เก้าเดือนผ่านไป ขณะที่ชายชุดคลุมสีขาวกำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น พลันมีเสียงดังหวึ่งๆ ดังขึ้นมา
เขารู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก จึงรีบหยุดทำท่าทางที่ทำอยู่แล้วมองไปยังด้านหน้า
กระจกทองเหลืองที่แขวนอยู่บนผนังอย่างเงียบๆ ค่อยๆ สั่นไหวขึ้นมา
ภาพในกระจกทองเหลือง คือภาพที่ประตูบ้านหินขนาดใหญ่ค่อยๆ เปิดออก ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวเดินออกจากในนั้นด้วยสีหน้าสงบ เขาคือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ชายชุดคลุมสีขาวเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา หลังจากที่ลูบไปมาไม่กี่ที ก็เดินลงบันไดไป
……
หลิ่วหมิงสังเกตดูทิวทัศน์นอกบ้านหิน ทุกอย่างเหมือนกับตอนมาไม่มีผิด
อย่างเดียวที่ไม่เหมือนก็คือ ตอนที่เข้ามายังเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณที่ไม่เตะตาคนหนึ่ง แต่ตอนออกมากลับเป็นอาจารย์จิตวิญญาณที่แท้จริงแล้ว
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า พอเขากำมือทั้งสองเล็กน้อย แสงสีน้ำเงินจางๆ ก็ปรากฏออกมา ในนั้นมีผลึกแสงแพรวพราวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
นี่คือปราณแกร่งที่เขาควบแน่นมาอย่างยากลำบาก พลังการป้องกันแข็งแกร่งจนสามารถรับการโจมตีทั้งหมดของศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปโดยที่ตนเองไม่เป็นอะไรเลย
เพื่อการควบแน่นปราณแกร่งในครั้งนี้ เขาใช้ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินไปจนหมด และควบแน่นติดต่อกันสามครั้งถึงสำเร็จ
ในตอนนั้นเขากลัวจนเกือบขี้ขึ้นสมอง และแอบภาวนาให้มันโชคดีอยู่ไม่หยุด
ถ้าตอนแรกเขาได้ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้มาน้อยกว่านี้ล่ะก็ เกรงว่าการทะลวงระดับของเหลวในครั้งนี้คงจะล้มเหลวอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ทันใดนั้นเขาก็ดีดนิ้วออกไปยังพื้นบริเวณนั้น
“ฟู่!”
จุดแสงสีน้ำเงินพุ่งยิงออกไป ทิ้งรูลึกๆ ไว้บนพื้นรูหนึ่ง ไอเย็นสะท้านแปลกประหลาดพุ่งออกมา พริบตาเดียวรูเล็กๆ ก็ถูกน้ำแข็งปกปิดไว้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา
ไม่ว่าจะเป็นด้านการป้องกันหรือโจมตีของปราณแกร่งพลังน้ำเงินอันดับเจ็ดล้วนทำให้เขาพอใจเป็นอย่างมาก ไม่เสียแรงที่ไปเอามาจากเขาหมื่นทมิฬด้วยความยากลำบาก
แต่ขณะนั้นเอง หากมีคนใช้พลังจิตกวาดดูภายร่างของหลิ่วหมิงล่ะก็ จะเห็นว่าพลังต้นกำเนิดตรงจุดตันเถียนกลายเป็นของเหลวสีเงินจางๆ และปล่อยพลังเวทย์อันน่าตกใจออกมา
นี่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของผู้ฝึกฝนที่เข้าสู่ระดับของเหลวที่เรียกว่า “พลังต้นกำเนิดกลายเป็นของเหลว” ด้วยเหตุนี้ร่างของเขาจึงจุรับพลังเวทย์ได้มากกว่าศิษย์จิตวิญญาณหลายสิบเท่า
แน่นอนว่าพริบตาที่เขาเข้าสู่ระดับของเหลว พลังจิตของเขาก็แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า
อย่างที่รู้ว่า แต่ก่อนพลังจิตของหลิ่วหมิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปเลย ตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นมาหลายเท่า เกรงว่าอาจารย์จิตวิญญาณขั้นปลายก็ไม่อาจเทียบกับเขาได้
นี่เป็นเรื่องโชคดีที่พอหลิ่วหมิงเข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว ก็ฝึกฝนอยู่ในบ่อจิตวิญญาณครึ่งปี มิเช่นนั้นไม่ว่าพลังต้นกำเนิดกลายเป็นของเหลวหรือว่าความแข็งแกร่งของพลังจิต อาจทำให้เขตแดนของเขาไม่มั่นคง และเกิดภัยแฝงได้โดยง่าย
หลิ่วหมิงคิดแบบนี้ในใจ และค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่เข้ามาในตอนแรก
พอเดินเข้าใกล้บริเวณค่ายกลที่ส่งตัวมา ชายชุดคลุมสีขาวก็รออยู่ที่นั่นแล้ว พอเขาเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ ยินดีกับศิษย์หลานหลิ่วที่เข้าสู่ระดับของเหลว กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกเหมือนกับพวกเรา ข้าได้แจ้งศิษย์พี่ท่านประมุขแล้ว อีกสักครู่เขาคงมาพาศิษย์หลานไปไหว้ที่หอบูรพาจารย์ จากนั้นก็สามารถเรียกข้าว่า “ศิษย์พี่” ได้อย่างเป็นทางการแล้ว จุ๊ๆ! ศิษย์ น้องอาจจะยังไม่รู้ ครั้งนี้เจ้าเข้าสู่ระดับของเหลวได้ ไม่รู้ว่าทำให้คนตกตะลึงมากมายเท่าไหร่”
“ที่ศิษย์กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมาก ถ้าต้องทะลวงอีกครั้งล่ะก็ คงต้องล้มเหลวแปดถึงเก้าส่วน” หลิ่วหมิงคารวะแล้วกล่าวออกมา
“ฮ่าๆ! ในเมื่อศิษย์น้องเลือกที่จะฝืนชะตาฟ้า โชคส่วนหนึ่งก็มาจากพลังด้วย” ชายชุดคลุมสีขาวหัวเราะฮาๆ ก่อนกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
หลิ่วหมิงก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับไป
เวลาต่อมา เขาเดินตามชายชุดคลุมสีขาวเข้าไปในค่ายกลเพื่อออกจากเขตแดนบ่อจิตวิญญาณ จากนั้นก็กลับมายังหอชั้นหนึ่งตรงปากทางเข้าหุบเขาอีกครั้ง
ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความวิงเวียนออกไป เงาร่างคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
ซึ่งก็คือประมุขนิกายปีศาจนั่นเอง!
…….
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลังจากหลิ่วหมิงไปจากหอบูรพาจารย์ตรงยอดเขาหลักแล้ว ก็กลับไปเขาเก้าทารกทันที
ครึ่งวันผ่านไป เขากับกุยหรูฉวนก็หาถ้ำที่พักในเขาเก้าทารก จากนั้นเขาก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น
วันที่สอง หลิ่วหมิงได้ต้อนรับอาจารย์จิตวิญญาณสาขาอื่นๆ ที่มากล่าวยินดีภายในถ้ำที่พัก
วันที่สาม หลิ่วหมิงพบกับศิษย์สาขาเก้าทารกในหอใหญ่บนยอดเขาเก้าทารกในสถานะอาจารย์จิตวิญญาณเป็นครั้งแรก
แม้ศิษย์เหล่านี้จะรู้แต่แรกว่าหลิ่วหมิงเปลี่ยนชื่อและเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว แต่พอได้พบกับหลิ่วหมิงตัวจริง พวกเขายังคงมีสีหน้าที่แตกต่างกันไป
……
ครึ่งเดือนผ่านไป หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับภายในถ้ำที่พักแห่งใหม่ ด้านหน้ามีค่ายกลขนาดใหญ่ประทับอยู่บนพื้น
ใจกลางค่ายกล มีกระบี่สั้นสีเขียวลอยอยู่ต่ำๆ ขณะเดียวกันบนพื้นผิวของมันมีอักขระสีเขียวจางๆ สิบกว่าชั้นเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว เขาพ่นไอบริสุทธิ์ออกมากลุ่มหนึ่ง จากนั้นมันก็หายวับเข้าไปในกระบี่สั้นอย่างรวดเร็ว
เขากำลังปรับแต่งอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางชิ้นนี้อยู่
ระดับการฝึกฝนของเขาในตอนแรก สามารถกระตุ้นชั้นจำกัดได้แค่สามสี่ชั้นเท่านั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณระดับต้นแล้ว พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นมาสิบกว่าเท่า ย่อมสามารถกระตุ้นชั้นจำกัดที่สูงขึ้นได้
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงนำกระบี่จันทราหยกมาปรับแต่งอีกครั้ง
เพียงแค่ปรับแต่งอาวุธจิตวิญญาณนี้สำเร็จแล้วกระตุ้นมัน อานุภาพของมันคงต่างจากเดิมราวฟ้ากับดิน
ชั้นค่ายกลอักขระบนพื้นผิวกระบี่สั้นสีเขียวมีมากขึ้นเรื่อยๆ ชั้นที่สิบหกก็โผล่ออกมาลางๆ หลิ่วหมิงเผยสีหน้าดีใจออกมา พอเปลี่ยนท่ามือ ก็มีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาจากแขนเสื้อของเขา
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง เขามองไปยังที่มาของเสียงแล้วต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
เขาหยุดทำท่ามือในฉับพลัน กระบี่สั้นสีเขียวยังคงลอยต่ำอยู่เช่นเดิม พอเขาสะบัดแขนเสื้อ แผ่นค่ายกลกลมๆ ก็ลอยออกมา หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้วก็ค่อยๆ หล่นลงบนมือเขาอย่างมั่นคง
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองอักขระเล็กๆ ที่ลอยอยู่บนแผ่นค่ายกลแล้วก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา จากนั้นจึงเก็บมันเข้าไปด้วยตาที่เป็นประกาย และแสดงสีหน้าลังเลเล็กน้อย
ในแผ่นค่ายกลคือข้อความที่ประมุขนิกายปีศาจส่งมา และให้เข้าไปประชุมที่หอใหญ่บนยอดเขาหลัก บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากปรึกษา
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่อาจไม่สนใจได้
ดังนั้นเขาจึงรีบทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ส่งผลให้ชั้นค่ายกลอักขระบนกระบี่จันทราหยกหดตัวเข้าไป จากนั้นถึงเก็บกระบี่จันทราหยกแล้วออกไปจากห้องลับ
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็ขี่เมฆเหาะไปจากเขาทารก เพื่อมุ่งตรงไปยังยอดเขาหลัก
ใช้เวลาไม่นาน เขาก็มาถึงห้องโถงใหญ่บนยอดเขาหลักที่ใช้หารือเรื่องสำคัญ
ประมุขนิกายปีศาจคิ้วขมวดรออยู่ที่นั่นนานแล้ว พอหลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องหลิ่ว ในที่สุดเจ้าก็มา รีบมานั่งก่อน”
“ศิษย์พี่ท่านประมุขเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าเรียกว่าข้ามามีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงคารวะผู้อาวุโสที่สวมชุดผ้าป่านด้วยความนอบน้อม
“ในเมื่อศิษย์น้องใจร้อนเช่นนี้ ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว ข้าขอถามเจ้าหน่อย วิชาที่เจ้าฝึกฝนในตอนแรกใช่เคล็ดวิชากระดูกดำหรือไม่?” ประมุขนิกายปีศาจลังเลเล็กน้อยแล้วก็ถามประโยคที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา
“ศิษย์พี่ท่านประมุขทราบมาจากอาจารย์อาหร่วนใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้แสดงสีแปลกใจออกมา
“ศิษย์น้องหลิ่วไม่ต้องกังวลไป ถ้าพูดถึงระดับความเข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดวิชากระดูกดำ ในนิกายปีศาจเรานอกจากศิษย์น้องหร่วนแล้ว เกรงว่าคงมีแต่ข้าเท่านั้น ในเมื่อปีนั้นเจ้าเข้าร่วมการประลองใหญ่ ต่อให้ศิษย์น้องหร่วนไม่บอก ข้าก็มองออกบางส่วน” ผู้อาวุโสชุดผ้าป่านหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ปิดบังอีกต่อไป ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำจริงๆ! ที่ศิษย์พี่เรียกข้ามาเพราะว่าเรื่องนี้หรือ?” หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถามออกไปด้วยสีหน้าสงบ
“อืม! เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชานี้จริงๆ แต่ก่อนอื่นข้าอยากถามศิษย์น้องหลิ่วว่า มีความเห็นเช่นไรเกี่ยวกับการรุกรานแคว้นตามชายฝั่งทะเลของเผ่าเจ้าสมุทรในครั้งนี้?” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“การรุกรานของเผ่าเจ้าสมุทร? เรื่องนี้มันพูดยาก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ อิทธิพลของเผ่าเจ้าสมุทรแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อาศัยแค่กำลังจากแคว้นเราอย่างเดียว ไม่อาจโจมตีให้เผ่าเจ้าสมุทรล่าถอยไปได้” หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็รีบกล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด
“ดูท่าศิษย์น้องจะเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม ข้ามีข่าวที่ส่งมาจากชายแดน ศิษย์น้องดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้า และหยิบแผ่นไผ่สีขาวออกจากแขนเสื้อยื่นให้หลิ่วหมิง
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจที่เห็นเช่นนี้ แต่ก็รีบรับแผ่นไผ่มาแปะไว้บนหน้าผาก
เวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมา ผ่านไปซักพักถึงถอนหายใจเบาๆ และดึงแผ่นไผ่ออก
“คิดไม่ถึงว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะมีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ สถานการณ์ข้างหน้าก็ดูเลวร้ายเช่นนี้”
“อย่างที่เจ้าเห็น เผ่าเจ้าสมุทรมีอิทธิพลแข็งแกร่งมากกว่าที่พวกเราคิดไว้ และผู้อาวุโสระดับผลึกของพวกเราทั้งห้านิกายต่างก็ไปตั้งมั่นอยู่ที่ชายแดนเมื่อปีก่อน เพื่อป้องกันการจู่โจมของผู้อาวุโสระดับผลึกของฝ่ายตรงข้าม แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พอทางเผ่าเจ้าสมุทรเคลื่อนพล พันธมิตรตรงชายแดนก็ไม่สามารถต้านทานได้นาน ดังนั้นนิกายทั้งห้าต้องรีบส่งกำลังเสริมรอบสองไปช่วย แต่ศิษย์ร้องหลิ่วเองก็รู้ว่า เดิมทีนิกายปีศาจเรามีอิทธิพลต่ำสุด เมื่อตัดผู้ที่อยู่รักษาการณ์ในนิกายกับผู้ที่กำลังดำเนินภารกิจแล้ว คนที่สามารถส่งไปได้ก็มีอยู่น้อยมาก ดังนั้นแม้ว่านิกายเราจะไม่สามารถส่งอาจารย์จิตวิญญาณไปได้มาก แต่ก็เตรียมสมบัติล้ำค่าที่เดิมทีปิดผนึกไว้มาใช้” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“สมบัติล้ำค่า?” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
……………………………………….