ต่งไทเฮากล่าวอย่างราบเรียบ จากนั้นก็ขยับแขนชี้นิ้วไปทางม่านแสง
เสียงดัง “หวึ่ง!” ขึ้นมาในทันที จากนั้นรอยแตกสีขาวก็ม้วนตัวในชั้นม่านแสงสีฟ้า พริบตาเดียวมันก็ฟืนคืนกลับมาเป็นปกติ
เมื่อนางทำทุกอย่างนี้เสร็จ นางก็ไม่สนใจผู้คนที่อยู่นอกม่านแสง จากนั้นก็ลอยลงด้านล่างท่ามกลางองครักษ์ที่รุมล้อมเป็นจำนวนมาก
ผู้บัญชาการแขกจิตวิญญาณทองคำทั้งสามกับผู้ฝึกฝนของราชวงศ์เหล่านั้น ยืนสังเกตผู้คนนอกม่านแสงอยู่ที่เดิม
ผู้ฝึกฝนระดับสูงที่รวมตัวเป็นพันธมิตรกัน ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
……
“เป็นอย่างไรบ้างเสด็จแม่! ผู้ฝึกฝนเหล่านั้นจะหยุดโจมตีพระราชวังไหม?” พอเท้าทั้งคู่ของต่งไทเฮาเหยียบลงใจกลางพระราชวัง เสวียนจื้อที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่บริเวณนั้นก็พุ่งเข้ามา และถามอย่างเป็นกังวล
ข้างกายเขายังมีชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กับหญิงวัยกลางคนใบหน้าธรรมดาคนหนึ่ง
ทั้งสองก็คือจวี้เจิงกับหลินเส่านั่นเอง!
“วางใจเถอะ! แม้ว่าคนเหล่านี้จะร่วมมือกัน แต่ก็เป็นแค่การรวมตัวของกลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มๆ หลังจากที่ข้าแสดงพลังอันแข็งแกร่งออกไป ได้สร้างความยุ่งยากให้พวกเขาไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่กล้าเอาชีวิตเข้าเสี่ยงแล้ว อีกอย่างถ้าพวกเขาจะโจมตีต่อไป ข้าจะใช้ชั้นจำกัดสั่งสอนอย่างโหดเหี้ยมจนต้องถอยออกไปเอง ว่าแต่ขุนนางใหญ่เหล่านั้น จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม? ถึงแม้คนเหล่านี้จะอ่อนแออย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่มันมีอิทธิพลต่อมนุษย์ธรรมดาเป็นอย่างมาก เพียงแค่ปราบพวกเขาให้อยู่มือ ภายหน้ามันจะเป็นผลดีต่อเราในการจัดการกับมนุษย์ธรรมดาในแคว้นค้าเสวียนเป็นอย่างมาก” ต่งไท่เฮากล่าวอย่างสบายๆ
“เสด็จแม่วางใจได้! ตอนนี้ขุนนางใหญ่เหล่านั้นต่างก็ถูกป้อนสุราเมาร้อยวัน ถ้าไม่ได้โอสถมาถอนก็ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้” เสวียนจื้อกล่าวด้วยความผ่อนคลาย
“อย่างนี้ก็ดี หลินเส่า ครั้งนี้เจ้าสามารถปล่อยกงซุนหลง และคนอื่นๆ ที่ฝึกฝนสำเร็จออกจากการเก็บตัวก่อนเวลาที่กำหนด นับว่าได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ กลับเผ่าไปแล้ว ข้าจะให้ท่านพ่อเลื่อนตำแหน่งให้เจ้า” ต่งไทเฮาหันมากล่าวกับหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างด้วยความพอใจ
“มิกล้า! ข้าน้อยเพียงใช้วิธีการเล็กน้อยทำให้พวกเขาออกมาก่อนกำหนดเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาแต่ละคนต่างก็ฝึกพลังปีศาจที่คุณหนูให้จนพลังก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่จะเป็นหรือตายล้วนอยู่ในกำมือของคุณหนูแล้ว อีกอย่างเมื่อเวลาผ่านไป จิตรับรู้ของพวกเขาก็จะค่อยๆ เลอะเลือน ในที่สุดก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดที่ไร้ซึ่งจิตใจและสติปัญญา” หลินเส่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็นผลมาจากปราณโลหิตปีศาจที่ท่านพ่อมอบให้ขวดนั้น มิเช่นนั้นต่อให้พวกเขาจะฝึกพลังปีศาจดังกล่าว แต่ก็ไม่สามารถเห็นผลได้รวดเร็วเช่นนี้ เวลาที่เหลือ พวกเราเพียงแค่ค่อยๆ รอต่อไป ใช่สิ! การกระตุ้นค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้า ทำให้พวกเราถูกตัดขาดการติดต่อกับภายนอก ข้าจำได้ว่าแผนการเดิมที่นัดหมายไว้ อีกสองเดือนข้างหน้าธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงจะมารวมตัวกับพวกเราที่เสวียนจิง นับดูเวลาแล้ว พวกเขาคงใกล้จะลงมือกับแคว้นไห่เยวี่ยแล้วใช่ไหม!” ต่งไทเฮาพลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามออกไป
“มันเป็นเช่นกัน แต่เผ่าเกล็ดแดงไม่ถูกกับเผ่าเกล็ดเขียวเรามาโดยตลอด ไม่รู้ว่าทำไมเบื้องบนถึงส่งนางมาเสวียนจิง” หลินเส่ากล่าวอย่างนอบน้อม
“ง่ายมาก! ตามที่ตกลงกันของทั้งสามเผ่า แคว้นต้าเสวียนจะเป็นของเผ่าเกล็ดแดงครึ่งหนึ่ง เพื่อการพิจารณาที่เป็นธรรม ธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงย่อมอยากมาเสวียนจิงเองสักครั้ง เอาล่ะ! เรื่องเกี่ยวกับเผ่าเกล็ดแดงไม่ต้องไปคิดมาก บิดาข้าและคนอื่นๆ ย่อมแย่งชิงผลประโยชน์ดีๆ ที่เพียงพอให้กับเผ่า อีกอย่าง เมื่อนางมาถึงเสวียนจิงจริงๆ เรื่องใหญ่ทั้งหมดก็สงบลงแล้ว ตอนนี้ข้าหวังว่าจะต้องเปิดฉากเรื่องใหญ่ให้ตรงเวลา มิเช่นนั้นพวกเราคงได้สนุกกันใหญ่แน่” ต่งไทเฮาหัวเราะอย่างเยือกเย็น และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“คุณหนูวางใจได้! พวกเราทั้งสามเผ่าเริ่มวางแผนนี้มานานหลายสิบปี วันเปิดฉากสำคัญเช่นนี้ จะเปลี่ยนแปลงง่ายๆ ได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กล่าวอย่างนอบน้อม
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เวลาที่เหลือข้าต้องไปควบคุมค่ายกล เรื่องอื่นๆ ต้องมอบให้เจ้ากับจวี้เจิงดูแลแล้ว ใช่สิ! จวี้เจิง! ครั้งก่อนชิวหลงจื่อหนีพ้นเงื้อมมือเจ้าไปได้ ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นมาอีกล่ะก็ อย่าโทษที่ข้าลงโทษตามกฎของเผ่าก็แล้วกัน” ต่งไทเฮากล่าวกับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ทราบ! ข้าน้อยจะไม่ทำผิดอีก! ครั้งก่อนข้าคิดไม่ถึงว่าชิวหลงจื่อจะบ่มเพาะแมลงจิตวิญญาณตามที่ร่ำลือไว้ มันถึงได้โชคดีหนีออกจากวังไปได้ จะต้องไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างเด็ดขาด” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ตอบกลับด้วยความตกใจ
ต่งไทเฮาก็พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
……
ช่วงเวลาในหลายวันต่อมา กลุ่มอิทธิพลที่ร่วมมือกันก็พากันโจมตีชั้นจำกัดนอกพระราชวังอีกหลายครั้ง แต่ใครก็มองออกว่า ถึงแม้คนจะไม่เปลี่ยน แต่พลังในการโจมตีแต่ละครั้งกลับลดลงไปเรื่อยๆ
จนถึงการโจมตีครั้งสุดท้าย ในบรรดาผู้ฝึกฝนเกือบพันคนนั้น มีกว่าครึ่งหนึ่งที่ไม่ยอมออกพลัง
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ตำหนิ และทะเลาะกันไปรอบหนึ่งแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับสูงหลายคนก็สลายตัวกันไปด้วยความไม่พอใจ
กลุ่มพันธมิตรก็เหลือไว้เพียงแค่ชื่อเท่านั้น
แน่นอนว่าไม่มีใครเริ่มพูดคำว่ายกเลิกพันธมิตรออกมา เพราะถ้าอีกสองเดือนให้หลังชั้นจำกัดนี้ยังอยู่ล่ะก็ พวกเขาก็อาจต้องมารวมตัวเป็นพันธมิตรกันอีกครั้ง
เสวียนจิงที่ดูเหมือนคลื่นใต้น้ำที่ไหลทะลักในช่วงเวลาหนึ่ง กลับดูเงียบสงบเป็นพิเศษ
ครึ่งเดือนผ่านไป
เรือกระดูกขนาดยักษ์ที่มีไอสีดำพวยพุ่งเป็นเกลียวก็มาถึงน่านฟ้าที่อยู่ห่างจากเสวียนจิงไม่ถึงเจ็ดแปดลี้
ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกับหลินไฉอวี่ยืนเคียงบ่าอยู่ที่ส่วนหน้าของเรือ พวกเขากำลังมองม่านแสงยักษ์สีฟ้าที่อยู่ไกลๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“คลื่นพลังวารีอันน่าตกใจเช่นนี้ ดูท่าทางด้านเผ่าเจ้าสมุทรคงลงมือแล้ว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่อเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ใช้ชั้นจำกัด เห็นได้ชัดว่าอาศัยแค่พลังของตัวเองไม่อาจรับมือกับผู้ฝึกฝนอิสระในเสวียนจิงได้ ดังนั้นคงจะยังไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าชั้นจำกัดนี้ไม่ได้สร้างมาจากค่ายกลธรรมดาของเผ่าเจ้าสมุทร ต่อให้พวกเราอยากจะทำลายมัน เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ” หลินไฉอวี่ขมวดคิ้วกล่าว
“ในเมื่อศิษย์พี่เหลยกับศิษย์พี่หลินต่างก็คิดว่าชั้นจำกัดนี้ไม่สามารถทำลายได้ง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นไม่สู้รอคนนิกายจันทราสวรรค์มาแล้วค่อยลงมือดีไหม?” น้ำเสียงเบิกบานดังมาจากด้านหลังของทั้งสอง
ผู้พูดเป็นชายผิวดำมี่ทีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี เขาอ้าปากเผยให้เห็นฟันสีขาวที่มีอยู่เต็มปาก
และด้านข้างชายผู้นี้ กลับมีผู้อาวุโสที่มีรอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้า สวมชุดคลุมลายนกกระสา ในมือถือไม้เท้าหัวกะโหลก ผอมกระหร่องก่องจนดูเหมือนจะปลิวไปกับลม
“ศิษย์น้องเว่ยไม่รู้อะไร ก่อนออกเดินทางศิษย์พี่ท่านประมุขได้สั่งไว้ว่า จะต้องใช้พลังที่มีอานุภาพจัดการปัญหาในเสวียนจิงให้เร็วที่สุด ถ้ายืดเยื้อไว้นานเกินไปล่ะก็ เกรงว่าจะทำให้นิกายเราดูอ่อนแอไร้ความสามารถ!” หลินไฉอวี่อธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าว่าแล้ว แค่เผ่าเจ้าสมุทรจำนวนหนึ่ง ทำไมต้องให้อาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเราลงมือพร้อมกันทั้งสี่คนด้วย” ชายผิวดำกล่าวด้วยความแปลกใจ
“ศิษย์น้องเติ้ง เจ้ามีความรู้ทางด้านค่ายกล อีกสักครู่คงต้องให้เจ้าออกแรงแล้ว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวกับผู้อาวุโสที่ใส่ชุดคลุมลายนกกระสา
“ศิษย์พี่เหลยวางใจเถอะ! ศิษย์น้องจะทำอย่างสุดความสามารถ อีกอย่างต่อให้เป็นค่ายกลที่ร้ายกาจ แต่ถ้าไม่มีคนควบคุมที่มีพลังเหมาะสมล่ะก็ จะไม่สามารถกระตุ้นอานุภาพออกมาได้มาก” ผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสากระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวด้วยความมั่นใจ
ชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา จากนั้นก็กระตุ้นเรือเหาะพุ่งตรงไปยังม่านแสงสีฟ้าทันที จนเมื่อเหาะมาอยู่ห่างลี้กว่าๆ ถึงได้หยุดลงกลางอากาศ
ขณะนี้ผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสาได้หยิบแผ่นควบคุมค่ายกลออกมาจากอก และเริ่มร่ายคาถาแสดงวิชาออกมา
ชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ ต่างก็รออยู่บนเรืออย่างเงียบๆ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป จนเมื่อเวลาผ่านไปราวๆ สามชั่วยาม ผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสาถึงได้ถอนหายใจออกมายาวๆ และหยุดการแสดงวิชา
“ข้ารู้แล้วว่านี่คือค่ายกลอันใด คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้าอันเลื่องชื่อของเผ่าเจ้าสมุทร!”
“ค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้า! ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อค่ายกลนี้ นี่เป็นหนึ่งในค่ายกลป้องกันที่มีชื่อเสียงของเผ่าเจ้าสมุทร ศิษย์น้องเติ้งมีวิธีทำลายมันไหม?” หลินไฉอวี่ได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“ศิษย์พี่วางใจเถอะ! ถ้ามีอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรควบคุมอยู่ล่ะก็ ค่ายกลนี้จะทำลายได้ยากนัก แต่ถ้าเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณล่ะก็ ภายในห้าวันข้าจะต้องทำลายมันให้ได้!” ผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสากล่าวด้วยความมั่นใจเป็นอย่างมาก
“ห้าวัน? ใช้เวลานานไปหน่อย ต่อให้ต้องเสียค่าตอบแทนเล็กน้อย ก็ต้องทำลายค่ายกลให้ได้ภายในสามวัน!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยฟังมาถึงจุดนี้ ก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา
“ถ้าทำลายค่ายกลภายในสามวันล่ะก็ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ข้าต้องยืมอาวุธจิตวิญญาณประจำตัวของศิษย์พี่เหลยมาใช้ด้วย” ผู้อาวุโสลังเลซักพักแล้วกล่าวสีหน้าเคร่งขรึม
“อาวุธจิตวิญญาณประจำตัวข้า! เรื่องนี้ไม่มีปัญหา!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยตอบรับในทันที
“ดีมาก! ต่อไปหวังว่าศิษย์น้องเว่ยกับศิษย์พี่หลินจะให้ความร่วมมือกับข้าสักหน่อย ข้าจะเริ่มเตรียมวิธีทำลายค่ายกลแล้ว” ผู้อาวุโสกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ชายผิวดำกับหลินไฉอวี่ได้ยินเช่นนี้ ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำตาม
ดังนั้นเวลาต่อมา พวกเขาก็บังคับให้เรือเหาะร่อนลงไปทันที และในที่สุดก็มาจอดอยู่ในป่าที่เขียวชอุ่มเป็นดง
ช่วงเวลาหลายวันที่เหลือ ภายใต้การชี้แนะของผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสา คนจำนวนหนึ่งก็ขี่เรือกระดูกยักษ์ไปวางค่ายสะท้อนกลับตามที่ต่างๆ รอบเมืองเสวียนจิง
เมื่อถึงวันที่สาม แท่นหินยักษ์สูงสิบกว่าจั้งได้ผุดขึ้นมาหน้าประตูเมืองทางทิศตะวันออกของเสวียนจิง
ภายใต้การคุ้มกันของอาจารย์จิตวิญญาณอีกสามคน ผู้อาวุโสชุดคลุมนกกระสาได้ปรากฏตัวบนแท่นหินแห่งนี้
พอผู้อาวุโสสะบัดแขนเสื้อ ธงค่ายกลสีแดงจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไป และปักอยู่รอบๆ แท่นหิน จากนั้นก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นค่ายกลแปลกประหลาดหลังหนึ่ง
ผู้อาวุโสยืนอยู่กลางค่ายกล เพียงแค่เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว ธงค่ายกลรอบด้านก็ส่งเสียงหวึ่งๆ ออกมาพร้อมกัน กลิ่นไอร้อนแผดเผาม้วนตัวออกจากใจกลาง และกลายเป็นเมฆอัคคีสีแดงจางๆ ภายในพริบตา
ภายใต้การปล่อยพลังเวทย์เข้าใส่อยู่ไม่หยุดของผู้อาวุโส เมฆอัคคีก็เริ่มกลิ้งไปมาและขยายใหญ่อย่างบ้าคลั่ง
ชั่วเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งมื้อข้าว มันก็มีขนาดใหญ่หมู่กว่าๆ จนเกือบจะปกคลุมแท่นหินไว้ได้ทั้งหมด
……………………………………….