ทหารเหล่านี้รู้สึกตัวชาขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยืนแข็งทื่อโดยไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
ขณะนี้เงาร่างได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าทหารอย่างพร่ามัว ร่างที่มีไอสีดำปกคลุมไปทั่วเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็ปลดกุญแจสีแดงจากเอวทหารคนหนึ่งมาได้
จากนั้นเงาร่างก็เคลื่อนไหวราวกับสายลม และเปิดประตูเหล็กด้านหลังออกก่อนที่จะหายเข้าไปในนั้น
ด้านหลังประตูเหล็ก เป็นบันไดแคบๆ ที่พุ่งยาวลงไปด้านล่าง อากาศข้างในอับมาก ราวกับว่าไม่เคยมีลมพัดผ่านมาเป็นเวลานาน
เงาร่างทำราวกับไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ เขาเคลื่อนตัวลงไปตามบันได หลังจากที่เลี้ยวไปยังมุมด้านล่างอย่างพร่ามัว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาก็มีเสียงร้องตกใจสองสามเสียงดังมาจากบันไดที่อยู่ลึกลงไป จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาอีก
ในขณะเดียวกัน เงาร่างที่มีไอสีดำปกคลุมก็เดินลึกลงไปสิบกว่าจั้ง และผ่านหน้าห้องกักขังที่มีโซ่เหล็กคล้องไว้อย่างแน่นหนา ผ่านราวกั้นสีดำขนาดใหญ่ ข้างในห้องส่วนใหญ่ล้วนว่างเปล่า มีเพียงแค่ไม่กี่ห้องที่มีคนอยู่
และพอคนเหล่านี้เห็นบุคคลแปลกประหลาดบุกเข้ามา ก็ยื่นมือไปสะกิดนักโทษคนอื่นด้วยความตกใจ
แต่ผู้ที่อยู่ในห้องขัง ก็ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแต่อย่างใด ถึงแม้จะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขายังคงมีสีหน้าสงบ และไม่แหกปากตะโกนออกมา
แน่นอนว่าเงาร่างที่บุกเข้ามานี้ คือหลิ่วหมิงที่แสดงวิชาแฝงตัวเข้ามา
สำหรับคนทั่วไปแล้ว เรือนจำหลังนี้นับว่าคุ้มกันได้อย่างแน่นหนา แต่สำหรับผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญานขั้นปลายอย่างเขา มันเปราะบางราวกับกระดาษ
แต่เขาไม่อยากให้ผู้ฝึกฝนคนอื่นรู้ตัว ถึงได้ใช้ยันต์ซ่อนตัวผืนหนึ่ง ทำให้เขากลายเป็นเงาไร้รูปร่างในสายตาคนธรรมดา แล้วถึงบุกเข้ามาอย่างไม่สนใจ
ขณะนี้เขาเดินผ่านห้องคุมขังสิบกว่าห้อง ในที่สุดก็หยุดอยู่ที่มุมหนึ่ง และสังเกตดูชายสวมชุดนักโทษที่อยู่หลังราวกั้น แล้วพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านใช่ผู้ตรวจการเฉินหรือไม่!”
“ท่านคือใคร รู้จักข้าได้อย่างไร?” ชุดนักโทษที่ชายผู้นี้สวมใส่นับว่าสะอาดเรียบร้อยมาก ใบหน้าก็ดูภูมิฐาน พอเขาได้ยินก็ถามออกไปด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! ไม่ใช่ว่าท่านส่งข่าวให้อาจารย์ลุงเหลยหรือ มิเช่นนั้นข้าคงไม่มาที่นี่หรอก” หลิ่วหมิงหัวเราะ ปากของเขาขยับไปมาหลายที แต่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา คำพูดของเขาทั้งหมดดังขึ้นข้างหูของชายผู้นี้โดยตรง
“อะไรนะ! ที่แท้คำพูดและสิ่งของที่ท่านปู่ทิ้งไว้ให้ปีนั้นก็เป็นความจริง ท่านคือคนที่ท่านเซียนเหลยส่งมาจริงหรือ! ฮูหยินกับลูกชายข้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ผู้ตรวจการเฉินได้ยินก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้ จึงถามออกไปด้วยความตื่นเต้น
“วางใจเถอะ! ฮูหยินกับลูกชายของท่านปลอดภัยดี ตอนนี้พวกเขาออกไปจากเสวียนจิงก่อน รอข้าพาเจ้าออกไปแล้ว ครอบครัวของเจ้าก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้า” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“อะไรนะ! ออกไปจากเสวียนจิง หรือว่าแม้แต่ท่านเซียนก็ไม่สามารถรักษาตำแหน่งของข้าไว้ได้? ถ้าข้าหนีไปจริงๆ ก็ไม่เท่ากับว่าข้าเป็นนักโทษหลบหนีของราชสำนักหรอกหรือ” ผู้ตรวจการเฉินฟังจบกลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย
หลิ่วหมิงได้ยินคำตอบเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว และส่งเสียงออกไปอย่างราบเรียบ
“ข้ามาเสวียนจิงครั้งนี้ ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ตอนนี้ไม่สะดวกที่จะไปคบค้าสมาคมกับคนของราชสำนัก แต่ถ้าท่านยังอาลัยอาวรณ์ตำแหน่งในราชสำนักอยู่ล่ะก็ ต้องหลบเลี่ยงเหตุการณ์เลวร้ายนี้ไปก่อน แล้วค่อยให้อาจารย์ลุงเหลยออกหน้าเรียกคืนตำแหน่งให้ท่าน ไม่แน่อาจจะได้ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปอีกขั้น แต่ถ้าท่านไม่ยอมไปตอนนี้ล่ะก็ ข้าก็จะไม่บังคับ แต่หลังจากนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ท่านต้องรับผิดชอบเอง”
“ขอท่านเซียนอย่าได้ถือสาที่ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ข้าล่วงเกินคนเยอะขนาดนั้น ไหนเลยจะสามารถเป็นขุนนางอยู่ในเสวียนจิงได้อย่างสงบสุข ข้าจะไปพบฮูหยินกับท่านเซียนเดี๋ยวนี้ ตำแหน่งขุนนางนี้ไม่เป็นก็ได้” ผู้ตรวจการเฉินได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบเปลี่ยนความคิดแล้วกล่าวออกมา
“ดีมาก! แบบนี้ถึงเป็นการเลือกที่ชาญฉลาด ใต้เท้าเฉินถอยไปสองสามเก้าก่อนเถอะ” หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ หลังจากที่กำชับออกไปไม่กี่ประโยค ก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ฟู่!” “ฟู่!” มือทั้งสองของหลิ่วหมิงจับราวเหล็กสีดำไว้แน่น
ผู้ตรวจการเฉินเห็นเช่นนี้ก็รีบหลบไปด้านข้าง
ครู่ต่อมา แสงสีแดงก็ปรากฏออกมาตรงมือทั้งสองของหลิ่วหมิง เปลวไฟอันคุโชนลุกไหม้ขึ้นมา
ราวเหล็กที่ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษก็ละลายกลายเป็นของเหลวในฉับพลัน จนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่ที่คนสามารถลอดออกมาได้
“ขอบคุณท่านเซียน!”
ผู้ตรวจการเฉินรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบมุดออกไปจากรู
“ตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่” หลิ่วหมิงพูดออกไปหนึ่งประโยค และคิดที่จะพาชายผู้นี้ออกไป
แต่ในขณะนั้นเอง ห้องขังอีกห้องที่อยู่ไม่ไกล ก็มีนักโทษคนหนึ่งกระโจนมาจับราวกั้นและตะโกนพูดออกมา
“พี่เฉิน ข้าคืออาวุโสซุน อย่าเพิ่งรีบไป ท่านเซียนผู้นี้พาข้าไปด้วยเถิด ถ้าข้าออกไปได้ล่ะก็ จะต้องตอบแทนน้ำใจอย่างงาม” นักโทษผู้นี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แต่ฟังจากน้ำเสียงก็น่าจะอายุไม่น้อยแล้ว
“เรื่องนี้……” ผู้ตรวจการเฉินได้ยินก็อดที่จะลังเลไม่ได้
“เขาเป็นใคร สนิทกับท่านหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็กวาดตามองนักโทษคนนั้นทีหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“ไม่อาจกล่าวได้ว่าสนิทกัน เพียงแต่หลังจากเข้ามาในนี้ พวกเราต่างก็พูดคุยกันเล็กน้อย เพราะตกอยู่ในสถานการณ์น่าสงสารเหมือนกัน ใต้เท้าซุนผู้นี้เป็นขุนนางดูแลเรื่องทั่วไปของราชวงศ์ จากที่ฟังมาพอจะถือได้ว่าเป็นญาติของเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง แต่หนึ่งปีก่อน ไม่รู้ว่าไปยั่วโทสะจักรพรรดิเข้าได้อย่างไร จึงถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางแล้วนำมาขังไว้ที่นี่” ผู้ตรวจการเฉินอธิบายให้หลิ่วหมิงฟังเบาๆ
“ในเมื่อไม่ค่อยสนิทกัน ก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก ข้าช่วยท่านออกไปหนึ่งคน ถ้าแขกจิตวิญญาณทองคำของราชสำนักเหล่านั้นรู้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนเหมือนกัน ส่วนมากก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และจะไม่ส่งคนไปจับพวกท่านจริงๆ แต่ถ้าพาไปเพิ่มอีกคนล่ะก็ เรื่องราวมันจะยุ่งยากขึ้น” หลิ่วหมิงฟังจบก็กล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ได้ ข้าจะฟังท่านเซียนทุกอย่าง” ผู้ตรวจการเฉินไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นทั้งสองจึงหมุนตัวเพื่อที่จะเดินจากไปอีกครั้งโดยไม่สนใจ
“ท่านเซียนช้าก่อน ข้ารู้ความลับบางอย่าง ความลับนี้พัวพันถึงราชวงศ์นี้ แม้กระทั่งสามารถชี้ชะตาของแคว้นต้าเสวียนได้ แม้แต่ท่านเซียนเองก็ไม่อาจละเลยได้” พอใต้เท้าซุนเห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนออกมาด้วยความรีบร้อน
“อะไรนะ ท่านหมายความว่าอย่างไร? รู้ไหมว่าถ้าโกหกข้าล่ะก็ ข้าจะใช้วิธีการแบบใดทำให้เจ้าจะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้?” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมาในที่สุด ร่างเขาเคลื่อนไหวอย่างพร่ามัวทีเดียว ก็มาปรากฏอยู่หน้าห้องขังของ ‘ใต้เท้าซุน’ ผู้นี้ราวกับปีศาจ ดวงตาทั้งคู่จ้องมองเขาและกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ท่านเซียน ในเมื่อข้ากล้าพูดเรื่องนี้ออกมา ข้าย่อมมีหลักฐาน” ถึงแม้ใต้เท้าซุนจะถูกสายตาอันเยือกเย็นของหลิ่วหมิงจ้องมองจนขนลุกเล็กน้อย แต่ก็ยังกัดฟันกล่าวออกมา
“ดีมาก! จำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี ข้าจะเชื่อเจ้าสักครา” หลิ่วหมิงเขม้นตามองใบหน้าของ ‘ใต้เท้าซุน’ อยู่ครู่หนึ่ง และพยักหน้ากล่าวอย่างเยือกเย็น
จากนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนมือของเขา เผยให้เห็นกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง มันตัดราวเหล็กตรงหน้าออกเป็นเจ็ดแปดชิ้น
ใต้เท้าซุนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบกล่าวขอบคุณแล้วมุดออกมาในทันที
“คำพูดของท่านในก่อนหน้านั้น คนอื่นๆ ต่างก็ได้ยินกันหมดแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราไม่สามารถออกไปอย่างนี้ได้ จะต้องจัดการพวกเขาก่อน” หลังจากเสร็จสิ้นการกระทำดังกล่าว หลิ่วหมิงก็กวาดสายตาไปยังนักโทษที่เหลืออีกสี่ห้าคน แล้วกล่าวด้วยตาที่เป็นประกายเยือกเย็น
“ท่านเซียน หรือว่าท่านคิดที่จะ…” หลังจากฟังคำพูดของหลิ่วหมิงแล้ว ผู้ตรวจการเฉินกับใต้เท้าซุนที่เพิ่งถูกช่วยออกมาต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
เดิมทีนักโทษคนอื่นๆ ในห้องขังก็ตื่นตระหนกตกใจกับคำพูดของใต้เท้าซุนอยู่แล้ว แต่พอตอนนี้ได้ยินหลิ่วหมิงพูดเช่นนี้ ทุกคนต่างก็หน้าซีดขึ้นมา
“วางใจเถอะ! ถึงข้าจะไม่ใช่คนธรรมดาบนโลกนี้ แต่ก็ไม่ทำให้เลือดเปื้อนเรือนจำของราชสำนักง่ายๆ หรอก มิเช่นนั้นก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น ข้าเพียงแค่จะใช้วิชาบางอย่าง ทำให้พวกเขาลืมเรื่องก่อนหน้านั้น” หลิ่วหมิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณท่านเซียนที่ถือเอาเมตตาธรรมเป็นหลัก” ผู้ตรวจการเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วรีบโค้งตัวกล่าว
หลิ่วหมิงโบกมือแล้วก็เดินไปห้องขังที่มีนักโทษ เขาบิดตัวทีเดียวร่างไก็อ่อนราวกับไร้กระดูก และเบียดผ่านราวกั้นเข้าไปในห้องขัง
สร้างความตกใจให้กับชายชราที่นั่งอยู่ในนั้นทันที เขาลุกขึ้นยืนแล้วถอยหลังไปสองก้าวอย่างอดไม่ได้
“เรื่องที่พวกข้าพูดคุยกันด้านนอก ท่านเองก็ได้ยินหมดแล้ว ท่านจะร่วมมือกับข้าดีๆ หรือให้ข้าใช้กระบี่แทงท่านให้ลาจากโลกนี้ไปเลย?” หลิ่วหมิงกล่าวกับชายชราอย่างไม่เกรงใจ
“ถึงแม้ข้าจะอายุมากแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่อาลัยอาวรณ์อยู่บนโลกใบนี้ ในเมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน ท่านเซียนโปรดจงลงมือเถิด!” ในที่สุดชายชราก็มีสีหน้าที่สงบลง และยิ้มอย่างขมขื่นก่อนกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้าและสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นธูปหอมสีเหลืองอ่อนดอกหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา และเขานำมันไปปักไว้บนพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ติดไฟแล้วลุกไหม้ขึ้นมา
พริบตาเดียวธูปหอมก็ส่งกลิ่นตลบอบอวลไปทั่วห้องขัง
“โครม!” “โครม!”
ไม่ว่าจะเป็นผู้ตรวจการเฉินที่อยู่ด้านนอก ใต้เท้าซุน หรือคนอื่นๆ ที่ถูกขังอยู่ในห้องขังต่างก็ค่อยๆ ล้มลงไปเมื่อได้กลิ่นธูป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็ทำให้ไอดำที่ปกคลุมร่างสลายไป และนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น เขายกข้างหนึ่งดูดเอาร่างของชายชรามาไว้ตรงหน้า ทำให้เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าเขา เข็มเงินเปล่งประกายออกมาในมือ และฝังเข้าไปในร่างของชายชรา
ร่างของชายชรานั่งตรงด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็ลืมตาทั้งคู่อย่างซืมกระทือ
หลิ่วหมิงเริ่มร่ายคาถา แสงแวววาวเปล่งประกายออกจากลูกตาเขาอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกันมือทั้งสองต่างก็คีบเข็มเงินไว้ และแทงไปตามจุดต่างๆ บนศีรษะของชายชราอย่างรวดเร็ว
……
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ไอดำบนร่างหลิ่วหมิงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และค่อยๆ เดินขึ้นไปตามบันได ห่างจากเขาไปหลายฉื่อ หนวดสัมผัสขนาดใหญ่สองเส้นที่กลายร่างมาจากไอสีดำ ต่างก็ม้วนเอาผู้ตรวจการเฉิน และใต้เท้าซุนที่สลบไสลเข้าไปในนั้น ทำให้พวกเขาลอยออกไปพร้อมกับเขา
……………………………………….