอื่น และทรยศนิกายตนเอง?” พอเฉียนเชาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป
“เฮ่อๆ! เถ้าแก่เฉียนไม่ต้องกังวลไป เมื่อครู่เป็นแค่การคาดเดาจากข้าเท่านั้น ต่อให้เขาเป็นผู้ฝึกฝนทรยศนิกายจากแคว้นอื่นจริงๆ แต่ที่นี่คือเมืองหลวงแคว้นต้าเสวียน ใยต้องหวาดกลัวด้วยเล่า อีกอย่างเรื่องการรับผู้ฝึกฝนจากแคว้นอื่นๆ มาเป็นแขก ก็ใช่ว่ากลุ่มผู้มีอิทธิพลอื่นจะไม่เคยทำ” ผู้อาวุโสเหมี่ยนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“มันก็ใช่! เพียงแค่คนผู้นี้ไม่มีเจตนาร้ายกับเรือนร้อยวิญญาณเรา ข้าเองก็ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เกรงว่าผู้ฝึกฝนในเสวียนจิงสิบคน จะมีสามถึงสี่คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสถานะของพวกเขาเป็นอย่างมาก” เฉียนเชาลังเลเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มออกมาในทันที
ผู้อาวุโสเหมี่ยนเองก็ฟั่นหนวดอมยิ้มโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ในระยะเวลาห้าถึงหกวันนี้ หลิ่วหมิงยังคงออกไปข้างนอกในตอนกลางวัน เขาเดินเตร็ดเตร่ตามสถานที่ต่างๆ ในเสวียนจิง และซื้อข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเสวียนจิงจากกลุ่มอิทธิพลลับที่ขายข้อมูลโดยเฉพาะ ในที่สุดเขาก็พอจะเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของเสวียนจิงในตอนนี้อย่างคร่าวๆ
เย็นวันนี้ หลังจากที่หลิ่วหมิงดึงเข็มเล่มสุดท้ายออกจากตัวเฉียนหรูผิงแล้ว ก็จ้องมองใบหน้าเล็กๆ ที่ดูอิ่มเอิบขึ้นมามาก ใบหน้าที่กำลังนอนยิ้มหลับสนิทอยู่ ทำให้เขายิ้มขึ้นมาในทันที และหยิบผ้าแพรที่อยู่ด้านข้างมาห่มให้เด็กหญิงเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปอีกห้องที่อยู่ข้างๆ
เขาเดินขึ้นเตียงของตนเองที่อยู่ภายในห้อง และนั่งขัดสมาธิลงไปด้วยสีหน้าสงบ จากนั้นก็คิดไตร่ตรองเกี่ยวกับสิ่งที่ทำในหลายวันนี้อย่างเงียบๆ
หลังผ่านความเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ในที่สุดโรคประหลาดของเฉียนหรูผิงก็หายเป็นปกติ ต่อไปแค่บำรุงร่างกายให้มากๆ ก็สามารถดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติแล้ว
เวลานี้ เขาสามารถพุ่งเล็งความสนใจทั้งหมดให้กับจุดประสงค์การมาเสวียนจิงในครั้งนี้ได้แล้ว
การมาเสวียนจิงในครั้งนี้ สำหรับเขาแล้ว เรื่องการสืบหาเบาะแสศิษย์ตรวจตราคนก่อน กับภารกิจศิษย์ตรวจตราถือจุดประสงค์รอง
จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดคือรอพลังเวทย์บริสุทธิ์อีกครั้งกับรวบรวมไอปีศาจบริสุทธิ์ให้เพียงพอ และสืบหาความลับที่บิดาเขาได้ทิ้งไว้ในปีนั้นให้กระจ่าง
สองเรื่องก่อนหน้านั้นค่อยว่ากันภายหลัง มันจะต้องเป็นเรื่องที่เปลืองพลังเปลืองเวลาอย่างแน่นอน ซึ่งไม่อาจทำสำเร็จได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
ส่วนเรื่องหลังกลับพัวพันถึงสถานที่หนึ่ง ‘จวนอ๋องสาม’
จากคำพูดที่บิดาเขาทิ้งไว้ก่อนตาย บิดาเขาได้ทิ้งของสิ่งหนึ่งไว้ในสถานที่ลับสุดยอดแห่งหนึ่งในจวนอ๋องสาม ต้องหาวิธีเข้าไปจวนอ๋องสามให้ได้ก่อน จึงจะสามารถไขความลับที่ซ่อนอยู่ในใจลึกๆ มานานหลายปีได้
เดิมทีหลิ่วหมิงยังคิดว่ารอเข้าเสวียนจิงแล้วค่อยหาวิธีแฝงตัวเข้าไป แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวมันจะประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ ความสัมพันธ์กับเรือนร้อยวิญญาณที่เขาถูกดึงเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่คาดคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องสามเป็นอย่างมาก
มิเช่นนั้น เขาคงไม่ตอบตกลงเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ
ด้วยพลังของเขา เพียงแค่แสดงฝีมือต่อหน้ากลุ่มอิทธิพลต่างๆ เพียงเล็กน้อย ก็สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งได้อย่างราบรื่น โดยไม่จำเป็นต้องเลือกเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด้วยความรวดเร็วเช่นนี้
แต่ตอนนี้เขาย่อมไม่อาจปล่อยให้โอกาสตรงหน้าหลุดลอยไปง่ายๆ
จากความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาระหว่างอ๋องสามกับเรือนร้อยวิญญาณ เขาเชื่อว่าเพียงแค่อดทนรออีกสักหน่อย เรื่องการแฝงตัวเข้าจวนอ๋องสามคงไม่ใช่เรื่องยาก วิธีการนี้ปลอดภัยกว่าการเสี่ยงอันตรายบุกรุกเข้าไปตรงๆ มาก
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ตาทั้งคู่ค่อยๆ หลับลง แสงลูกกลมสีทองจางๆ ลูกหนึ่งปรากฏขึ้นในทะเลจิตรับรู้ หลังจากที่ใช้พลังจิตสัมผัสมันเบาๆ มันก็หมุนติ้วๆ กลายเป็นคัมภีร์สีทองจางๆ เล่มหนึ่ง และค่อยๆ พลิกไปทีละหน้า
มันคือเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง ที่เขาได้รับมาจากปรมาจารย์ลิ่วยินผู้นั้น!
เคล็ดกระบี่เล่มนี้นับว่าล้ำลึกเป็นพิเศษ แม้เขาจะเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม แต่ทว่าตั้งแต่ได้เคล็ดวิชานี้มา เขาก็ยังทำความเข้าใจไปได้แค่หนึ่งถึงสองในสิบส่วนเท่านั้น
สิ่งที่เขาเข้าใจก็เป็นแค่วิชาพื้นฐานของเคล็ดกระบี่ทั้งหมด ซึ่งเป็นการดูดรับเอาปราณจิตวิญญาณทองคำฟ้าดินง่ายๆ เพื่อบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณของตนเอง
และตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า กระบี่ตัวอ่อนจิตวิญญาณที่กล่าวถึงคืออะไร ซึ่งมันก็คือเงื่อนไขที่สำคัญเป็นอันดับแรกในการหลอมสร้างกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ
ตามที่กล่าวไว้ในเคล็ดกระบี่บิน โดยทั่วไปกระบี่บินที่แท้จริงจะถูกแบ่งเป็นสองประเภท
ประเภทแรกคือการนำอาวุธจิตวิญญาณประเภทกระบี่ทั่วไปมาปรับแต่งเล็กน้อย และเพียงแค่เชื่อมกับจิตของตนเองเข้าไป ก็สามารถกระตุ้นกระบี่บินธรรมดาได้
ถึงแม้กระบี่ประเภทนี้จะมีอานุภาพธรรมดา จนเกือบจะไม่แตกต่างจากอาวุธจิตวิญญาณทั่วไปเลย แต่ถ้ามันโดนทำลายล่ะก็ เจ้าของกระบี่บินจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก
แต่โดยทั่วไปผู้ฝึกกระบี่ระดับสูงที่แท้จริงจะไม่สนใจกระบี่บินประเภทนี้เลยแม้แต่น้อย
กระบี่บินอีกประเภทหนึ่ง เป็นการใช้โลหิตบริสุทธิ์กับวิญญาณของตนเองบ่มเพาะเป็นตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณ จากนั้นค่อยเทมันลงบนตัวกระบี่บินที่หลอมไว้ และทั้งสองสิ่งก็จะผสานเข้าด้วยกัน เพื่อหลอมเป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณตามที่เล่าลือ
ด้วยเหตุที่ว่ากระบี่บินประเภทนี้มีโลหิตบริสุทธิ์กับวิญญาณซึมซับอยู่ในนั้น มันจึงไม่เพียงแต่มีอานุภาพมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่ยังทำให้เจ้าของกระบี่บินสามารถกระตุ้นมันได้ง่ายเหมือนกับการขยับแขนใช้นิ้ว สามารถสังหารศัตรูได้ในระยะร้อยลี้ นี่ถึงเป็นความหมายของกระบี่บินที่แท้จริง และก็เป็นอาวุธสังหารแท้จริงที่ผู้ฝึกฝนกระบี่จำนวนมากต่างก็แสวงหา
แน่นอน ถ้ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณนี้ถูกทำลายล่ะก็ มันจะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของกระบี่บินเป็นอย่างมาก วิธีการหลอมกระบี่บินบางวิธีการค่อนข้างโหดร้าย จนกระทั่งทำให้เจ้าของเสียชีวิตไปด้วย มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ วัสดุสำหรับหลอมตัวกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ผู้ฝึกกระบี่ระดับสูงใช้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปจะสามารถเทียบได้
……………………………………….