พอเสวียนจื้อเห็นขวดใบเล็ก ใบหน้าก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ผ่านไปสักพักถึงได้ถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะเก็บมันขึ้นมา และเทโอสถสีเขียวมาทานอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นานใบหน้าที่ขาวซีดของเขาก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมา ขณะเดียวกันเกล็ดสีเขียวบนตัวก็หายไป สีของเส้นผม ดวงตา ก็กลับมาเป็นสีดำ ทุกอย่างฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
“เดิมทีคิดที่จะดึงคนของนิกายเหล่านั้นมา จะได้ฉกฉวยผลประโยชน์ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังวุ่นวาย และดูว่าสามารถเปลี่ยนอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่มีหวังเลยแม้แต่น้อย คงต้องเดินตามทางที่เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้วางไว้ หวังว่าในภายหน้าจะเป็นอย่างที่นางพูด” เสวียนจื้อยกมือทั้งสองที่ฟื้นฟูกลับมาดังเดิมขึ้นมา หลังจากที่ตรวจสอบดูเล็กน้อยแล้วก็กล่าวกับตัวเองอย่างไม่มีทางเลี่ยง
จากนั้นจักรพรรดิแคว้นต้าเสวียนผู้นี้ ก็ไปจากห้องลับด้วยท่าทีเซื่อมซึม
……
ช่วงเวลาเย็น หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงในห้องพักของตนเอง และกำลังดูเกล็ดสีเขียวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
จากประสบการณ์ของเขา มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่อาจสังเกตเห็นอะไรเป็นพิเศษจากเกล็ดนี้ แต่มันจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน
ดูท่าเรื่องที่ใต้เท้าซุนพูดคงเป็นเรื่องจริงแปดถึงเก้าในสิบส่วน
จักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่นิกายทั้งห้ายกขึ้นมานี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันยิ่งนัก มันพอที่จะให้นิกายทั้งห้ารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากได้
แต่ก็ด้วยเหตุนี้ เขาถึงไม่บอกข่าวเรื่องนี้กับนิกายโดยง่าย
เพราะนอกจากเกล็ดที่เขามีอยู่ในมือแล้ว ก็ไม่มีหลักฐานชิ้นอื่นอีกเลย ถ้าหากเป็นเรื่องเข้าใจผิด หรือมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เขาคงถูกตำหนิไม่เบา
อีกไม่นานเกาชงก็อาจจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว หลิ่วหมิงไม่สามารถเผยจุดอ่อนนี้ให้ฝ่ายตรงข้ามได้
หลังจากที่เขาคิดไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ในใจตั้งนานสองนาน ในที่สุดก็ตัดสินใจระงับข่าวเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวก่อน รอหาหลักฐานอื่นที่ชัดเจนได้แล้ว และมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงถึงค่อยส่งข่าวกลับไปนิกาย
แต่เรื่องที่มีคนดักซุ่มที่อารามเสี่ยวชิง มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการหายตัวไปของศิษย์ตรวจตราไหม?
หลังจากที่หลิ่วหมิงเก็บเกล็ดเข้าไปแล้ว ก็อดที่จะคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้
ภายในระยะเวลาไม่กี่วันต่อมา เขาดูเหมือนจะใช้เวลาทั้งหมดเดินแช่อยู่ในตลาดใต้ดินของเสวียนจิง และซื้อโอสถกับยันต์ที่คาดว่าจำเป็นต้องใช้มาจำนวนหนึ่ง แต่สิ่งของที่มูลค่าสูงกลับหาไม่พบ
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด!
ด้วยสายตาและสถานะของเขาในตอนนี้ สิ่งของโดยทั่วไปยากที่จะเข้าตาเขาได้
แต่ในวันนี้ ขณะที่หลิ่วหมิงเพิ่งกลับมาจากตลาด กลับถูกเฉียนเชาที่เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่เรียกตัวเขาไว้ และกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายเฉียน ท่านกลับมาแล้ว ข้ามีข่าวดีจะบอกท่าน ไม่ทราบว่าคุณชายเฉียนอยากฟังหรือไม่?”
“ในเมื่อเป็นข่าวดี ทำไมข้าจะไม่อยากฟังเล่า” หลิ่วหมิงยิ้ม
“เฮ่อๆ! ข่าวดีที่ว่าคือ ในที่สุดผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไป๋จื่อก็ยอมพบพวกเราแล้ว ครั้งนี้ท่านปรุงโอสถชนิดใหม่ เพื่อเตรียมประมูลในงานประมูลที่เรือนร้อยวิญญาณจัดขึ้น ดังนั้นถึงยอมพบพวกเรา ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณชายมีเวลาหรือไม่ เพราะว่าข่าวนี้ถูกส่งมาช้าไปหน่อย ทางที่ดีที่สุดพวกเราไปพบผู้เชี่ยวชาญฝานในตอนนี้ เผื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการประมูลโอสถ เพียงมีโอสถตัวใหม่ของผู้เชี่ยวชาญฝาน เชื่อว่าความเชื่อมั่นในความสำเร็จของการประมูลครั้งนี้จะเพิ่มมากขึ้น” เฉียนเชากล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ตอนนี้? ไม่ทราบว่านอกจากเถ้าแก่เฉียนแล้ว ยังมีคนอื่นที่ไปพร้อมกันหรือไม่?” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงงัน แต่ก็รีบถามไปเย่างรวดเร็ว
“ไม่มีแล้ว มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้น ผู้อาวุโสเหมี่ยนดูแลเรื่องเกี่ยวกับการประมูลอยู่ จึงต้องเฝ้าคลังเก็บของ และไม่อาจปลีกตัวไปได้” เฉียนเชากล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ได้! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ!” หลิ่วหมิงคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าตอบรับ
เฉียนเชาได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบสั่งให้คนไปเตรียมรถม้า แล้วตนกับหลิ่วหมิงก็เดินออกไปนอกประตูจวน
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงกับเฉียนเชาก็มาปรากฏตัวบนถนนภูเขาเส้นหนึ่ง และมุ่งตรงไปยังด้านบน
“ผู้เชี่ยวชาญฝานก็พักอยู่บนเขาเซียนทอแสงด้วย ช่างบังเอิญเสียจริง” หลิ่วหมิงมองดูทิวทัศน์รอบด้าน และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ด้วยระดับความรู้อันลึกซึ้งของผู้เชี่ยวชาญฝาน ย่อมไม่ทำให้ตนเองอยู่ภายใต้การควบคุมของอิทธิพลต่างๆ อีกอย่างเขาเซียนทอแสงก็มีพลังปราณหนาแน่น ทั้งยังเงียบสงบ เป็นสถานที่เหมาะกับการปรุงโอสถ” ถึงแม้เฉียนเชาจะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีชีพจรจิตวิญญาณ แต่ท่าทางแข็งแรงปราดเปรียวที่เดินเคียงบ่าไปกับหลิ่วหมิง กลับไม่มีสีหน้าอ่อนเพลียเลยแม้แต่น้อย
“มันก็ใช่ ด้วยการที่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถนั้นมีน้อย ถ้านำตัวเองไปอยู่ในสถานที่อันตรายล่ะก็ เกรงว่าต่อให้ถูกคนจับตัวไปแล้วบีบบังคับให้ปรุงโอสถ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่ผู้เชี่ยวชาญฝานไป๋จื่อพักอยู่บนเขาเซียนทอแสง เกรงว่าคงถูกราชสำนักเอาเปรียบไม่น้อย” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบกลับไป
”ฮ่าๆ! คุณชายเป็นคนที่เข้าใจเรื่องต่างๆ ได้ดีจริงๆ เพื่อเป็นค่าตอบแทนของการคุ้มครอง ทุกปีเขาต้องปรุงโอสถจำนวนหนึ่งมอบให้กับราชสำนัก และถ้าแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเหล่านั้นต้องการซื้อโอสถทีทผู้เชี่ยวชาญฝานล่ะก็ สามารถซื้อได้ถูกกว่าคนอื่นๆ หนึ่งถึงสองส่วน” เฉียนเชาหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้า แสดงสีหน้าเห็นด้วย
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ทั้งสองก็มาถึงใต้หน้าผาที่สูงชะโงกเงื้อมในที่สุด บนหน้าผามีประตูหินสีดำขนาดใหญ่อยู่บานหนึ่ง ข้างประตูทั้งสองด้านมีรูปสลักสิงโตหินสีดำสูงจั้งกว่าๆ จัดวางอยู่ข้างละตัว
และห่างจากหน้าประตูไปไม่ไกล มีศาลาไม้หลังใหญ่ตั้งอยู่ มีคนราวๆ สิบกว่าคนกำลังพักผ่อนอยู่ในนั้น
พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองไปก็ดูออกว่าคนเหล่านี้ต่างก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณ แต่ก็มีไม่กี่คนที่เป็นคนธรรมดา
“คนเหล่านี้คือ……” หลิ่วหมิงถาม
“ไม่ต้องสนใจพวกเขา คนเหล่านี้ไม่คิดที่จะมอบตัวเป็นศิษย์ของผู้เชี่ยวชาญฝานเพื่อเรียนวิชาปรุงโอสถ พวกเขาเพียงแต่จะขอให้ผู้เชี่ยวชาญฝานปรุงโอสถบางอย่างให้เท่านั้น ปกติแล้วผู้เชี่ยวชาญฝานจะไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย” เฉียนเชาตอบราวกับเป็นเรื่องปกติ
จากนั้นเขาก็พาหลิ่วหมิงเดินไปยังประตูหินบนหน้าผาอย่างรวดเร็ว และสะบัดแขนเสื้อเคาะประตูด้วยเสียงดัง “ก๊อก!” “ก๊อก!”
ผ่านไปไม่นานประตูหินก็เปิดออก เด็กน้อยฟันขาวปากแดงที่ถักผมเปียก็เดินออกมา
“ท่านทั้งสองคือ?” เด็กน้อยสังเกตดูคนทั้งสองแล้วเอ่ยปากถามออกมา
“ข้าคือเฉียนเชา เจ้าของเรือนร้อยวิญญาณ ได้นัดหมายกับผู้เชี่ยวชาญฝานไว้แล้ว” เฉียนเชากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเถ้าแก่เฉียน ผู้เชี่ยวชาญได้สั่งไว้แล้ว ถ้าเถ้าแก่เฉียนมาล่ะก็ไม่ต้องไปรายงานท่าน และพาไปห้องรับแขกได้เลย” เด็กน้อยได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม และขยับตัวไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้
เถ้าแก่เฉียนเห็นเช่นนี้ก็กล่าวขอบคุณแล้วพาหลิ่วหมิงเดินเข้าไป
พอผู้คนที่อยู่ในศาลาไม้เห็นเช่นนี้ ต่างก็ฮือฮาขึ้นมาในทันที
นิสัยแปลกประหลาดของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถอย่างฝานไป๋จื่อผู้นี้ ผู้คนในเสวียนจริงต่างก็รู้ดี
พวกเขาเหล่านี้อยู่ที่นี่มานานสุดครึ่งเดือนแล้ว น้อยสุดก็สองสามวัน แต่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกว่ามีคนที่พูดเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถเดินเข้าประตูหินได้โดยไม่ยี่หระอะไรทั้งสิ้น สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้!
ขณะนี้ หลิ่วหมิงและเฉียนเชาถูกเด็กน้อยพาเดินเข้ามาในห้องโถงห้องหนึ่ง
ห้องโถงนี้กว้างสิบกว่าจั้ง มุมห้องทั้งสี่ด้านต่างก็มีกระถางดอกไม้สวยงามแปลกประหลาดวางอยู่ โต๊ะไม้จันทน์กับเก้าอี้สองสามตัวตั้งอยู่กลางห้อง การตกแต่งเงียบง่ายเป็นพิเศษ
“ท่านทั้งสองรออยู่ที่นี่สักครู่ ผู้เชี่ยวชาญกำลังปรุงโอสถอยู่ อีกซักพักถึงจะมาพบท่านทั้งสองได้” เด็กน้อยพาทั้งสองไปนั่งเก้าอี้ และชงชาให้กาหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างนอบน้อม
“ไม่เป็นไร เรื่องปรุงโอสถของผู้เชี่ยวชาญฝานสำคัญกว่ามาก ข้าทั้งสองจะรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” เฉียนเชากล่าว
เด็กชายได้ยินแล้วก็พยักหน้าก่อนที่จะถอยออกไป
ทั้งสองจิบชาไปด้วย พูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปด้วย
“คุณชายเฉียน หลายวันก่อนท่านได้พบกับชิวหลงจื่อที่เป็นผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำแล้วใช่ไหม?” ผ่านไปซักพัก เฉียนเชาก็พลันถามเรื่องนี้ขึ้นมา
“อืม! เคยพบกันจริงๆ เถ้าแก่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หลังจากฉุกคิดได้ก็ถามกลับไป
“ไม่มีอะไร เพียงแค่สองวันก่อนมีคนมาสอบถามเรื่องของคุณชายเฉียน ดูเหมือนว่าจะรับคำสั่งมาจากผู้บัญชาการชิว” เฉียนเชากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ดูท่าผู้บัญชาการชิวผู้นี้จะเป็นที่มีความตั้งใจจริง” หลิ่วหมิงได้ยินก็หัวเราะออกมา
“ข้าได้ยินผู้อาวุโสเหมี่ยนบอกว่า ชิวหลงจื่อผู้นี้กับผู้บัญชาการอีกสามคน ต่างก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบ สามารถพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งที่สุดในเสวียนจิง คุณชายเฉียนคงไม่ได้ล่วงเกินเขาโดยไม่ตั้งใจหรอกนะ?” เฉียนเชาถามหยั่งเชิง
“เถ้าแก่วางใจได้ ข้าเพียงแค่แลกมือกับผู้บัญชาการชิวผู้นี้เพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมา” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเช่นเดิม
“แลกมือ!”
เฉียนเชาได้ยินเช่นนี้กลับรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ถึงเขาจะรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะสามารถเทียบกับผู้ฝึกฝนขั้นสมบูรณ์แบบอย่างชิวหลงจื่อผู้นี้ได้
ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตกใจ และขยับปากจะพูดอะไรออกมา แต่พลันมีเสียงแก่หง่อมดังเข้ามาจากประตูข้างห้องโถง
“ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจมาก ไม่ทราบว่าผลการแลกมือระหว่างสหายกับสหายชิว ใครเป็นผู้ชนะกัน ชิวหลงจื่อเป็นผู้ที่ชำนาญเรื่องวิชาแมลงพิษ แมลงพิษในมือเขาจำนวนมากเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวยิ่งนัก”
พอเสียงสิ้นสุดลง ผู้อาวุโสชุดคลุมสีขาว เส้นผมสีขาว ใบหน้ามีเลือดฝาดก็เดินเข้ามาจากประตูที่อยู่ด้านข้าง ใบหน้าเขาไปด้วยความสนใจ
“ผู้เชี่ยวชาญฝาน โอสถของท่านปรุงเสร็จแล้วหรือ” พอเฉียนเชาเห็นผู้อาวุโสก็รีบลุกขึ้นคารวะด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นคารวะด้วยตาที่เป็นประกาย
“ข้าน้อยเฉียนหมิง เป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ คารวะสหายฝาน”
“ท่านทั้งสองเชิญนั่ง! ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ ที่แท้ท่านนี้ก็คือสหายเฉียน เถ้าแก่เฉียน ท่านมีแขกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” ฝานไป๋จื่อโบกมือ หลังจากที่ทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายเฉียนมีความสามารถจริงๆ ทั้งยังเคยช่วยฮูหยินกับลูกชายข้า แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าคุณชายเฉียนจะมีพลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้” เฉียนเชาได้ยินก็รีบฝืนยิ้มตอบกลับไป
“แน่นอน ด้วยสถานะของชิวหลงจื่อ ถ้าไม่ใช่ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน เกรงจะว่าคงยากที่จะดึงดูดให้เขามาแลกมือได้ ดูท่าสหายเฉียนก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่ต้องสงสัย” ฝานไป๋จื่อฟั่นหนวด และจ้องมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งก่อนกล่าวออกมาราวกับคิดอะไรอยู่
……………………………………….