ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 200 ร่วมมือ

ตอนที่ 200 ร่วมมือ

“ถ้ามีศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายล่ะก็ คงเป็นฑูตวิญญาณมืดอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนตายคนผู้นี้ได้ระเบิดตัวเองใช่หรือไม่!” หูชุนเหนียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา

“เขาระเบิดตัวเองจริงๆ! ทำไมหรือ? ฑูตวิญญาณมืดผู้นี้ มีอะไรแปลกประหลาดงั้นหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“ข้าไม่ค่อยรู้ชัดเจนมากนัก รู้แต่ว่าฑูตสิบกว่าคนของพรรควิญญาณมืด ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย และพอเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง แล้วไม่สามารถเอาชนะได้ พวกเขาต่างก็ระเบิดตัวเองจนเสียชีวิต แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีฑูตวิญญาณมืดรหัสเดียวกัน ปรากฏตัวในพรรควิญญาณมืดอีกครั้ง” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“มีเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ด้วย?” หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

“เฮ่อๆ ไม่อย่างนั้น ตอนที่พรรควิญญาณมืดปรากฏตัวในเสวียนจิงครั้งแรก ทำไมถึงแย่งชิงเขตอิทธิพลกับกลุ่มอื่นมาได้เล่า และยังทรงอิทธิพลในเสวียนจิงมาจนถึงทุกวันนี้” หูชุนเหนียงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

“เอาล่ะ! ตอนนี้ศิษย์พี่บอกได้หรือยังว่า ท่านรู้เรื่องที่พรรควิญญาณมืดลงมือกับศิษย์ตรวจตราคนก่อนของนิกายข้าได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นมาอีกครั้ง

“เพราะว่าข้าซื้อตัวคนในพรรควิญญาณมืดไว้แล้ว เสียดายที่ตำแหน่งในพรรคเขาต่ำเกินไป หลังเกิดเหตุ ข้าก็ติดตามเบาะแสตามที่เขาบอก ถึงคาดการณ์ได้ว่าศิษย์ตรวจตราคนก่อนของนิกายเจ้า ถูกพรรควิญญาณมืดสังหาร ว่ากันว่าการลงมือในครั้งนั้น พรรควิญญาณมืดส่งทูตสองคนมาจัดการศิษย์ตรวจตราคนก่อน และยังตัดรากถอนโคนผู้คนที่เฝ้าอยู่ในอารามเสี่ยวชิงทั้งหมด” หูชุนเหนียงกล่าวอย่างเรียบราบ

“ศิษย์พี่รู้หรือไม่ ทำไมพรรควิญญาณมืดถึงลงมือกับศิษย์ตรวจตราคนก่อนของนิกายข้า ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีเหตุผลพิเศษบางอย่าง ที่ทำให้กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระอย่างพรรควิญญาณมืด กล้ายั่วโทสะนิกายปีศาจของพวกเรา” หลิ่วหมิงพยักน้าแล้วถามออกไป

“ก่อนข้าจะตอบ ศิษย์น้องควรบอกข้าก่อนไหม เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าต้นตอความวุ่นวายในเสวียนจิงอยู่ในราชวงศ์?” หญิงสาวถามกลับอย่างไม่รีบร้อน

“ง่ายมาก ข้าได้ช่วยขุนนางในราชสำนักคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เขาบอกความลับอย่างเกี่ยวกับจักรพรรดิในตอนนี้” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่ลังเล

“เจ้าพูดถึงจักรพรรดิเสวียนจื้อในตอนนี้?” หูชุนเหนียงฟังมาถึงจุดนี้ สีหน้านางก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

“ไม่ผิด! คือเขาผู้เป็นใหญ่ในเสวียนจิงผู้นี้” หลิ่วหมิงกล่าว

”ดี! ข้าเริ่มสนใจข้อมูลของศิษย์น้องมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เหตุที่ศิษย์ตรวจตราคนก่อนถูกสังหารนั้น จากที่ข้าสืบมา เป็นเพราะพรรควิญญาณมืดได้ข่าวว่า เขาค้นพบความลับสุดยอดของพรรควิญญาณมืด ถึงได้ฆ่าเขาปิดปาก” ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวเริ่มเปล่งประกาย แต่ก็กล่าวอย่างรวดเร็ว

“เพราะรู้ความลับ ถึงโดนฆ่าปิดปาก? ดูท่าความลับที่ศิษย์พี่คนก่อนค้นพบ จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่

“เฮ่อๆ คงเป็นเช่นนั้น แต่เจ้าไม่ต้องถามข้าว่ามันคือความลับอะไร เพราะข้าเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าความลับของจักรพรรดิเสวียนจื้อที่ขุนนางคนนั้นบอกคืออะไร?” ในที่สุดหูชุนเหนียงก็ถามคำถามที่สำคัญที่สุดออกมา

“ความลับนี้ก็คือ เสวียนจื้อไม่ใช่มนุษย์ แม้กระทั่งอาจจะถูกสับเปลี่ยนตัวไปแล้ว” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา

“อะไรนะ! เป็นไปได้อย่างไร!” รูม่านตาของหูชุนเหนียงหดลงในตอนแรก หลังจากนั้นนางก็สูดหายใจเข้าไป

“ทำไมล่ะ! หรือว่าศิษย์พี่ไม่ได้รับข่าวนี้? แล้วก่อนหน้านั้นศิษย์พี่สงสัยอะไรในราชสำนัก?” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าสงบ

“ฮึ! ที่ข้าสงสัยราชสำนักในก่อนหน้านั้น แท้จริงแล้วคือเฒ่าประหลาดในราชวงศ์ กับผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเหล่านั้น” หญิงสาวมีสีหน้าไม่สงบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงกล่าวออกมา

“ศิษย์พี่หมายถึงผู้ฝึกฝนที่ราชวงศ์บ่มเพาะมาเอง กับแขกระดับจิตวิญญาณทองคำที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบ! เป็นเพราะเหตุใดกัน?” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแล้ว

“เพราะว่าคนเหล่านี้ ต่างก็เก็บตัวฝึกฝนพร้อมกันอย่างแปลกประหลาด และหลังจากพวกเขาเก็บตัว ทั่วทั้งราชสำนักถึงดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะไม่ควบคุมกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเสวียนจิงเท่านั้น แม้แต่การกระทำขอท่านอ๋องหรือองค์ชายต่างๆ ก็ล้วนไม่สนใจ ทำให้พวกเขาค่อยๆ ดึงผู้ฝึกฝนอิสระจากแคว้นอื่นๆ มาอย่างบ้าคลั่ง และพยายามสร้างอิทธิพลของตนเองไปเรื่อยๆ สิ่งนี้ถึงเป็นสาเหตุของความวุ่นวายในเสวียนจิง!” หญิงสาวถอยหายใจก่อนกล่าวออกมา

“ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ผู้ฝึกฝนของราชวงศ์ กับผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ ก็น่าสงสัยจริงๆ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความแปลกใจ

“ไม่ใช่ว่าขุนนางคนนั้นพูดอะไร ศิษย์น้องก็เชื่อไปหมดหรอกนะ เดิมทีเขาพูดว่าอย่างไร มีหลักฐานอะไรยืนยันบ้าง?” หูชุนเหนียงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เขาพูดไว้ยาวมาก ตอนที่ข้าถามเขานั้น ได้ใช้ยันต์เก็บเสียงสองสามผืนเก็บคำพูดของเขาไว้ เพื่อใช้ประโยชน์ในภายหน้า ส่วนหลักฐานน่ะหรือ ถ้าศิษย์พี่เห็นแล้วก็จะเข้าใจเอง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน พอเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ก็มียันต์สีขาวจางๆ ผืนหนึ่งคีบอยู่ระหว่างนิ้ว หลังจากที่มันโบกสะบัดตามลม ก็เกิดเสียงดัง “ฟู่!” แล้วกลายเป็นแสงเพลิงลุกไหม้ขึ้นมา

ขณะนี้ แสงเพลิงได้ปล่อยเสียงของใต้เท้าซุนผู้นั้นออกมา

“ในเมื่อคุณชายเฉียนช่วยข้าออกมาจากเรือนจำ ความลับที่เก็บซ่อนอยู่ในใจข้ามานานนี้ ย่อมต้องยกออกมาให้หมด แต่หลังจากที่ข้าเปิดเผยความลับนี้ออกไปแล้ว ก็ไม่กล้าอยู่เสวียนจิงได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงหวังว่าท่านเซียนจะช่วยพาครอบครัวของข้า……”

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาไม่ทันถึง แสงเพลิงก็ปล่อยเสียงที่ใต้เท้าซุนพูดกับหลิ่วหมิงในวันนั้นออกมาทั้งหมด โดยไม่ตกหล่นเลยสักคำ และในที่สุดแสงเพลิงก็ดับลงไป

“ที่แท้เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ เช่นนี้ก็หมายความว่า เรื่องที่ผู้ฝึกฝนเชื้อพระวงศ์กับผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเก็บตัวฝึกฝน เกี่ยวข้องกับจักพรรดิเสวียนจื้อแปดถึงเก้าส่วน ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เรื่องราวกว่าครึ่งหนึ่งก็สามารถอธิบายได้แล้ว ศิษย์น้องคงได้รับเกล็ดปีศาจที่เขาพูดถึงแล้ว ให้ข้าดูมันได้หรือไม่?” หูชุนเหนียงพูดพึมพำกับตนเองไม่กี่ประโยค แล้วถามหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ย่อมไม่มีปัญหา ศิษย์น้องอยากอาศัยประสบการณ์ของศิษย์พี่ เพื่อตรวจสอบดูว่าเกล็ดปีศาจนี้มาจากปีศาจอะไรกัน “ หลิ่วหมิงย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็หยิบกล่องหยกใบเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ พอเปิดมันออกมา ก็พบกับเกล็ดสีเขียวที่ถูกวางนิ่งๆ อยู่ในนั้น

หูชุนเหนียงรับกล่องหยกมา และคีบเกล็ดสีเขียวออกมาอย่างระมัดระวัง และทำการตรวจสอบด้วยตาที่เป็นประกาย

ผ่านไปไม่นาน นางก็ส่ายหน้าแล้ววางเกล็ดลงในกล่องหยก และยังกล่าวกับหลิ่วหมิงว่า

“ช่างน่าละอายเสียจริง ข้าเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเกล็ดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แต่อย่างที่ศิษย์น้องพูด ตอนนี้เสวียนจื้อไม่ใช่มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เรื่องนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก อาศัยแค่หลักฐานเพียงแค่นี้ไปบอกนิกายล่ะก็ เกรงว่ามันคงไม่พอ””

“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ถึงยังไม่ส่งข่าวนี้ให้กับนิกาย มิเช่นนั้นหากมีอะไรผิดพลาด พวกเราไม่เพียงจะไม่ได้สร้างผลงาน แต่ยังก่อให้เกิดภัยแก่ตนเองด้วย “ ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

“ศิษย์น้องช่างสุขุมรอบคอบในทุกด้าน พวกเราระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน แยกกันหาหลักฐานมาอีกจำนวนหนึ่ง แล้วค่อยส่งข่าวกลับไปนิกาย เช่นนี้แล้วก็จะไม่มีอะไรผิดพลาดเลย!” หญิงสาวคิดไตร่ตรองก่อนกล่าวออกมา

“ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเชื้อพระวงศ์กับราชสำนัก แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์ตรวจตราอย่างพวกเราจะจัดการเองได้ เพียงแค่พวกเรามีหลักฐานที่เพียงพอ ที่เหลือก็มอบให้ทางนิกายจัดการก็พอแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้า

“ดี! แต่จะหาหลักฐานที่แน่ชัดได้นั้น เกรงว่าจะต้องใกล้ชิดกับจักรพรรดิเสวียนจื้อผู้นี้ถึงจะได้ ครึ่งเดือนให้หลัง จะเป็นพิธีบูชาของราชวงศ์ คนที่สนับสนุนข้าผู้นั้นก็อาจจะเข้าวังด้วย พอถึงเวลานั้นจะต้องพาข้าไปด้วยแน่นอน และข้าจะหาโอกาสดูว่า จะหาหลักฐานอะไรในวังได้บ้าง” หญิงสาวพลันคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“คนที่สนับสนุนศิษย์พี่คือ……” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ได้สติและถามกลับไปในทันที

“คือองค์ชายเจ็ดผู้หยิ่งผยองผู้นั้น” หูชุนเหนียงทำปากยื่นแล้วกล่าวออกมา

“องค์ชายเจ็ด! ถ้าพิธีบูชาของราชวงศ์ล่ะก็ เขาต้องเข้าวังอย่างแน่นอน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พระราชวังคงถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนา ศิษย์พี่แฝงตัวเข้าวังไปเก็บหลักฐาน มันจะไม่อันตรายไปหน่อยหรือ” หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองแล้ว ก็ยังดูเหมือนจะกังวลอยู่

“ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร! แต่ถ้าศิษย์น้องรู้สึกไม่วางใจล่ะก็ หาวิธีเข้าวังไปพร้อมกับข้าดีไหม ถ้ามีศิษย์น้องเป็นเพื่อน ศิษย์พี่ก็วางใจเป็นอย่างมาก” หญิงสาวหัวเราะอิๆ ก่อนกล่าวออกมา

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ! ตอนนี้ข้าเป็นแค่แขกของเรือนร้อยวิญญาณ เกรงว่าคงไม่อาจแฝงตัวเข้าวังได้” หลิ่วหมิงแบะปากก่อนกล่าวออกมา

“ศิษย์น้องคิดเข้าใกล้ผู้ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเรือนร้อยวิญญาณอย่างอ๋องสามผู้นั้นใช่หรือไม่?” รอยยิ้มของหูชุนเหนียงหายไปก่อนที่จะกล่าวออกมา

“ข้าคิดเช่นนี้จริงๆ หากเข้าใกล้อ๋องสามได้ล่ะก็ ต่อไปข้าคงเข้าวังได้ง่ายขึ้น ทำไมล่ะ! หรือว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง?” หลิ่วหมิงฟังอะไรบางอย่างออกในทันที จึงขมวดคิ้วถามออกไป

“แม้ข้าจะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่อ๋องสามผู้นี้มันไม่ง่ายนัก ข้าสงสัยว่าเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับพรรควิญญาณมืด?” หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจ

“อะไรนะ! มีความสัมพันธ์กับพรรควิญญาณมืด?” แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเป็นคนสุขุมมาโดยตลอด แต่พอได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้

“ถูกต้อง คนที่ข้าซื้อตัวไว้ เคยเห็นทูตวิญญาณมืดเข้าออกจวนอ๋องสามอยู่หลายครั้ง และตั้งแต่พรรควิญญาณมืดปรากฎตัวในเสวียนจิง อ๋องสามผู้นี้ก็ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนน้อยมาก นอกจากนี้ หลายปีมานี้ เคยมีผู้ฝนอิสระถูกรับตัวเข้าไปในจวนอ๋องสาม แต่ส่วนหนึ่งในนั้นไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมาก่อน มันน่าสงสัยเป็นอย่างมาก” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เตือน ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้ว” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงถอยหายใจยาวๆ ก่อนกล่าวออกมา

“ข้าเองก็เชื่อว่าความฉลาดหลักแหลมของศิษย์น้อง คงจะจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา” หูชุนเหนียงหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา

“ใช่สิ! ศิษย์พี่รู้สถานการณ์ของศิษย์ตรวจตราอีกสามนิกายไหม? เรื่องนี้ควรจะส่งข่าวให้พวกเขาหรือไม่?” หลิ่วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวออกมา

“พวกไร้ประโยชน์ทั้งสามคนนั้นหรือ! ถ้าศิษย์น้องเฉียนไม่อยากถูกล้อมสังหารเหมือนศิษย์ตรวจตราคนก่อนล่ะก็ ทางที่ดีควรละความคิดนี้ไปซะ!” หญิงสาวได้ยินก็กล่าวเหน็บแหนมออกมา

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset