“ศิษย์น้องไป๋ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ข้ากับน้องหรูผิงพูดคุยกันถูกคอมาก ข้าตรวจสอบดูแล้ว นางมีชีพจรจิตวิญญาณ และเพิ่งเริ่มทำการฝึกฝน ทั้งยังดูเหมือนจะมุ่งไปทางด้านค่ายกล ประจวบเหมาะที่ข้ามีความพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญค่ายกลในนิกายจันทราสวรรค์ไม่เลว ไม่สู้ให้ข้าแนะนำให้เขาไปเรียนอยู่ที่นั่นสักระยะดีไหม? อีกสามเดือนให้หลัง ภารกิจศิษย์ตรวจตราของข้าก็จะสิ้นสุดแล้ว จะได้พานางไปด้วยกัน” พอหูชุนเหนียงเห็นหลิ่วหมิง ก็เอ่ยปากกล่าวออกมาก่อน
“ศิษย์พี่หูมีวิธีทำให้เจ้าเด็กนี่เข้านิกายจันทราสวรรค์ได้หรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“ด้วยสถานะของข้า มันง่ายมากที่จะให้นางเข้าไปเป็นศิษย์นิกายสายนอก แต่จะกลายเป็นศิษย์นิกายสายในได้หรือไม่นั้น ต้องดูว่านางเปิดจิตวิญญาณได้สำเร็จหรือไม่ แต่ศิษย์หญิงนิกายจันทราสวรรค์ จะมีตำแหน่งสูงกว่าศิษย์ชายมาโดยตลอด และศิษย์ที่ตั้งใจเรียนค่ายกล ก็จะยิ่งได้รับสิทธิพิเศษ ถ้าเจ้าเด็กนี่เข้าไปได้ล่ะก็ จะไม่มีใครมารังแกอีกแน่นอน เมื่อครู่ข้าได้แนะนำนิกายจันทราสวรรค์ให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เขาก็ดูสนใจมาก แต่สุดท้ายจะตัดสินใจอย่างไรนั้น ย่อมต้องดูว่าศิษย์น้องจะว่าอย่างไร” หูชุนเหนียงยิ้มอย่างสวยงาม
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับหรูผิง แต่ข้าอยากถามสักหน่อย หรูผิง เจ้าอยากไปเรียนค่ายกลที่นิกายจันทราสวรรค์จริงๆ หรือ? เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกล หรือผู้ฝึกฝนที่แท้จริง ล้วนเป็นเรื่องยากทั้งสิ้น แต่ถ้าเจ้าเป็นเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งล่ะก็ ด้วยความสามารถของข้า สามารถทำให้เจ้าร่ำรวยตลอดชีวิตได้อย่างง่ายดาย” หลิ่วหมิงเงียบไปซักพัก แล้วกล่าวกับเฉียนหรูผิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่หมิง ข้าคิดดีแล้ว ข้าไม่อยากเป็นคนธรรมดาอีก ข้าอยากเป็นผู้ฝึกฝนเหมือนท่าน และอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลด้วย ไม่อยากเป็นภาระของพี่หมิงในภายหลัง” เฉียนหรูผิงยืดอกกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า ศิษย์พี่หู รอเสร็จเรื่องนี้แล้ว ให้หรูผิงตามท่านไปนิกายจันทราสวรรค์เถอะ! ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ต่อไปคงต้องขอให้ศิษย์พี่หูช่วยดูแลเล็กน้อย” หลิ่วหมิงเป็นคนเด็ดขาดมาก หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็ป้องมือไปทางหูชุนเหนียงก่อนกล่าวออกมา
“อิๆ! แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ได้ชดใช้บุญคุณที่ศิษย์น้องยื่นมือเข้าช่วยแล้ว ใช่สิ! เรื่องที่เจ้าออกไปทำในครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หูชุนเหนียงหัวเราะเบาๆ และถามกลับไป
“หรูผิง เจ้ากลับไปฝึกฝนในห้องก่อน ข้าต้องคุยเรื่องสำคัญกับพี่หูของเจ้า” หลิ่วหมิงสั่งเฉียนหรูผิง
ตอนแรกที่เด็กหญิงได้ยินว่าหลิ่วหมิงยอมให้เข้านิกายจันทราสวรรค์ เขาก็รู้สึกดีใจมาก แต่พอได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ทำปากแดงๆ ยื่นออกมา แต่ก็ยอมไปจากห้องเล็กๆ อย่างเชื่อฟัง
“เจ้าเด็กนี่เชื่อฟังเจ้ามาก แต่พวกเจ้าทั้งสองคงไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันล่ะสิ!” หูชุนเหนียงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม
“บิดาของหรูผิงเคยมีบุญคุณต่อข้าเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ข้าหาหรูผิงพบ เขาก็ถูกคนในตระกูลขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว เขาต้องร่อนเร่อยู่ตามท้องถนนมาโดยตลอด ถ้าจะยังอาลัยอาวรณ์ข้าอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ” หลิ่วหมิงกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ชีวิตของเขาผ่านความลำบากมามาก แต่ศิษย์น้องดูสงบเช่นนี้ ดูท่าการออกไปทำงานในครั้งนี้ คงจะราบรื่นไปด้วยดี” หูชุนเหนียงถอนหายใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ค่อนข้างราบรื่นมาก ข้าส่งข่าวกลับไปนิกายแล้ว และยังให้กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระที่ซื้อขายข่าวปล่อยข่าวออกไปแล้ว เชื่อว่าข่าวอันน่าตกใจนี้ คงจะเข้าหูกลุ่มอิทธิพลน้อยใหญ่ภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว” หลิ่วหมิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ดีมาก ก่อนศิษย์น้องกลับมา ข้าได้ใช้ช่องทางพิเศษส่งข่าวเรื่องเผ่าเจ้าสมุทรให้ทางนิกายแล้วเหมือนกัน เชื่อว่าผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายของข้ากับเจ้าคงทราบข่าวนี้แล้ว ไม่แน่อาจจะหารือเรื่องนี้กันอยู่ หรืออาจจะเริ่มรวบรวมกำลังคนแล้วก็ได้” หูชุนเหนียงได้ยินก็กล่าวอย่างพอใจ
“ช่องทางพิเศษ? อยู่ที่นี่ศิษย์พี่ก็สามารถส่งข่าวไปนิกายได้? ช่างน่านับถือยิ่งนัก! ตอนที่ข้ากลับมา ได้ค้นพบสายสืบของราชสำนักอยู่บนท้องถนนเป็นจำนวนมาก คนส่วนมากต่างก็ถือรูปของเจ้าไว้ด้วย ประตูเมืองก็ถูกปิดทั้งสี่ด้าน และมีแขกจิตวิญญาณทองคำคอยเฝ้าอยู่เป็นจำนวนมาก ดูท่าสถานะแฝงของศิษย์พี่คงถูกเปิดเผยแล้ว” แม้ว่าหลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องช่องทางพิเศษ แต่กลับหยิบรูปภาพออกมาจากอกแล้วส่งให้หญิงสาว
หูชุนเหนียงรับรูปภาพมาสังเกตดูสองสามที แล้วก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจ
“วาดได้เหมือนกับหน้าตาในก่อนหน้าของข้ามากนัก ไม่แน่องค์ชายเจ็ดผู้นั้นอาจจะเป็นคนวาดเองได้ เกรงว่าครั้งนี้นายของข้าคนนี้ คงโดนพัวพันไปด้วย”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็ได้แต่ทำตามองบน และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
……
ในตำหนักแห่งหนึ่งของพระราชวัง
ต่งไทเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นางกำลังจ้องมองชายหนุ่มที่มีใบหน้าคล้ายคลึงเสวียนจื้อด้วยสีหน้าเยือกเย็น ชายหนุ่มผู้นั้นถูกชายฉกรรจ์ร่างยักษ์สูงสองฉื่อ ใช้มือข้างเดียวจับศีรษะลอยตัวอยู่ในอากาศ และกำลังถูกทำอะไรบางอย่างอยู่
เสวียนจื้อที่เป็นจักรพรรดิก็ยืนอยู่ข้างต่งไทเฮาด้วยสีหน้าคลุมเครือ
“ตุ้บ!”
พอชายฉกรรจ์คลายนิ้วทั้งห้าออก ร่างของชายหนุ่มก็หล่นลงพื้นราวกับไร้กระดูก ตาเหลือกทั้งสองข้าง และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก
“คุณหนู ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว หูชุนเหนียงผู้นี้รู้จักกับองค์ชายเจ็ดเมื่อสี่ปีก่อน และหลังจากนั้นไม่นานก็กลายเป็นแขกขององค์ชาย ในสมองของเขา นอกจากจะมีข้อมูลว่า หูชุนเหนียงผู้นี้มีพลังอันน่าตกใจ จนเกือบจะไม่มีเรื่องใดที่นางทำไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีเบาะแสอื่นๆ เกี่ยวกับนางเลย” ชายฉกรรจ์ป้องมือไปทางต่งไทเฮา แล้วกล่าวด้วยเสียงกระหึ่ม
“ไม่มีเบาะแส? สี่ปีก่อนไม่ใช่เบาะแสที่ดีหรอกหรือ! ลูกจื้อ ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ สี่ปีก่อนไม่ใช่เวลาที่ศิษย์ตรวจตราคนก่อนของนิกายจันทราสวรรค์สิ้นสุดภารกิจหรอกหรือ!” พอต่งไทเฮาได้ยินเช่นนี้ ก็ค่อยๆ หรี่ตาทั้งคู่ลงมา
“ความหมายของเสด็จแม่คือ หญิงนางนี้เป็นศิษย์ตรวจตราของนิกายจันทราสวรรค์จริงๆ?” เสวียนจื้อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“อืม! ดูท่าตอนนี้มีโอกาสเป็นไปได้ส่วนหนึ่ง แน่นอนว่าการปรากฏตัวของนาง คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเท่านั้น” ต่งไทเฮากล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
“แต่ข้าได้ยินองครักษ์ในวังพูดว่า ผู้ที่ช่วยหูชุนเหนียงไปได้ ก็เป็นยอดฝีมือเช่นกัน คนผู้นี้คงไม่ใช่ศิษย์ตรวจตราของนิกายอื่นๆ หรอกนะ?” เสวียนจื้อกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา
“ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ในคืนนั้นศิษย์ตรวจตราอีกสามนิกายอยู่ในอยู่สายตาของพวกเรา แสดงว่าต้องไม่ใช่หนึ่งในพวกเขาอย่างแน่นอน นอกจากว่าพวกเขาจะมีวิชาแยกร่างได้เท่านั้น แต่ศิษย์ตรวจตราคนใหม่ของนิกายปีศาจผู้นั้น เป็นผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม นอกจากตอนที่ลงมือกับพรรควิญญาณมืดในอารามเสี่ยวชิงอย่างโหดเหี้ยมแล้ว ก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีก จวี้เจิง ช่วงสองเดือนนี้ มีผู้ฝึกฝนที่น่าสงสัยปรากฏตัวในเสวียนจิงบ้างไหม?” ต่งไทเฮาพูดพึมพำไม่กี่ประโยค แล้วถามชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เรียนคุณหนู ช่วงนี้กลุ่มอิทธิพลใหญ่แต่ละกลุ่มโยกย้ายสับเปลี่ยนคนกันถี่มาก ผู้ที่เข้ามาเสวียนจิงในช่วงสองเดือนนี้ ส่วนมากดูลับๆ ล่อๆ ล้วนน่าสงสัยกันทั้งหมด” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ไม่ใช่บอกว่าผู้ฝึกฝนที่ช่วยหูชุนเหนียงไป ก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่มีฝีมือยอดเยี่ยมหรอกหรือ? ถ้ารวมเงื่อนไขนี้เข้าไปด้วย เชื่อว่าจำนวนคนคงไม่เยอะขนาดนั้น” ต่งไทเฮาได้ยินก็กล่าวราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ถ้าศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายล่ะก็ สามารถตัดออกไปได้หลายคนเลย แต่มันอาจเป็นการล่อเสือออกจากถ้ำ และเจตนาซ่อนเร้นระดับการฝึกฝนของตนเอง ถ้าข้าเป็นศิษย์ตรวจตราของนิกายปีศาจผู้นั้นล่ะก็ เพียงแค่ถ่อมตัวหน่อย และไม่ลงมือกับผู้อื่นจนเปิดเผยระดับการฝึกฝนของตนเอง คนอื่นก็จะตรวจสอบได้ยากขึ้น” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์คิ้วขมวดขึ้นมา
“อืม! ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็คงตรวจสอบยากจริงๆ แต่นี่เป็นแค่เบาะแสเดียวที่มีเท่านั้น เจ้ารีบรวบรวมคน ไปหยั่งเชิงยอดฝีมือที่เพิ่งเข้าเสวียนจิงเหล่านี้ ดูว่าในบรรดาพวกเขามีใครน่าสงสัยหรือไม่” ต่งไทเฮาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วสั่งออกไปอย่างเฉียบขาด
“ทราบ! ข้าน้อยจะรวบรวมคนไปจัดการเรื่องนี้ นอกจากนี้ องค์ชายเจ็ดได้พิการไปแล้ว จะให้จัดการให้สิ้นซากเลยหรือไม่?” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์โค้งตัวตอบรับ แต่สายตากลับมองไปยังชายหนุ่มมือไม้อ่อนแรงบนพื้นแล้วถามออกไป
“เสด็จแม่ เด็กคนนี้เป็นทายาทของข้า และอาจจะมีสายเลือดของเผ่าเจ้าสมุทรด้วย ไว้ชีวิตเขาเถอะ!” เสวียนจื้อได้ยินก็รีบกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ฮึ! ทำไมล่ะ! เจ้าใจอ่อนหรือ? ก่อนที่เจ้าจะสามารถกลายร่างได้ เลือดเผ่าเจ้าสมุทรในตัวเจ้าก็อยู่ในระยะฟักตัวมาโดยตลอด ต่อให้มีทายาทก็เป็นสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่ามนุษย์เท่านั้น หาได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับเผ่าเจ้าสมุทรไม่ จวี้เจิง จัดการองค์ชายเจ็ดผู้นี้เถอะ! บอกกับผู้คนภายนอกว่า เขาทำความผิดใหญ่หลวง จึงถูกกักขังอยู่ในวังชั่วคราว” ต่งไทเฮากวาดตามองเสวียนจื้อทีหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
จวี้เจิงได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มอันน่ากลัว จากนั้นก็หิ้วองค์ชายเจ็ดขึ้นมา แล้วถอยจากไปจากตำหนักอย่างเงียบๆ
ในระหว่างนี้ แม้ว่าเสวียนจื้อจะจ้องมองการขยับปากของชายร่างยักษ์ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“เสด็จแม่ ตอนนี้ประตูทั้งสี่ด้านก็ได้ปิดหมดแล้ว ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้สามารถเข้าได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถออกไปได้ แต่องครักษ์เผ่าเจ้าสมุทรสองคน ที่ท่านส่งไปตามล่าหูชุนเหนียงยังไม่กลับมา ดูท่าคงเจอกับศัตรูตัวฉกาจ ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ พวกเราควรจะส่งคนไปเพิ่มหรือไม่?” เสวียนจื้อปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และกล่าวกับต่งไทเฮาอย่างระมัดระวัง
“ส่งคนไปเพิ่ม? เกรงว่าคงจะไม่ได้ ก่อนหน้าที่พวกเราปิดประตูทั้งสี่ด้าน และทำการค้นหาหูชุนเหนียงนั้น เกรงว่าคงสร้างความสงสัยให้กับกลุ่มอิทธิพลต่างๆ แล้ว ถ้าเพิ่มกำลังคนอีกล่ะก็……ใคร! รีบไสหัวออกมา!” ต่งไทเฮาส่ายหน้ากล่าว แต่อยู่ๆ ก็ส่งสายตาเยือกเย็นออกมา และส่งเสียงตะคอกไปยังประตูนอกตำหนักในฉับพลัน
“คุณหนู ข้าน้อยเอง!” เงาร่างเคลื่อนไหวนอกประตู หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดนางกำนัลสีแดงเข้มเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
……………………………………….