พอหลิ่วหมิงออกจากประตูเหล็กที่แง้มไว้ และกวาดสายตามองไปรอบด้านแล้ว ก็รู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
ทหารที่ควรจะยืนแข็งอยู่อยู่นอกประตูเหล่านั้น ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว แทนที่ด้วยชายฉกรรจ์สวมชุดหนังสั้นสีเหลือง และชายชราหน้าแดงที่ตาทั้งสองรียาว
ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งมีแส้สีดำเล็กๆ พันอยู่ที่เอว อีกคนสะพายกระบี่ยาวสีเหลืองอ่อนอยู่ที่หลัง และกำลังจ้องมองหลิ่วหมิงที่กำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าแปลกใจ
“แขกระดับจิตวิญญาณทองคำ?”
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่แสดงท่าทีตกใจมากนัก เขาถามออกไปด้วยสีหน้าสงบ
“ไม่ผิด พวกข้าทั้งสองเป็นแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ คืนนี้ลาดตระเวนมาที่นี่พอดี ไม่คิดว่าจะมาเจอสหายเข้า ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวเสียจริง ขอถามหน่อย เจ้าสองคนนี้มีความสัมพันธ์อันใดกับสหาย?” ชายชราหน้าแดงถอนหายใจ แล้วกวาดตามองคนที่อยู่ข้างหลังหลิ่วหมิงก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยมีบุญคุณกับผู้อาวุโสของข้าเท่านั้น วันนี้เลยต้องมาชดใช้คืนบ้าง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“หืม! ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญเสียจริง! ทั้งสองคนที่มีความสัมพันธ์กับสหายนี้ ต่างก็ได้รับโทษเหมือนกัน ทั้งยังถูกขังอยู่ในที่เดียวกัน และรอให้สหายมาช่วย?” ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์ได้ยิน กลับกล่าวออกมาพร้อมกับทำตามองบน
“ใช่สิ! เรื่องนี้ช่างบังเอิญเสียจริง!” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ฮึ! ถ้าพวกข้าสองคนไม่มาพบเข้า ต่อให้เจ้าจะช่วยคนในเรือนจำทั้งหมดออกไป มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกข้า แต่ในเมื่อตอนนี้พบเจอกันแล้ว เห็นแก่ที่เป็นผู้ฝึกฝนเหมือนกัน ตามหลักการแล้วพวกเราจะยอมให้เจ้าพาไปคนหนึ่ง ส่วนอีกคนต้องทิ้งไว้ที่นี่” ชายชราหน้าแดงค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ได้! ข้าจะพาไปทั้งสองคน คนเดียวก็ทิ้งไว้ไม่ได้” หลิ่วหมิงตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล
“ดูท่าสหายจะมั่นใจในพลังของตนเองมาก คิดจะลงมือแล้วหรือ คุยกันดีๆ ก่อน พวกเราเป็นแขกระดับจิตวิญญาณทองคำของราชสำนัก ย่อมไม่ต่อสู้กับผู้อื่นเพียงลำพัง และจะลงมือพร้อมกันอย่างแน่นอน” ชายชราหน้าแดงกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์แสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็คว้ามือไปจับแส้บนเอว พอสะบัดออกไปทีเดียว มันก็เคลื่อนไหวออกมา ความจริงแล้วมันคืออสรพิษมืดขนาดเล็กที่ยังมีชีวิตอยู่
หัวของมันแบนเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามันมีพิษร้ายแรง
“เฮ่อๆ! ไม่มีความจำเป็นเลย” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะแล้วก้าวยาวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทันใดนั้นก็เสียงดัง “ฟู่!” กลิ่นไออันแข็งแกร่งระเบิดตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นอากาศบริเวณนี้ก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ พายุบ้าระห่ำสีดำได้ปรากฏขึ้น มันหมุนติ้วๆ รอบตัวหลิ่วหมิงแล้วหมุนทะยานขึ้นไปบนฟ้า
พอชายชราหน้าแดงกับชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์เห็นนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก พวกเขายังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวที่พุ่งชนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ร่างของทั้งสองสั่นสะท้าน จากนั้นก็ถอย ออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว และยังขยับไปคนละข้างเพื่อเปิดทางให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงขยับตัวพาคนทั้งสองแวบผ่านตรงกลางไป พริบตาเดียวก็หายไปหลังประตูที่อยู่ไม่ไกล
ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์จับอสรพิษมืดในมือไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา เขาไม่ได้ทำการขัดขวางใดๆ ไปชั่วขณะ
ชายชราหน้าแดงมีสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมาก จนเมื่อหลิ่วหมิงหายลับไปแล้วถึงได้เอ่ยปากออกมา “ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย”
“ดูท่าคงจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายไม่มีผิด แม้กระทั่งอาจจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบก็ได้ มิเช่นนั้นศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นอย่างพวกเราสองคนคงไม่ดูไร้ประโยชน์เช่นนี้” ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์ถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็สะบัดข้อมือเพื่อให้อสรพิษมืดกลับไปรัดพันที่เอวอีกครั้ง
“อืม! มันน่าจะเป็นไปได้ มิน่าล่ะ! เขาถึงได้กล้าทำเหมือนกับว่ามองไม่เห็นพวกเรา ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกับเฒ่าประหลาดในราชวงศ์นี้ ไหนเลยที่คนอย่างพวกเราจะกล้าหาเรื่อง เรื่องนี้นับว่ามีข้ออ้างสำหรับการรายงานแล้ว ถ้ารายงานไปตามจริงเช่นนี้ เบื้องบนก็คงไม่โทษพวกเรา” ชายชราหน้าแดงกล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“คงจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่จะว่าไปแล้วบรรยากาศในเสวียนจิงนับวันยิ่งไม่ปกติเข้าไปทุกที เริ่มจากผู้ฝึกฝนระดับสูงในกลุ่มแขกระดับจิตวิญญาณทองคำกับเฒ่าประหลาดในราชวงศ์เหล่านั้น ต่างก็ประกาศเก็บตัวฝึกฝน โดยตัดขาดจากโลกภายนอก จากนั้นในช่วงสองปีนี้ ก็มีผู้ฝึกฝนอิสระแห่กันเข้ามาเสวียนจิงมากกว่าหลายปีก่อน ในกลุ่มนั้นมีหลายคนที่ดูลับๆ ล่อๆ ก็เหมือนกับวันนี้ที่พวกเราได้เจอกับศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ ทำให้รู้ว่ายังมีพวกเขาอยู่อีกหลายคน ยังมีผู้ปิดซ่อนระดับการฝึกฝนที่พวกเราไม่รู้อีกมากมายเท่าไหร่อยู่ในเสวียนจิง มันคงไม่สร้างความวุ่นวายให้เสวียนจิงหรอกนะ!” ดวงตาชายฉกรรจ์เป็นประกายออกมา ก่อนที่จะเค้นเสียงถามออกไป
“ฮึ! ยังจะต้องให้เจ้าพูดอีกหรือ เกรงว่าพี่น้องหลายคนต่างก็มองเห็นความผิดปกติเหล่านี้แล้ว แต่ผู้ฝึกฝนระดับต่ำอย่างพวกเรา ไหนเลยจะมีสิทธิ์ถกปัญหาเรื่องนี้ อีกอย่างที่พวกเราเข้าร่วมเป็นแขกจิตวิญญาณระดับทองคำ ต่างก็ได้ลงนามสัญญาโลหิตแล้ว ถ้ายังไม่สิ้นสุดสัญญา พวกเราก็ไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมของราชสำนักได้ ต่อให้เกิดเหตุร้ายขึ้นก็ต้องเข้าร่วมกับราชสำนัก” ชายชราหน้าแดงได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“ถ้ามันง่ายแบบนี้ก็ดีสิ ที่สำคัญคือตอนนี้ราชสำนักเองก็ดูแปลกประหลาด เชื้อพระวงศ์เหล่านั้นรู้ทั้งรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่กลับไม่บอกแขกระดับต่ำอย่างพวกเรา ถึงแม้ข้าจะลงนามสัญญาโลหิตแล้ว แต่ก็ไม่อยากถูกคนใช้เป็นหมากบนกระดานโดยไม่รู้ตัว” ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์ทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา
“น้องจวง เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ?” ชายชราหน้าแดงมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา ก่อนที่จะถามออกไป
“แน่นอน! ถึงแม้ระดับการฝึกฝนของข้าจะต่ำไปหน่อย เป็นเพียงแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น และเป็นผู้ฝึกฝนอิสระที่ไม่รู้ว่าผ่านความยากลำบากมาตั้งเท่าไหร่ กว่าจะฝึกฝนมาได้อย่างทุกวันนี้ จะยอมให้คนอื่นหลอกใช้ได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์ได้ยินก็รีบชกอกกล่าว
“ในเมื่อน้องจวงพูดความในใจออกมา ข้าจะให้ที่อยู่บางแห่งกับเจ้า อีกสามวันเจ้าก็ไปที่นั่น พอถึงเวลานั้นข้าจะแนะนำสหายผู้มีอุดมการณ์เดียวกันให้เจ้ารู้จัก” ในที่สุดชายชราหน้าแดงก็ตัดสินใจกล่าวออกมา
“ได้ พอถึงเวลาข้าจะไปตามนัดอย่างแน่นอน!” ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์ได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ชายชราจะมีระดับการฝึกฝนเท่ากับเขา แต่ในบรรดาแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ เขาเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นมากสุด ในเมื่อเขาบอกว่าจะแนะนำคนให้รู้จัก เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่คำโป้ปดแต่อย่างใด
“ถึงแม้คนผู้นั้นจะไปแล้ว แต่พวกเราควรไปตรวจสอบข้างในสักหน่อย ดูว่ามีใครหายไปอีกหรือเปล่า” ชายชราหน้าแดงมองบันไดหลังประตูเหล็กทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“แน่นอนอยู่แล้ว ได้แต่หวังว่าคนผู้นี้จะพาไปแค่สองนั้น คงไม่ฆ่าคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างในจนหมดสิ้น” ชายฉกรรจ์ชุดหนังได้ยินก็พยักหน้า
จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปในประตูเหล็ก ไม่นานก็ค้นพบว่านักโทษไม่กี่คนในนั้นยังคงสลบอยู่ ดังนั้นทั้งสองจึงแสดงวิชาเรียกให้ทุกคนฟื้นด้วยความตกใจ
แต่ผู้ที่ฟื้นขึ้นมานั้นกลับจำเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนสลบไปไม่ได้เลย
และเหลือเพียงกลิ่นของธูปหอม และจุดสีแดงบนศีรษะของพวกเขา ชายชราหน้าแดงกับชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์มองหน้ากันทีหนึ่ง และก็พอจะเข้าใจได้ลางๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้พวกเขาทั้งสองได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เห็นได้ชัดว่าวิธีการลบความจำของฝ่ายตรงข้าม ไม่ได้เป็นแค่วิธีการของผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปเท่านั้น แต่ยังผสมกับสมุนไพรและทักษะลับบางอย่างของมนุษย์ ความลึกลับซับซ้อนนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทั้งสองจะสามารถเข้าใจได้
……
หลายชั่วยามต่อมา เมื่อท้องฟ้าใกล้สว่าง
ด้านล่างของเนินเขาเล็กตรงข้างถนนสายหลัก มีรถม้าสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่หน้ารถ และมองไปทางเมืองเสวียนจิงอยู่ไม่หยุดด้วยสีหน้าวิตกกังวล ราวกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่
“ลุงหลิน ยังไม่มีข่าวของท่านเซียนอีกหรือ?” พลันมีเสียงของฮูหยินเฉินดังมาจากในรถม้า
“ฮูหยินวางใจเถอะ! ท่านเซียนมีพลังอันน่าอัศจรรย์ แค่เรือนจำธรรมดาหลังหนึ่งจะต้านทานอะไรเขาได้ ตอนนี้ฟ้าเพิ่งจะสว่าง เชื่อว่าอีกไม่นาน นายท่านก็จะมาพบกับฮูหยินแล้ว” ลุงหลินได้ยินก็กล่าวอย่างนอบน้อม
“หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ลุงหลิน ครั้งนี้ตระกูลเฉินของเราต้องประสบกับความลำบาก มีเพียงท่านที่ไม่ทอดทิ้งกันไป รอข้ากับสามีกลับไปจัดการเรื่องที่อยู่อาศัยได้แล้ว จะต้องให้ท่านเสพสุขกับชีวิตในบั้นปลายอย่างแน่นอน” พอฮูหยินเฉินได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ
“ฮูหยิน อย่าถือเป็นคนอื่นไป ถ้าไม่ใช่ว่านายท่านช่วยข้าไว้ในปีนั้น ข้าคงเสียชีวิตไปเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว ไหนเลยจะอยู่มาได้จนถึงวันนี้” ลุงหลินรีบกล่าวออกมา
“สองสิ่งนี้มันคนละเรื่องกัน ลุงหลิน ท่านรับใช้ตระกูลเฉินด้วยความภักดีมาหลายปี ต่อให้ตระกูลเฉินมีบุญต่อท่าน แต่ก็คงถูกท่านตอบแทนไปจนหมดตั้งนานแล้ว บุญคุณครั้งนี้ ข้ากับสามีจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” ฮูหยินเฉินกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
“ฮูหยิน ความจริง…… เอ๊ะ! ด้านหน้ามีรถม้ากำลังวิ่งมาคันหนึ่ง คนขับเหมือนจะเป็นนายท่าน” ลุงหลินกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่ก็มองเห็นรถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งมาจากที่ไกลๆ หน้ารถมีคนเงาร่างคุ้นเคยคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาจึงร้องออกมาด้วยความดีใจ
“อะไรนะ! ใช่สามีข้าจริงๆ หรือ? คงดูไม่ผิดหรอกนะ!” ผ้าม่านหน้ารถม้าถูกเปิดออกมา ฮูหยินเฉินจูงแขนลูกชายเดินออกมานอกรถ และมองไปที่ถนนสายหลักด้วยความตื่นเต้น
“เฮ้อ! ฮูหยินวางใจได้ เป็นนายท่านเฉินไม่มีผิด”
ขณะนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะของผู้ชายดังมาจากบนอากาศ
ลุงหลินกับฮูหยินเฉินรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเขาแหงนหน้าขึ้นไปมองอย่างรวดเร็ว ถึงค้นพบว่ามีเมฆดำก้อนหนึ่งค่อยๆ ร่อนลงมา บนนั้นมีบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ซึ่งคนผู้นั้นก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
……
หนึ่งเค่อต่อมา หลิ่วหมิงยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเนินเขา ในมือถือถุงหนังที่ฮูหยินเฉินเพิ่งจะคืนให้เมื่อครู่ เขาจ้องมองรถม้าบนถนนสายหลักที่ค่อยๆ กลายเป็นจุดสีดำ และยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดเขาก็ทำงานที่อาจารย์ลุงเหลยมอบให้สำเร็จแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะค่อนข้างรู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก
“ใต้เท้าซุน ตอนนี้พวกเราควรจะมาพูดคุยเรื่องความลับที่ท่านเคยกล่าวไว้” หลิ่วหมิงละสายตากลับมา แล้วหันไปกล่าวกับชายอายุราวๆ ห้าสิบกว่าปีที่ยืนอยู่ด้านข้าง ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
……………………………………….