“ดูท่าระดับการฝึกฝนของข้าคงไม่อาจปิดบังท่านทั้งสองได้” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ยอมรับออกมาตามตรง
พอคำพูดนี้เปล่งออกมา ไม่เพียงแค่ฝานไป๋จื่อที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้แต่เฉียนเชาที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าตกใจระคนดีใจยิ่งกว่าเดิม
ในสถานการณ์เช่นนี้ เรือนร้อยวิญญาณมีแขกจิตวิญญานขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบโผล่มาโดยกะทันหัน สำหรับเขาแล้วนับว่าเป็นเรื่องดีที่สวรรค์ประทานมาให้
“จุ๊ๆ! ไม่คิดว่าสหายเฉียนอายุน้อยเช่นนี้ แต่ฝึกฝนมาถึงเขตแดนนี้ได้ ดูเหมือนว่าต่อให้เทียบกับศิษย์แกนนำของนิกายทั้งห้า ก็คงไม่ด้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย ต่อไปถ้าจะทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ฝานไป๋จื่อกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ผู้เชี่ยวชาญฝานชมเกินไปแล้ว ถ้าข้าน้อยมีความมั่นใจในการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ คงซ่อนตัวอยู่ในสถานที่บางแห่งเพื่อเตรียมตัวตั้งนานแล้ว ความจริงที่ข้ามาเสวียนจิงในครั้งนี้ ประการแรกคือเพื่อหาไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เหมาะสม ประการที่สองคืออยากซื้ออาวุธ และโอสถช่วยเสริมจำนวนหนึ่ง เพื่อที่จะได้เพิ่มโอกาสในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณในภายภาคหน้า” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“ฮ่าๆ! อย่างน้อยสหายเฉียนก็ยังมีโอกาสทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ ลำพังเพียงแค่จุดนี้ก็ไม่รู้ว่าทำให้คนอิจฉาตั้งเท่าไหร่แล้ว ส่วนไอปีศาจบริสุทธิ์กับอาวุธและโอสถที่ช่วยเสริมในการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณนั้น ถึงแม้จะพบเจอได้น้อย แต่ในสถานที่อย่างเสวียนจิงก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้สหายเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณแล้ว ไม่แน่อาจจะได้อะไรจากการประมูลในครั้งนี้บ้าง” ฝานไป๋จื่อหัวเราะออกมา จากนั้นก็กล่าวคำที่แฝงไว้ด้วยความหมาย
“ทำไมล่ะ! หรือว่างานประมูลในครั้งนี้จะมีไอปีศาจบริสุทธิ์ปรากฏออกมาด้วย?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา และหันหน้าไปถามเฉียนเชา
“ผู้เชี่ยวชาญฝานกล่าวได้ถูกต้อง เพื่อการประมูลในครั้งนี้ เรือนร้อยวิญญาณได้รวบรวมไอปีศาจบริสุทธิ์มาได้หลายชุด และยังมีไอปีศาจบริสุทธิ์ชนิดที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งที่สุด เป็นรายการรั้งท้ายของการประมูลในครั้งนี้ ตอนนี้มันกำลังอยู่ระหว่างการขนส่งมายังเสวียนจิง” เฉียนเชาเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ฝืนยิ้มแล้วตอบกลับไป
“ดีมาก ดูท่าข้าคงต้องเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ด้วยแล้ว สิ่งของในงานประมูลที่เถ้าแก่เคยรับปากว่าจะขายให้ข้าครึ่งราคานั้น คงจะเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความดีใจ
“คำสัญญาของข้าจะเป็นเท็จได้อย่างไร ไม่ว่าคุณชายอยากจะประมูลสิ่งของอันใด ข้าก็จะให้ท่านจ่ายเพียงแค่ครึ่งเดียวของราคาประมูล” ถึงแม้เฉียนเชาจะรู้สึกปวดใจ แต่ก็อยากดึงหลิ่วหมิงมาเป็นพวกมากกว่า เขาจึงตอบกลับไปอย่างเด็ดขาด
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอขอบคุณเถ้าแก่ล่วงหน้า” หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณออกมา
ฝานไป๋จื่อที่อยู่ข้างๆ ก็อมยิ้มมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้
“ใช่สิ! ผู้เชี่ยวชาญฝาน! ที่ท่านส่งข่าวมาครั้งนี้ บอกว่าโอสถระดับสูงที่ปรุงขึ้นมาใหม่ เตรียมพร้อมที่จะนำไปขายในงานประมูลแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นโอสถชนิดใด พอที่จะบอกประสิทธิภาพกับชื่อของมันได้ไหม ข้าจะได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้” ในที่สุดเฉียนเชาก็พูดเรื่องนี้กับฝานไป๋จื่อด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่คือ ‘โอสถโลหิตเผาไหม้’ ที่ข้าต้องการนำเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้” ดูเหมือนว่าฝานไป๋จื่อจะรอให้เฉียนเชาพูดเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว พอได้ยินเช่นนี้เขาก็ค่อยๆ หยิบขวดเล็กๆ มันวาวราวกับหยกออกมาจากอก และเทโอสถสีแดงเลือดออกมาเม็ดหนึ่ง
เฉียนเชาจ้องมองไปที่โอสถ และลุกเดินไปหยิบโอสถสีแดงเลือดนั้นขึ้นมา หลังจากที่สังเกตดูมันอย่างละเอียดแล้ว ก็สูดดมเบาๆ
มันไม่มีกลิ่นเลยแม้แต่น้อย!
คิ้วเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณผู้นี้ค่อยๆ ขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ขณะนี้ ฝานไป๋จื่อกลับกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“โอสถโลหิตเผาไหม้นี้ ข้าปรุงตามตำรับโอสถโบราณมาด้วยความยากลำบาก ไม่เพียงแต่ต้องสิ้นเปลืองพืชจิตวิญญาณล้ำค่าเป็นจำนวนมาก และเตาหลอมหนึ่งสามารถปรุงได้สามเม็ดทั้งนั้น และเชื่อในแคว้นต้าเสวียนคงมีแต่ข้าที่สามารถปรุงโอสถนี้ได้ ผลลัพธ์ของมันสามารถกระตุ้นโลหิตทั่วร่าง ทำให้พลังเวทย์เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนเกือบถึงสี่ในสิบส่วนของพลังเวทย์ทั้งหมด”
“อะไรนะ โอสถนี้ทำให้ระดับการฝึกฝนเพิ่มขึ้นเป็นสี่ส่วนได้ แต่ไม่ทราบว่าผลลัพธ์มันดำรงอยู่ได้นานเท่าไหร่ มีผลข้างเคียงหรือไม่?” ตอนแรกเฉียนเชารู้สึกตะลึงงัน แต่ก็รีบถามเรื่องที่สำคัญอย่างรวดเร็ว
“เฮ่อๆ! อันนี้ต้องดูว่าผู้ที่ทานเข้าไปมีร่างกายที่แข็งแกร่งแค่ไหน ผู้ฝึกฝนที่ร่างกายแข็งแกร่งแตกต่างกัน หลังจากโลหิตถูกกระตุ้นแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะแตกต่างกันไปด้วย แต่อย่างน้อยผลลัพธ์มันก็ดำรงอยู่ได้ชั่วเวลาหนึ่งเค่อ ส่วนผลข้างเคียงนั้นแน่นอนว่ามีอยู่บ้าง นั่นก็เป็นเพราะว่าสูญเสียโลหิตเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้ผู้ทานอ่อนแอเป็นอย่างมากในครึ่งเดือนให้หลัง ส่วนผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอเกินไป ก็อาจจะหมดสติลงไปทันทีหลังจากที่มันแสดงผลลัพธ์เสร็จ แน่นอนว่าเพียงแค่เพิ่มการบำรุงร่างกายให้มากหลังจากใช้มันเสร็จ โลหิตก็จะฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิม และอาการเหล่านี้ก็จะหายไป” ฝานไป๋จื่อกล่าวโดยไม่ต้องคิด และไม่ปิดบังข้อเสียของโอสถโลหิตเผาไหม้นี้เลยแม้แต่น้อย
“ถ้าโอสถนี้เป็นอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญฝานกล่าวล่ะก็ ผลข้างเคียงเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร ตามหลักแล้วโอสถที่เข้าร่วมประมูลของเรือนร้อยวิญญาณเรา จะต้องผ่านการตรวจสอบก่อน ถึงจะประมูลขายได้ ผู้เชี่ยวชาญคงไม่มีข้อคัดค้านในเรื่องนี้ใช่ไหม?” เฉียนเชาได้ยิน ก็กล่าวด้วยความตื่นเต้น
สำหรับเขาแล้ว ถ้าผลลัพธ์ของโอสถโลหิตเผาไหม้นี้เป็นจริงดังว่า มูลค่ามันคงสูงจนยากที่จะรู้ได้ มันสามารถใช้เป็นรายการประมูลรั้งท้ายได้อีกชิ้นอย่างแน่นอน
“ไม่มีปัญหา ข้าเองก็เข้าใจกฎของการประมูลดี โอสถโลหิตเผาไหม้เม็ดนี้ เถ้าแก่เฉียนสามารถนำมันกลับไปตรวจสอบก่อนได้ แต่โอสถชนิดนี้ข้าปรุงมาได้เพียงสามเม็ดเท่านั้น แต่ละเม็ดล้วนล้ำค่าเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกท่านอยากตรวจสอบก็ตรวจสอบไป แต่อย่าทำลายคุณบัติของมันเด็ดขาด” ฝานไป๋จื่อลังเลเล็กน้อยแล้วพยักหน้ากล่าวออกมา
“ขอบคุณผู้เชี่ยวชาญฝานที่เข้าใจ ท่านวางใจได้! เรือนร้อยวิญญาณของเราตรวจสอบคุณสมบัติของโอสถมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เพียงแค่นำผงบนผิวมันออกมาตรวจสอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะไม่ทำลายคุณสมบัติของตัวโอสถอย่างแน่นอน” เฉียนเชากล่าวด้วยความดีใจ
“ดีมาก ข้าค่อนข้างวางใจชื่อเสียงของเรือนร้อยวิญญาณ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้” ฝานไป๋จื่อกล่าวอย่างราบเรียบ
เฉียนเชากล่าวขอบคุณติดต่อกัน และใส่โอสถโลหิตเผาไหม้เข้าไปในขวดอย่างระมัดระวัง
“หากท่านทั้งสองไม่มีธุระอื่น ข้าก็จะไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว ข้าจะไปห้องโอสถเพื่อปรุงโอสถจำนวนหนึ่ง” ฝานไป๋จื่อจิบชาบนโต๊ะเบาๆ แล้วก็กล่าวคำพูดส่งแขกออกมา สีหน้าดูหมางเมินขึ้นมาเล็กน้อย
ดูท่าที่ผู้คนพูดว่านิสัยของเขาแปลกประหลาดนั้น คงไม่ใช่เรื่องเท็จแต่ประการใด
เฉียนเชาได้ยินเช่นนี้ก็มองไปที่หลิ่วหมิงทีหนึ่ง
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวกับฝานไป๋จื่ออย่างไม่รีบร้อน
“สหายฝาน ที่ข้ามากับเถ้าแก่เฉียนในครั้งนี้ ความจริงแล้วยังมีเรื่องหนึ่งที่อยากขอร้องท่าน ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีฟังสักเล็กน้อยไหม?”
“หืม! มีเรื่องขอร้อง? ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ข้าขี้เกียจที่จะไปสนใจ แต่สหายเฉียนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบ จึงย่อมแตกต่างกัน ข้าสามารถรับฟังได้” พอฝานไป๋จื่อได้ยินก็ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“เถ้าแก่เฉียนหลบไปก่อนได้หรือไม่ ข้าอยากพูดเรื่องนี้กับผู้เชี่ยวชาญฝานเพียงลำพัง” หลิ่วหมิงหันไปกล่าวกับเฉียนเชา
“เฮ่อๆ! ไม่มีปัญหา เอาอย่างนี้เถอะ! ข้าจะไปรออยู่ห้องโถงที่เดินผ่านมาเมื่อครู่ ถ้าคุณชายพูดคุยจบแล้วก็ไปหาข้าที่นั่นก็แล้วกัน” เฉียนเชากล่าวโดยไม่ต้องคิด
ฝานไป๋จื่อไม่คัดค้านแต่อย่างใด หลังจากออกคำสั่งกับเด็กชายที่รออยู่ด้านนอกไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ให้เขาพาเฉียนเชาไปจากห้องโถงใหญ่
“เอาล่ะ! สหายมีเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลย ข้าหวังว่าเรื่องที่สหายจะพูด คงไม่ทำให้ข้าต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์” ฝานไป๋จื่อรอจนร่างของเฉียนเชาและเด็กชายหายลับไปแล้ว ถึงได้หรี่ตากล่าวกับหลิ่วหมิง
“ข้ามีของสิ่งหนึ่ง ไม่ทราบว่าผู้เชี่ยวชาญฝานจะจำได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงยิ้ม และหยิบสิ่งของขนาดราวๆ เล็บนิ้วมือออกมาจากแขนเสื้อก่อนที่จะยื่นออกไป
“ข้าขอดูก่อน……เอ๋! นี่คือ……” เดิมทีฝานไป๋จื่อยื่นมืออกไปรับอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอรู้สึกว่านิ้วมือค่อยๆ หนักขึ้นมา ถึงได้หันไปมองสิ่งของในมือด้วยความตกใจ และเสียงของเขาก็ค่อยๆ สั่นขึ้นมา
ของสิ่งนั้นคือดินเหนียวสีทองอ่อนก้อนหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนเล็กๆ ของดินปราณทองคำบริสุทธิ์ที่หลิ่วหมิงได้มาในตอนนั้น
“ดูท่าผู้เชี่ยวชาญฝานคงจะจำของสิ่งนี้ได้ ไม่ผิด! สำหรับผู้เชียวชาญการปรุงโอสถแล้ว ของสิ่งนี้คือดินปราณทองคำบริสุทธิ์ที่สำคัญเป็นอย่างมาก สหายฝานอยากจะตรวจสอบมันอย่างละเอียด เพื่อยืนยันว่ามันเป็นของจริงหรือไม่?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว แต่ก่อนข้าก็เคยได้รับดินปราณทองคำบริสุทธิ์มาสองเฉียน แต่มันไม่ใหญ่เท่าก้อนนี้ คุณภาพก็เทียบกันไม่ติด นี่คือดินปราณทองคำบริสุทธิ์อย่างแน่นอน สหายเฉียนพูดมาเถอะ! เจ้าอยากจะขอร้องข้าเรื่องอะไร? เพียงเจ้ามอบดินปราณทองคำบริสุทธิ์นี้ให้ข้าสามตำลึง ไม่ว่าจะเป็นโอสถ หรือว่าเรื่องอื่นๆ ข้าก็สามารถรับปากเจ้าได้” ฝานไป๋จื่อให้นิ้วบีบดินเหนียวสีทองที่อ่อนนุ่มเป็นพิเศษเบาๆ แล้วกล่าวอย่างไม่ลังเล
ขณะนี้ ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่มีชื่อเสียงที่สุดในเสวียนจิง จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความเป็นมิตร
“คำขอร้องของข้านั้นง่ายมาก ข้าหวังว่าสหายฝานจะชี้แนะวิชาปรุงโอสถให้ข้าบ้างเล็กน้อย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“อะไรนะ เรียนปรุงโอสถ! สหายเฉียนก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถเหมือนกัน?” ฝานไป๋จื่อตะลึงงันไปชั่วขณะ
“ถึงแม้ข้าน้อยจะเคยอ่านคัมร์ภีปรุงโอสถมาบ้าง แต่ไม่เคยสัมผัสกับวิชาปรุงโอสถที่แท้จริง” หลิ่วหมิงกล่าวตามตรง
“ถ้าอย่างนั้นสหายรู้ไหมว่า เส้นทางการปรุงโอสถนั้นลึกซึ้งจนยากหาสิ่งใดมาเปรียบได้ หากไม่มีพรสวรรค์ล่ะก็ ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจเข้าสู่ประตูเส้นทางนี้ได้” ฝานไป๋จื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ดูอึกอักขึ้นมา
“ข้าน้อยก็อยู่ในโลกผู้ฝนมาไม่ใช่ปีสองปีแล้ว เรื่องเช่นนี้ทำไมจะไม่รู้ แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง ข้าน้อยจึงจำเป็นต้องเรียนวิชาปรุงโอสถ หวังว่าสหายจะช่วยส่งเสริม” หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
“ฮึ! สหายรู้ไหมว่าข้ามีพรสวรรค์ในด้านการปรุงโอสถสูงส่งแค่ไหน เรียนปรุงโอสถมากี่ปีแล้ว ถึงประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้? ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม ข้าขอเกลี้ยกล่อมสหายเฉียน ให้ละทิ้งความคิดนี้ไปเถอะ! ข้าเห็นเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านการฝึกฝนไม่เลว อายุยังน้อยก็สามารถฝึกฝนจนถึงขั้นนี้ได้ ใยต้องลำบากเรียนวิชาปรุงโอสถด้วยเล่า! ถ้าเป็นเช่นนี้ อาจตกอยู่ในสถานะที่ทำอะไรไม่สำเร็จซักอย่าง พอถึงเวลาจะมาเสียใจในภายหลังมันก็สายเกินไปเสียแล้ว” เป็นครั้งแรกที่ฝานไป๋จื่อใช้น้ำเสียงที่เคร่งขรึมกล่าวกับหลิ่วหมิง
……………………………………….