ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 250 ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ

ตอนที่ 250 ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ

ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงและประมุขนิกายปีศาจก็เดินออกจากหุบเขา

สีหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด ประมุขนิกายปีศาจกลับมีสีหน้าตื่นเต้นจนยากที่จะปิดบังได้

หลังจากเด็กชายทำความเคารพ และกลับเข้าไปในหุบเขาแล้ว ประมุขนิกายปีศาจก็หยิบคัมภีร์เล่มบางๆ ให้กับหลิ่วหมิงพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“ข้ามีบันทึกความรู้การควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกของปรมาจารย์ในปีนั้นอยู่เล่มหนึ่ง เจ้าเอากลับไปอ่านดู ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันหรือไม่นั้น คงต้องพึ่งเคล็ดวิชากระดูกดำของศิษย์น้องแล้วล่ะ ศิษย์น้องรีบนำคัมภีร์เล่มนี้ไปทำความเข้าใจให้ทะลุปรุโปร่ง ไม่แน่อาจได้ใช้ในภายหลัง”

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าหลิ่วหมิง แต่เขาก็ตอบรับกลับไปทันที

จากนั้นประมุขนิกายปีศาจกล่าวกำชับอีกสองสามประโยค แล้วทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันไป

หลิ่วหมิงขี่เมฆไปด้วย ชื่นชมป้ายกระดูกในมือไปด้วย พอเขานึกถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกก็อดใจเต้นโครมครามไม่ได้

พอปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกขยายตัว มันก็มีพลังเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก เกรงว่าคงจะมีพลังระดับผลึกจริงๆ

แต่หลิ่วหมิงไม่อาจนำปีศาจมนุษย์ตนนี้ออกจากแดนต้องห้ามได้ หลังจากประมุขนิกายปีศาจเห็นเขาใช้ป้ายกระดูกขาวควบคุมปีศาจมนุษย์ได้แล้ว ก็เพียงแต่บอกให้หลิ่วหมิงมาที่หุบเขากับเขาหลายๆ ครั้ง เพื่อฝึกวิธีการควบคุมเล็กน้อย

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และกลับถึงที่พักบนเขาเก้าทารกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องลับ และทำการครุ่นคิดขึ้นมา

ประมุขนิกายปีศาจยอมนำสมบัติล้ำค่าอย่างปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกออกมาใช้เช่นนี้ คิดว่าสถานการณ์การต่อสู้ของแต่ละนิกายกับเผ่าเจ้าสมุทรที่ชายแดนคงจะไม่ค่อยดีมากนัก

ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ถ้าเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นของเผ่าเจ้าสมุทรล่ะก็ คิดว่าคงจะเอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าเผชิญกับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นสูงหรือว่าระดับผลึกล่ะก็ เกรงว่าคงจะได้รับอันตรายจนถึงชีวิต

และถ้าเขาควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกที่มีพลังทัดเทียมกับระดับผลึกไปเผชิญหน้ากับเผ่าเจ้าสมุทรล่ะก็ เกรงว่าไม่ช้าก็เลวคงถูกผู้ฝึกฝนระดับนี้ของเผ่าเจ้าสมุทรจับตามอง

พอหลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ ก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

เดิมทีคิดว่าหลังเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว ตัวเองคงจะปลอดภัย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าต้องเผชิญกับเรื่องนี้เข้าอย่างจัง

ด้วยสถานการณ์ของนิกายปีศาจในตอนนี้ เขาไม่อาจปฏิเสธหน้าที่สำคัญอย่างการควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกได้ ดังนั้นวิธีการเดียวที่จะคุ้มครองชีวิตของเขาในศึกใหญ่กับเผ่าเจ้าสมุทรก็คือ ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองอย่างบ้าคลั่ง

เพียงแค่เขาเพิ่มพลังอีกเท่าตัวก่อนไปชายแดน ก็จะมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง

พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็หลับตาทั้งคู่ทันที ขณะเดียวกันลำแสงก็เปล่งประกายในทะเลจิตรับรู้ คัมภีร์หนาๆ ที่ถูกไอสีดำรัดพันอยู่ปรากฏออกมา

มันคือเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเล่มนั้น!

ตั้งแต่ได้รับคัมภีร์เล่มนี้มา เขาแค่ดูผ่านๆ ไปหนึ่งรอบ ก็รู้สึกว่ามันล้ำลึกเกินไปจึงไม่ได้เปิดดูอีกเลย

หลังจากเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ เขาก็ต้องทำระดับให้มั่นคง จึงยังไม่ได้ทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้

เวลาต่อมา หลิ่วหมิงค่อยๆ เปิดคัมภีร์ในสมองทีละหน้า และอ่านดูอย่างละเอียด

หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงถึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจระคนดีใจ

การเปิดอ่านคัมภีร์ในก่อนหน้านั้น เป็นเพราะระดับการฝึกฝนของเขาไม่เพียงพอ จึงอ่านเข้าใจได้เพียงสองถึงสามในสิบส่วน นอกจากจะรู้ว่าวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเป็นเคล็ดวิชาสายปีศาจแล้ว ก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย

แต่การทำความใจในตอนที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณ กลับรู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก สิ่งที่ไม่เข้าใจในแต่ก่อนก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

แม้ว่าตอนนี้เขาไม่อาจทำความเข้าใจเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก็พอเข้าใจเนื้อหาได้หกถึงเจ็ดส่วน ส่วนที่เหลือมันคลุมเครือเกินไป ถ้าใช้เวลาศึกษาอีกสักหน่อย ก็เข้าใจได้หมดอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เข้าใจว่าเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเป็นวิชาแบบใด

เคล็ดวิชานี้คล้ายกับเคล็ดวิชากระดูกดำเล็กน้อย แต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกันมาก

ที่เหมือนกันคือ หลังจากฝึกฝนวิชานี้แล้ว ร่างกายจะแข็งแกร่งเหมือนกับเคล็ดวิชากระดูกดำ ที่ต่างกันก็คือระดับการทำให้ร่างกายแข็งแกร่งของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ไม่ใช่สิ่งที่เคล็ดวิชากระดูกดำจะเทียบได้

ถ้าจะบอกว่าหลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำแล้วมีผลต่อพลังเวทย์หกส่วนล่ะก็ หลังฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เก้าในสิบส่วนจะมีผลต่อความแข็งแกร่งของร่างกาย และเหลือไว้เพียงแค่หนึ่งส่วนที่มีผลในด้านพลังเวทย์

สิ่งที่ทำให้รู้สึกตกตะลึงก็คือ เคล็ดวิชานี้ถูกแบ่งเป็นหกขั้น สอดคล้องกับเขตแดนทั้งหกของระดับเหลวและระดับผลึก ทุกการฝึกฝนสำเร็จในแต่ละขั้น จะทำให้ผู้ฝึกฝนมีพลังมากขึ้นหนึ่งส่วน ถ้าฝึกฝนจนสำเร็จขั้นที่หก ก็มีพลังมากขึ้นหกส่วน และหลังจากฝึกฝนจนถึงระดับที่สาม ยังสามารถสร้างอภินิหาร ทำให้คนตกอยู่ในดินแดนแห่งความเพ้อฝันโดยไม่รู้ตัว

หลังจากกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ หลิ่วหมิงเคยไปหอเก็บคัมภีร์ เพื่อค้นดูวิชาระดับอาจารย์จิตวิญญาณอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่มีเล่มไหนเหมือนกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเลย

ถ้าที่บรรยายไว้ในคัมร์ภีเป็นเรื่องจริงล่ะก็ เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจะต้องเป็นหนึ่งในวิชาระดับสูงสุดของวิชาสายปีศาจอย่างแน่นอน

หลิ่วหมิงคิดด้วยตาที่เป็นประกายเร่าร้อน แต่พอคิดถึงความลำบากในการฝึกฝนแล้วก็แบะปากอย่างอดไม่ได้

เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้ไม่สามารถอาศัยปราณฟ้าดินในการยกระดับได้ แต่ละช่วงเวลาต้องอาศัยปราณหยินในการฝึกฝนเท่านั้น

แต่ปราณหยินคือสิ่งที่น่ากลัวมาก ภายใต้สถานที่ที่ผู้ฝึกฝนทั่วไปถูกเซาะกร่อนเป็นเวลานาน มีผู้ฝึกฝนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งปีศาจ

หลิ่วหมิงหน้านิ่วคิ้วขมวดคิดตั้งครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ภายหลัง

แม้ความมหัศจรรย์ของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ จะเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก แต่ในคัมภีร์ไม่มีเคล็ดวิชาลัด มันจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้มากในศึกเผ่าเจ้าสมุทร

ถ้าเขาอยากเพิ่มพลังในระยะเวลาสั้นๆ ล่ะก็ คงต้องพึ่งพลังภายนอกแล้ว

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และอดเอามือลูบหอยสังข์ย่อส่วนบนแขนไม่ได้

ในหอยสังข์ย่อส่วนนี้ มีหยดพลังวารีอยู่หยดหนึ่ง

ด้วยน้ำหนักของมัน ถ้าหากหลอมเป็น ‘มุกพลังวารี’ ในตำนานล่ะก็ คิดว่าอานุภาพของมันคงน่ากลัวเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ในมือเขายังมีอาวุธจิตวิญญาณหลายชิ้นที่ต้องปรับแต่งอีกรอบ เพื่อจะได้แสดงอานุภาพที่แท้จริงของพวกมันออกมา ตอนนี้เขาทะลวงระดับของเหลวไปแล้ว ปัญหาคอขวดแต่เดิมก็หายไปด้วย ย่อมสามารถใช้โอสถสมุนไพรจิตวิญญาณมาช่วยยกระดับพลังเวทย์ได้

หลิ่วหมิงคิดได้เช่นนี้ ก็ตัดสินใจในทันที

เช้าวันที่สอง เขาออกไปจากเขาเก้าทารก และเหาะตรงไปยังยอดเขาบางแห่งของนิกาย

ผ่านไปไม่นาน ก็มาปรากฏตัวบริเวณหน้าผาที่สูงชะโงกเงื้อมบางแห่งในยอดเขาหลักของสาขาฝึกศพ

สถานที่ที่อยู่สูงจากพื้นสิบกว่าจั้ง บนหน้าผามีประตูหินสีแดงอยู่บานหนึ่ง พอเขาเข้าใกล้ประตูหินสิบกว่าจั้ง ก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ระอุออกมาได้อย่างชัดเจน

ราวกับว่าประตูบานนี้ร้อนเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสิ่งนี้ หลังจากแสงสีน้ำเงินจางๆ เปล่งประกายบนร่าง มันก็สามารถปิดกั้นไอร้อนไว้ได้

“ตุ๊บ!” “ตุ๊บ!” หลิ่วหมิงหยุดห่างจากประตูหินหลายจั้ง ขณะเดียวกันก็ดีดนิ้วออกไปสองสามครั้ง

ผ่านไปไม่นาน ประตูหินก็เปิดออก ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ยและกำยำล่ำสัน อายุยี่สิบกว่าปีเดินออกมา พอเห็นว่าหลิ่วหมิงยังอายุน้อยเช่นนี้ ก็ถามด้วยความตกตะลึง

“ท่านคือ……”

“ศิษย์พี่หวงอยู่ข้างในไหม ข้าหลิ่วหมิงจากสาขาเก้าทารกตั้งใจมาเยี่ยมเยียน” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

“อะไรนะ! ท่านคืออาจารย์อาหลิ่วที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่ อาจารย์อาโปรดรอสักครู่! ข้าจะไปแจ้งอาจารย์ก่อน” ชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก และรีบกล่าวออกมา

แต่ชายหนุ่มยังไม่ทันหันตัวกลับไป ก็มีเสียงราบเรียบของผู้อาวุโสดังมาจากด้านหลัง

“ไม่ต้องแล้ว ให้สหายหลิ่วเข้ามาเถอะ! ข้าเองก็อยากเจอศิษย์น้องที่เพิ่งเป็นอาจารย์จิตวิญญาณผู้นี้”

แม้เสียงจะไม่ดัง แต่เสียงที่เข้าหูชายหนุ่มนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก

ชายหนุ่มตอบรับด้วยความตกตะลึง และเบี่ยงตัวหลีกทางให้

หลิ่วหมิงเข้าประตูไปอย่างไม่เกรงใจ

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงนั่งอยู่ในห้องโถงเย็นเฉียบแห่งหนึ่ง ตรงหน้าเป็นผู้อาวุโสใบหน้าธรรมดา รูปร่างผอมสูง สวมชุดคลุมสีดำ ดวงตาทั้งคู่สดใสเป็นอย่างมาก

“พูดอย่างนี้ เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าหลอมอาวุธจิตวิญญาณหรือ? แต่ทำไมศิษย์น้องถึงมาหาข้าล่ะ! ในตลาดแถวนี้มีผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่ไม่เลว ซึ่งสามารถหลอมอาวุธจิตวิญญาณทั่วไปได้” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

“ข้าได้ยินศิษย์พี่กุยพูดถึงมานานแล้ว ศิษย์พี่หวงถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่มีอยู่น้อยมากในแคว้นต้าเสวียน ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธธรรมดาในตลาดจะเทียบได้อย่างไร อีกอย่างถ้าเป็นอาวุธจิตวิญญาณธรรรมดา ข้าคงไม่มารบกวนศิษย์พี่หรอก แต่สิ่งที่ต้องการหลอมในครั้งนี้ไม่ธรรมดา เกรงว่ามีแค่ศิษย์พี่หวงเท่านั้นถึงจะหลอมได้สำเร็จ” หลิ่วหมิงกล่าวตามตรง

“อืม! มีเรื่องแบบนี้ด้วย ไม่ทราบว่าสิ่งที่ศิษย์น้องต้องการหลอมคือสิ่งใด รีบพูดมาให้ข้าฟังก่อน” พอผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“เอาอย่างนี้เถอะ! ข้าจะนำวัสดุหลักในการหลอมให้ศิษย์พี่หวงดูก่อน จากนั้นค่อยพูดเรื่องอื่นกัน” หลิ่วหมิงกระพริบตาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

“ได้!”

ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำตกปากรับคำ

แต่ขณะนี้ หลิ่วหมิงไม่ได้นำของออกมาในทันที แต่กลับมองไปยังชายหนุ่มร่างกำยำทีหนึ่ง

ผู้อาวุโสชุดดำเข้าใจในทันที จากนั้นจึงหันไปสั่งกับศิษย์ของตนเอง

ชายหนุ่มตอบรับอย่างนอบน้อม และถอยออกจากห้องโถงในทันที

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นยันต์จำนวนมากก็ลอยออกมาบนพื้น และจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมา อักขระสีขาวโผล่ขึ้นบนพื้น ผลึกแสงจางๆ ปรากฏออกมาหนึ่งชั้น

แม้ว่าผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำจะไม่ได้ห้ามปรามอะไร แต่ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลิ่วหมิงถึงพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ทันใดนั้นเตาหลอมสีเงินขนาดเล็กก็ปรากฏออกมา และขยายใหญ่ในทันที

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset