“ครั้งนี้เผ่าเจ้าสมุทรได้ถอยไปแล้ว และผู้อาวุโสของเผ่าเจ้าสมุทรก็ลงมือโดยไม่สนข้อตกลงที่ให้ไว้ พวกเราต้องป้องกันไว้ก่อน” เย่เทียนเหมยกล่าว
“อืม! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา พวกเราแต่ละนิกายต้องปรึกษาหารือกันเล็กน้อย” อาจารย์อาเยี่ยนได้ยิน ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทั้งสองส่งเสียงไปปรึกษากับผู้อาวุโสระดับผลึกคนอื่นๆ ที่อยู่ในเมือง จากนั้นก็ออกคำสั่งให้ถอนทัพกลับไป
กองกำลังพันธมิตรของแต่ละนิกายค่อยๆ ปล่อยเรือเหาะ รถเหาะออกมา และหาศพคนในนิกายจากสนามรบ จากนั้นก็นำกลับเมืองยักษ์
แม้ว่าศึกในครั้งนี้จะใช้เวลาไม่ค่อยนานมาก แต่จำนวนศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตก็มีหลายร้อยคน ทำให้คนที่ค่อนข้างสนิทกับผู้ตายมีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมา
พอกลับถึงเมือง อาจารย์อาเยี่ยนก็ไม่ได้เค้นถามว่าหลิ่วหมิงใช้วิธีการอะไรต้านทานการโจมผู้อาวุโสร่างผอมแห้งไว้ได้ แต่กลับกำชับเขาสองสามประโยค จากนั้นก็รีบไปรวมตัวกับผู้อาวุโสระดับผลึกคนอื่นๆ
หลิ่วหมิงก็ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะรับมือกับคนอื่นๆ หลังจากทักทายคนในนิกายแล้ว ก็รีบกลับไปที่พักของตนเอง
พอนั่งขัดสมาธิลงในห้องหิน เขาก็รีบถอดเสื้อออก เผยให้เห็นเกราะหนังเกล็ดมังกรที่แบบติดกับกล้ามเนื้อ
ด้านหลังของเขา มีรอยเว้าลึกหลายชุ่นตรงเกล็ดสีแดงที่อยู่ตรงตำแหน่งของหัวใจ และสีดำตรงส่วนด้านล่างของเกราะหนังก็นูนขึ้นมา
พอหลิ่วหมิงใช้พลังจิตสัมผัสดูตรงหลังเแล้ว ก็แสยะปากออกมาอย่างอดไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าถ้าไม่มีเกราะเกล็ดมังกรตัวนี้ เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
การโจมตีแบบไม่ใส่ใจของผู้อาวุโสระดับผลึก มีอานุภาพน่ากลัวถึงเพียงนี้ มิน่าล่ะแต่ละนิกายถึงเอาระดับนี้มาเป็นจุดยืนของนิกาย
และเพราะการสังหารอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรที่ชื่อลี่ซาในก่อนหน้านั้น ทำให้เขาถูกผู้ฝึกฝนระดับนี้จับตามอง คิดดูๆ แล้วมันน่าขนลุกยิ่งนัก
ดีที่ตอนนี้แต่ละนิกายกับเผ่าเจ้าสมุทรเป็นศัตรูกัน และมีอาจารย์อาเยี่ยนกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ อยู่ด้วย ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ จึงไม่อาจทำอะไรเขาได้โดยง่าย
ต่อไปเขาก็แค่ระมัดระวังตัวในการทำศึกครั้งหน้าให้มากหน่อย คงจะไม่มีโอกาสเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับนี้เพียงลำพัง
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่เงียบๆ จิตใจเริ่มสงบขึ้นมา และหยิบยันต์สีเขียวแปะตรงหลังทันที
แสงสีขาวหมุนวนอยู่ตรงรอยดำๆ จนมันยุบไปอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายก็กลับมาเกือบเป็นปกติ
แต่ทั้งหมดนี้เป็นแค่แผลภายนอกเท่านั้น แม้ไม่ต้องใช้ยันต์สมานแผล ก็เชื่อว่าอาศัยแค่ร่างกายที่แข็งแกร่ง ก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องยุ่งยากที่แท้จริงก็คือเขาได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงจากการโจมตีนี้
การบาดเจ็บแบบนี้ ต่อให้มีโอสถคอยช่วย และใช้เวลาสิบกว่าวันก็ไม่อาจรักษาให้หายได้เป็นปกติ
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ เขาหยิบโอสถออกมาใส่ปากหลายเม็ดแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อออกมา
แสงสีดำสองกลุ่มม้วนตัวออกจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว มันก็กลายเป็นกำไลแขนสีดำที่มีเปลือกหอยเลี่ยมฝังอยู่จำนวนสองอัน และลอยอยู่กลางอากาศด้านหน้าอย่างเงียบๆ
หลิ่วหมิงยื่นมือหยิบกำไลอันหนึ่งลงมาสังเกตเล็กน้อย และส่งพลังจิตเข้าไปตรวจสอบ
“เอ๊ะ!”
หลิ่วหมิงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่ต่อมาก็ตบลงบนกำไลทันที
“ฟู่!”
แสงสีฟ้าม้วนตัวออกมา สิ่งของจำนวนมากกองอยู่ตรงหน้า ส่วนมากเป็นหินจิตวิญญาณระดับกลางถึงสูง ซึ่งล้วนมีสีฟ้าอ่อนๆ กับเปลือกหอยหลากสี ส่วนที่เหลือกลับเป็นยันต์และขวดโอสถจำนวนหนึ่ง และยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่สร้างมาจากกระดูกอสูรอยู่หลายชิ้น ทั้งหมดต่างก็มีขนาดแตกต่างกันไป
แต่ที่เตะตาที่สุดในนั้นกลับเป็นไข่อสูรไม่ทราบชื่อที่มีขนาดเท่ากำปั้นใบหนึ่ง พื้นผิวของมันถูกปกคลุมไปด้วยอักขระสีม่วงแดง และแผ่กลิ่นไอกดดันแบบขาดๆ หายๆ ออกมา มองก็รู้ว่ามันไม่ใช่อสูรจิตวิญญาณทั่วไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไป และดูดไข่อสูรสีม่วงมาไว้ในมืออย่างมั่นคง
แต่พริบตาที่นิ้วทั้งห้าสัมผัสกับไข่อสูร ก็พลันมีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ไหมสายฟ้าสีม่วงพุ่งออกจากไข่
แม้จะดูไม่เตะตา แต่มันยังคงทำให้ฝ่ามือของเขารู้สึกชาขึ้นมา
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงทันที
ไข่อสูรนี้เป็นไข่อสูรจิตวิญญาณประเภทสายฟ้า ด้วยเหตุนี้เพียงแค่มันไม่มีพลังแฝงที่ต่ำจนเกินไป มูลค่าของมันคงสูงจนยากจะคาดเดาได้
และเขาเพิ่งก็เห็นสายฟ้าสีม่วงเป็นครั้งแรก
มือทั้งสองของหลิ่วหมิงประคองไข่อสูรสีม่วง สีหน้าเขาดูไม่ดีขึ้นมา
ในขณะเดียวกัน กองกำลังบนอากาศทางด้านที่เผ่าเจ้าสมุทรถอยทัพกลับไป บนรถเหาะประณีตงดงามคันหนึ่งที่มีมัจฉาบินสีเงินเก้าตัวลากอยู่ ชายเผ่าเจ้าสมุทรบุคลิกภูมิฐานสวมเกราะสีฟ้า กำลังกล่าวกับผู้อาวุโสร่างผอมแห้งด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ที่แท้พี่ลี่ก็องอาจห้าวหาญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ครั้งนี้ท่านกล้าบุกเข้ามาในกองกำลังของมนุษย์ และต้องเผชิญกับผู้อาวุโสระดับผลึกสองท่านที่มีการฝึกฝนระดับเดียวกัน หนึ่งในนั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียง จุ๊ๆ! ถ้าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ไม่แน่อาจทำให้ชื่อเสียงของพี่ลี่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยก็ได้”
“สหายอวี๋ ท่านกำลังประชดข้าหรอกหรือ!” เดิมทีผู้อาวุโสร่างผอมแห้งก็มีสีหน้าไม่ดีอยู่แล้ว พอได้ยินนี้ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก
“เฮ่อๆ! ข้าจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร แต่จะว่าไปแล้ว กะอีแค่หลานชายเสียชีวิตไปหนึ่งคน มันทำให้ท่านถึงกับยั้งสติไม่อยู่เชียวหรือ ถึงได้เสี่ยงอันตรายไปจัดการกับอาจารย์จิตวิญญาณแค่คนเดียว ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ หลานชายที่แท้จริงของท่านมีราวๆ สามสิบถึงสี่สิบคน หรือไม่ก็สิบเจ็ดสิบแปดคนขึ้นไป” ชายชุดเกราะสีฟ้าปราดตามองผู้อาวุโสทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ฮึ! เจ้าจะรู้อะไร ลี่ซาไม่เหมือนกับหลานคนอื่นๆ เขาไม่เพียงแต่จะมีเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีโดยกำเนิด แต่ยังมีพรสวรรค์ในการเปลี่ยนรูปแบบสิ่งของด้วย และยังมีพลังไร้ขีดจำกัด เขาเป็นหนึ่งในหลานที่มีโอกาสทะลวงเขตแดนระดับผลึกสำเร็จมากสุด” ดวงตาผู้อาวุโสร่างผอมแห้งค่อยๆ เป็นประกายออกมา แต่ก็กล่าวออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พี่ลี่ไม่ต้องปิดบังข้า ต่อให้ลี่ซาจะเป็นหลานแท้ๆ คนสำคัญของท่าน แต่สำหรับพวกข้าก็แค่ให้ความสำคัญเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามคงไม่ถึงกับต้องให้ข้ากับเจ้าต้องเสี่ยงอันตรายลงมือเองหรอกนะ เจ้าลงมือในครั้งนี้อาจถูกฝั่งมนุษย์โจมตีกลับได้ หากทำลายแผนการใหญ่ที่พวกเราวางไว้ในก่อนหน้า ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้ได้” ชายชุดเกราะสีฟ้าได้ยินก็ตีหน้าขรึมออกมา
“สหายอวี๋ เจ้ากำลังข่มขู่ข้า?” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งได้ยินเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเย็นยะเยือกออกมา
“ไม่อาจกล่าวได้ว่าข่มขู่ แต่ข้าแปลกใจที่พี่ลี่ทำเช่นนี้มาก อย่างที่รู้กันว่า เพื่อแผนการบุกรุกแผ่นดินอวิ๋นชวนในครั้งนี้ พวกเราหลายเผ่าได้เตรียมการมาหลายร้อยปีแล้ว ข้าไม่ยอมให้เรื่องผิดปกติใดๆ ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวอย่างเด็ดขาด แต่ข้าไม่ใช่คนเผ่าเกล็ดเงิน ย่อมไม่อาจควบคุมพี่ลี่ได้ แต่คิดว่าคำพูดที่ผู้อาวุโสของเผ่าท่านพูดคงจะควบคุมท่านได้” ชายสวมเสื้อเกราะสีฟ้าเลิกตีหน้าขรึม และกล่าวอย่างสงบ
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเขียวปัด ขณะเดียวกัน ตาทั้งคู่ของเขาก็จ้องมองชายเสื้อเกราะสีฟ้าพร้อมสะบัดแขนเสื้อกุมมือคารวะ และทำท่าจะเดินจากไปด้วยความโมโหอย่างสุดขีด
แต่ชายเสื้อเกราะสีฟ้ากลับไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่จ้องมองอย่างเฉยเมยโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
“ได้! นับว่าเจ้าชนะ แต่เจ้าฟังเรื่องนี้แล้ว ทางที่ดีควรเก็บไว้ในใจ มิเช่นนั้น ข้าคงต้องขอคำชี้แนะวิชาจากสหายอวี๋แล้ว” ในที่สุดผู้อาวุโสร่างผอมแห้งก็เอ่ยปากออกมา
“พี่ลี่วางใจเถอะ! เพียงแค่เรื่องมันไม่พัวพันถึงแผนการใหญ่ของเรา ข้าย่อมรักษาความลับไว้อย่างแน่นอน” ชายชุดเกราะสีฟ้าได้ยินเช่นนี้ ก็โปรยยิ้มออกมา
ผู้อาวุโสมองจ้องมองรอยยิ้มของสหายด้วยความกลัดกลุ้มใจ ผ่านไปไม่นานถึงได้ค่อยๆ กล่าวออกมา
“บนตัวของหลานคนนี้ มีไข่อสูรพลังอัสนีของเผ่าเกล็ดเงินเราที่อสูรประหลาดได้ไข่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้”
“อะไรนะ! ไข่เทพอสูรของนิกายท่าน! ทั้งยังมีพลังอัสนีอีกด้วย! หรือว่าท่านบ้าไปแล้ว?” พอชายชุดเกราะสีฟ้าที่เดิมทีโปรยยิ้มอยู่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็เกือบจะกระโดดไปด่าผู้อาวุโส
“เจ้าตื่นเต้นอะไรกัน! แม้ว่าจะเป็นไข่เทพอสูรกลายพันธุ์ แต่ก็ไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่กำเนิด โดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถฟักออกมาได้ อย่างมากสุดก็นำมาปรุงโอสถ ที่ข้าให้ลี่ซายืม เพื่อกะจะพึ่งพลังอัสนีที่เกิดจากไข่ใบนี้ดูว่า เขาสามารถควบคุมพลังสายฟ้าได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหรือไม่ แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าโง่นี่จะถูกอาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นของเผ่ามนุษย์ผู้นี้สังหาร แม้แต่ไข่เทพอสูรก็ถูกยึดไปด้วย ข้าจึงต้องเสี่ยงลงมือเพื่อแย่งชิงมันกลับมา” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่แท้ก็เป็นไข่กลายพันธุ์ที่ตายไปแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ มิเช่นนั้นภายหน้าเผ่าของท่านคงมีสิ่งที่มีพลังเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกเพิ่มขึ้นมา แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้เป็นไข่อสูรที่ตายแล้ว มันก็ยังมีค่าเป็นอย่างมาก ถ้าใช้ถูกวิธีล่ะก็ ล้วนมีผลดีต่อผู้ฝึกฝนระดับพวกเรา เจ้าวางใจเถอะ! ข้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น จะต้องช่วยท่านรักษาความลับอย่างแน่นอน แต่ดูจากท่าทีของพี่ลี่แล้วคงไม่ยอมปล่อยเจ้าเด็กนั้นไปอย่างง่ายดาย และต้องนำไข่เทพอสูรกลับมา พอถึงเวลานั้นต้องการให้ข้าช่วยท่านอีกแรงหรือไม่?” ชายชุดเกราะสีฟ้าฟังจบก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง และถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“แค่อาจารย์จิตวิญญาณของเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง สหายคิดว่าข้าต้องอาศัยพลังจากผู้อื่นอีกหรือ?” คิ้วของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งตั้งตรงขึ้นมา และกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ฮ่าๆ! ขออภัยที่ข้าพลั้งปากไป หวังว่าพี่ลี่จะทำสำเร็จ” ชายชุดเกราะสีฟ้าหัวเราะ และกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งอุทาน “ฮึ!” ออกมา และไม่พูดอะไรอีก
……
บ้านหินในเมืองยักษ์ของเผ่ามนุษย์ หลิ่วหมิงวางไข่เทพอสูรสีม่วงลงในกล่องหยกที่เปล่งแสงแวววาว หลังจากปิดฝาแล้ว ก็แปะยันต์ลงไปหลายผืน
จากการตรวจสอบในก่อนหน้า แม้เขาจะไม่สามารถวินัจฉัยได้ว่าเป็นไข่ของเทพอสูรแบบใด แต่กลิ่นไอการมีชีวิตรอดของมันดูอ่อนแอมาก ซึ่งเขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงใช้ยันต์ปิดผนึกไข่เทพอสูรไว้ รอมีโอกาสค่อยหาคนมาตรวจสอบดูว่า มันคุ้มค่าที่เขาจะใช้พลังจำนวนมากช่วยให้มันฟักออกมาหรือไม่
……………………………………….