พอชายวัยกลางคนเห็นรอยแหว่งบนประตู สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ก็รีบส่ายหน้าแล้วพูดกับตนเองอย่างรวดเร็ว
“เดิมทีคิดว่าผู้ตรวจการเฉินไม่มีใครอยู่เบื้องหลังแล้ว เคราะห์ครั้งนี้คงยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่ดูท่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น อาฝู ปิดประตูให้ดี ครึ่งเดือนหลังจากนี้ข้าจะไม่ต้อนรับแขก”
“ทราบ! นายท่าน!” ข้ารับใช้ก้มหน้าตอบรับกลับไป
ชายวัยกลางคนเดินจากไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
……
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวหน้าร้านขายข้าวสารท้ายถนนแห่งหนึ่ง หลังจากที่แหงนหน้ามองป้ายร้านค้าและมองสีของทองฟ้าแล้ว ก็เดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
พอเขาเดินออกมาแล้ว ก็รีบเดินไปยังตำแหน่งบ้านเช่าตระกูลเฉินตามที่สอบถามมาได้
ผ่านไปไม่นาน เขาก็เดินมาถึงบ้านทรุดโทรมที่ค่อนข้างลับตาคนแห่งหนึ่ง และเดินเข้าไปเคาะประตูเก่าๆ อย่างไม่เกรงใจ
ไม่นานประตูก็เปิดออกจากด้านใน ชายชราสวมชุดคลุมสีเทาเดินออกมา
“ท่านมาหาใคร?” พอชายชราเห็นว่าไม่รู้จักหลิ่วหมิง ก็ถามออกไปอย่างระแวดระวัง
“ครอบครัวของผู้ตรวจการเฉินอยู่ข้างในไหม?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ผู้ตรวจการเฉิน ผู้ตรวจการหลี่อะไรกัน เจ้ามาผิดที่แล้ว ข้าไม่รู้จัก?” พอชายชราได้ยินสีหน้าก็ดูอึมครึม และปิดประตูไล่แขกอย่างไม่ลังเล
แต่คนระดับหลิ่วหมิง เพียงแค่เคลื่อนไหวทีเดียวก็ใช้ร่างต้านทานการกระทำของชายชราไว้ได้
ชายชราเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เขาขยับแขนในทันที และปล่อยหมัดใส่ไหล่ของหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง ฟังจากเสียงหมัดที่ดัง “ฟู่ๆ!” แล้ว คงมีพลังไม่น้อย
แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่คิดหลบหลีกหมัดของชายชราแต่อย่างใด
หลังจากมีเสียงดังออกมา ผู้อาวุโสก็รู้สึกถึงหมัดที่สั่นสะเทือนในทันที พลังมหาศาลทะลักออกมาจากร่างของบัณฑิตหนุ่มตรงหน้า ทำให้ร่างของชายชราสั่นสะท้านจนต้องถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัว
หลิ่วหมิงอาศัยช่วงจังหวะนี้เดินเข้าไปในบ้าน หลังจากกวาดสายตามองดูแล้ว ก็พบกับหญิงวัยกลางคนใบหน้างดงามนางหนึ่ง กำลังยืนโอบกอดเด็กชายอายุห้าหกขวบอยู่ที่มุมห้อง และมองมาที่เขาด้วยความตกใจ
ดูท่านางจะเป็นฮูหยินเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิ่วหมิงคิดอย่างรวดเร็ว
“เจ้าสารเลว ไปตายซะ!” หลังจากที่ชายชราตั้งหลักได้แล้ว และมองเห็นการกระทำของหลิ่วหมิง เขาก็ตะโกนออกมาด้วยความโมโห ทันใดนั้นก็หยิบเอากระบองเหล็กสีดำที่วางอยู่ด้านข้างมาไว้ในมือ และพุ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต
“ช้าก่อนลุงหลิน! รอดูว่าเขาพูดอะไรออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ขณะนั้นหญิงใบหน้างดงามก็พลันเอ่ยปากออกมา
พอชายชราได้เย็นเช่นนี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะชะงักฝีเท้าลงด้วยความโกรธแค้น แต่ยังคงถือกระบองเหล็กยืนขวางอยู่หน้าฮูหยินเฉิน
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และหยิบคทาหยกมงคลสีเขียวมรกตออกมาให้ฮูหยินเฉินดู
“นี่คือ……ลุงหลิน ท่านรีบนำของสิ่งนี้มาให้ข้าดูอย่างละเอียดที” พอฮูหยินเฉินเห็นคทาหยกมงคลก็มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที และรีบพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
พอชายชราได้ยิน ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ยังคงรับคทาหยกจากหลิ่วหมิง มาส่งให้ฮูหยินเฉิน
ฮูหยินเฉินพลิกหยกไปมาสองสามรอบ แล้วหยิบคทาหยกมงคลสีเขียวมรกตอีกอันออกมาจากแขนเสื้อ และนำมันวางเทียบกัน ขนาดและรูปร่างของมันเหมือนกันไม่มีผิด
“ข้าน้อยขอคำนับท่านเซียน หวังว่าท่านเซียนจะช่วยสามีของข้าน้อยได้ ลูกรัก เจ้ารีบคำนับท่านเซียนเร็ว” ฮูหยินเฉินไม่สงสัยอะไรอีก นางดึงเด็กชายตรงหน้าคุกเข่าลงพื้น เพื่อคำนับหลิ่วหมิงในฉับพลัน
ทีแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ส่ายหน้าและโบกแขนเสื้อออกไปในทันที ทันใดนั้นพลังไร้รูปบางอย่างก็ทะลักออกมา ขณะเดียวกันเขาก็กล่าวอย่างราบเรียบ
“ลุกขึ้นมาคุยกันก่อนเถอะ! ข้าไม่ใช่ท่านเซียนอะไรทั้งนั้น ที่มาครั้งนี้เพราะถูกคนไหว้วานมา ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าสามารถช่วยได้ ข้าย่อมช่วยอย่างเต็มที่ พวกเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายเฉียนก็พอ”
“รับทราบ คุณชายเฉียน!” ฮูหยินเฉินรู้สึกแค่ว่ามีพลังบางอย่างประคองร่างไว้ ทำให้นางไม่สามารถคำนับได้ ภายใต้ความตกใจระคนดีใจ นางตอบกลับหลิ่วหมิงด้วยความเคารพนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม จากนั้นถึงได้ดึงเด็กชายลุกขึ้นมา
ลุงหลินที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ถึงได้รู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู เขารีบโยนกระบองทิ้งไป และยืนหน้าเหยเกอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
“ในเมื่อของยืนยันเป็นของจริง ฮูหยินเฉินคงจะไม่สงสัยสถานะของข้าแล้ว แต่ไม่รู้ว่าผู้ตรวจการเฉินพูดถึงข้าได้อย่างไร” เมื่อหลิ่วหมิงรับรู้ได้ว่าลุงหลินปิดประตูแล้ว ถึงได้กล่าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน
“ก่อนสามีข้าจะถูกคุมขัง ดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้ว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นจึงมอบคทาหยกมงคลนี้ให้ข้าก่อน เขาบอกว่าถ้าเกิดเรื่องไม่ดีกับเขาจริงๆ ท่านเซียนเหลยที่รู้จักกับบรรพบุรุษของเขาจะส่งคนมาช่วยตระกูลเฉิน” ฮูหยินเฉินกล่าว
“อืม! สามีท่านกล่าวไว้ไม่ผิด ท่านเซียนเหลยที่สามีท่านกล่าวถึงคืออาจารย์ลุงของข้า ท่านบอกข้ามาหน่อยว่าทำไมผู้ตรวจการเฉินจึงถูกคุมขัง” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ได้! คุณชายเฉียน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ สามีข้าเป็นผู้ตรวจการ ครึ่งปีก่อนเคยยื่นหนังสือแก่จักรพรรดิ……” ฮูหยินเฉินค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงก็ตั้งใจฟังอย่างมาก และแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่
“……เรื่องมันเป็นมาอย่างนี้ สามเดือนก่อนของทางการได้บุกเข้ามาในจวนอย่างกระทันหัน และจับตัวสามีข้าไปคุมขังไว้ในเรือนจำ สองเดือนต่อมาข้าสองคนแม่ลูกก็ถูกไล่ออกจากจวนเฉิน ที่ผ่านมาถ้าไม่มีลุงหลินที่ดูแลอย่างจงรักภักดีล่ะก็ เกรงว่าข้ากับลูกชายคงไม่มีที่อยู่ที่ปลอดภัย” ฮูหยินเฉินเล่าจบใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ลูบคางไปมาซักพักใหญ่ๆ ถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
“อย่างนี้ก็แสดงว่าสามีของท่านยื่นหนังสือเรียกร้องให้ราชสำนักลดค่าเลี้ยงดูแขกของราชสำนัก แต่สุดท้ายก็โดนปฏิเสธ จึงถูกโจมตีจากศัตรูทางด้านการเมือง และโดนถอดตำแหน่งก่อนส่งตัวไปคุมขัง”
“ถูกต้องแล้ว คุณชายเฉียน! เป็นเช่นนี้จริงๆ” ฮูหยินเฉินรีบกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! ข้าจะพูดถึงผู้ตรวจการเฉินว่าอย่างไรดี ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้ายื่นหนังสือแบบนี้ ข้าว่าคนที่เขาล่วงเกินไม่ใช่ศัตรูทางด้านการเมืองแต่อย่างใด แต่เป็นแขกของราชสำนักเหล่านั้นมากกว่า ด้วยอิทธิพลของพวกเขา สามารถจัดการผู้ตรวจการคนหนึ่งได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ” หลิ่วหมิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“แต่ข้าได้ยินท่านพี่เคยพูดว่า ก่อนยื่นหนังสือเขาได้สอบถามความคิดเห็นของจักรพรรดิแล้ว จักรพรรดิเองก็ยอมรับเรื่องการลดค่าเลี้ยงดูแขกราชสำนักโดยนัย แต่ไม่รู้ทำไมตอนท้ายกลับเป็นสามีข้าที่ได้รับโทษจากราชสำนัก” ฮูหยินเฉินถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
“นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยจำนวนแขกที่ราชสำนักต้องเลี้ยงดู เกรงว่าแม้แต่จักรพรรดิเองก็หวาดกลัว และไม่กล้าล่วงเกินพวกเขา ผลลัพธ์เลยต้องกลายเป็นผู้ตรวจการเฉินที่ต้องโชคร้าย” หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา
“ข้าน้อยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในราชสำนักมากนัก บางทีมันอาจเป็นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายเฉียนมีวิธีการใดสามารถช่วยสามีข้าออกมาได้บ้าง” ฮูหยินเฉยยิ้มอย่างขมขื่น และถามหลิ่วหมิงด้วยความหวังเต็มใบหน้า
“ต้องดูว่าฮูหยินเฉินคิดจะจัดการอย่างไร ถ้าเพียงแค่ช่วยให้ผู้ตรวจการเฉินออกมาล่ะก็ สำหรับข้าแล้วไม่ใช่เรื่องยากเย็นมากนัก แต่ถ้าอยากรักษาตำแหน่ง และอยู่ในเสวียนจิงต่อไปล่ะก็ มันคงไม่ใช่เรื่องง่าย” หลิ่วหมิงยิ้มบางๆ ก่อนกล่าวออกมา
“เพียงแค่ช่วยสามีข้าออกมาได้ ตำแหน่งอันน่าอกสั่นขวัญแขวนนี้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ส่วนจะอยู่เสวียนจิงต่อหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป แค่ให้ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า พวกเราก็จะหาสถานที่เล็กๆ เพื่อดำรงชีวิตอยู่” ฮูหยินเฉินได้ยินก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
“ดี! ถ้าฮูหยินคิดเช่นนี้ ข้าก็ทำงานได้ง่ายขึ้น ท่านบอกรูปพรรณสัณฐานของผู้ตรวจการเฉินมาให้ข้า แล้วรีบเก็บของไปจากเสวียนจิงให้เร็วที่สุด ไปรออยู่ข้างถนนสายหลักทางประตูเมืองทิศตะวันออกที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปสิบกว่าลี้ เช้าวันที่สองข้าจะพาสามีท่านไปพบกับพวกท่านที่นั่น ใช่สิ! พวกท่านบอกสถานที่คุมขังผู้ตรวจการเฉินให้ข้าด้วย” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ
สำหรับเขาแล้ว การแฝงตัวเข้าไปช่วยขุนนางธรรมดาคนหนึ่งจากเรือนจำของมนุษย์นั้น เป็นเรื่องที่ง่ายดายเป็นอย่างมาก
เขารู้มาแต่แรกแล้วว่า ถึงแม้ในเสวียนจิงจะมีเรือนจำที่ใช้สำหรับคุมขังผู้ฝึกปราณ และศิษย์จิตวิญญาณโดยเฉพาะ แต่จะไม่ใช้คุมขังมนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน
เรือนจำระดับนี้ เกรงว่าแม้แต่ค่ายกลจำกัดแบบพิเศษก็คงมีวางไว้ไม่น้อย ถ้าไปบุกรุกล่ะก็มันคนละเรื่องกับเรือนจำธรรมดาเลย
ถ้าไม่กลัวว่ามันจะเสี่ยงต่อการเปิดเผยสถานะศิษย์ตรวจตราล่ะก็ เขาเพียงแค่ยื่นป้ายศิษย์ตรวจตรา ก็สามารถนำผู้ตรวจการเฉินผู้นี้ออกมาจากเรือนจำได้อย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องกระทำการลำบากยากเย็นใดๆ
ฮูหยินเฉินและลุงหลินต่างก็รู้สึกตกใจมาก เมื่อเข้าใจความหมายของหลิ่วหมิง
สีหน้าของฮูหยินเฉินเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กัดฟันตอบตกลง จากนั้นก็บอกสถานที่คุมขังและบรรยายรูปพรรณสัณฐานของผู้ตรวจการเฉินให้หลิ่วหมิงฟัง
เมื่อหลิ่วหมิงฟังจบ และคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็ขยับแขนคว้าถุงหนังตรงเอวแล้วยื่นออกไป
“ฮูหยินพกของสิ่งนี้ติดตัวไว้ชั่วคราว ถ้าระหว่างที่ไปจากเสวียนจิงเจอปัญหาอะไรล่ะก็ ให้ตบถุงหนังแรงๆ สามครั้ง พวกท่านก็จะได้รับการป้องกันให้ปลอดภัย”
ของที่อยู่ในถุงนี้คือปีศาจหัวบินตนนั้น
หัวบินตนนี้ฉลาดกว่าแมงป่องกระดูกขาวมาก ซึ่งเขาได้กำชับมันไปรอบหนึ่งแล้ว
ถึงแม้ฮูหยินเฉินจะไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังคืออะไร แต่ก็รู้ว่ามันป็นความหวังดีของหลิ่วหมิง นางจึงกล่าวขอบคุณและรับมันมาเก็บไว้ในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
เวลาต่อมาหลิ่วหมิงก็กำชับฮูหยินเฉินอีกสองสามประโยค แล้วก็จากไปอย่างเงียบๆ
เขาไม่ได้คิดจะกลับไปที่จวนเฉียน แต่กลับมุ่งตรงไปยังเรือนจำที่ฮูหยินเฉินบอก
และเมื่อฮูหยินเฉินเก็บสิ่งของเล็กน้อยแล้ว ก็จ้างรถม้ามาหนึ่งคัน ให้ลุงหลินรีบพาออกไปจากเสวียนจิงทางประตูด้านทิศตะวันออก
ช่วงเวลายามสาม สิ่งก่อสร้างบางแห่งที่ถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาในเสวียนจิง เงาร่างจางๆ จนเกือบมองไม่เห็นได้พุ่งผ่านยามรักษาการณ์แต่ละแห่งโดยไร้สุ้มเสียง และมุ่งตรงไปยังใจกลางของสิ่งก่อสร้าง
ทันใดนั้นเงาร่างก็หยุดชะงักอยู่ตรงหน้าทหารยืนยามเจ็ดแปดคน ด้านหลังของพวกเขามีประตูเหล็กหนาๆ อยู่บานหนึ่ง นอกจากจะมีราวกั้นที่ทำเป็นหน้าต่างบานเล็กๆ แล้ว ก็ไม่มีสถานที่ใดอากาศสามารถเข้าออกได้อีก
เงาร่างสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีเงินจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไป และค่อยๆ จมเข้าไปในร่างของทหารเหล่านี้
……………………………………….