“หรือว่าศิษย์พี่เซวี่ยล้อข้าเล่น พวกเราแค่ไม่กี่คนจะสามารถทำลายเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทรได้หรือ? ต่อให้พวกเราเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก ก็ไม่อาจคิดฝันเช่นนี้ได้” ชายแซ่อวิ๋นหลุดปากออกมา
“ศิษย์น้องอวิ๋นอย่าได้ตื่นเต้นเกินไป พวกเราไม่ได้ลงมือในตอนนี้ แต่รอศึกใหญ่เริ่มก่อน พอถึงเวลานั้นคนในเมืองลอยน้ำส่วนมากจะถูกพาออกไปทำศึก และพวกเราก็ค่อยลงมือ อีกอย่างพวกเราเป็นเพียงแค่หนึ่งในกลุ่มที่มาท่านั้น พอถึงเวลาจะมีอีกสองกลุ่มลงมือพร้อมกันกับพวกเรา แต่พวกเขาเพียงแค่แสร้งทำการโจมตี พวกเราถึงเป็นกำลังหลักที่แท้จริง” เซวี่ยเฟิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะลองดู” พอชายหนุ่มแซ่อวิ๋นได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
จางซิ่วเหนียงกับหลิ่วหมิงยังคงคิ้วขมวดอยู่ เห็นได้ชัดว่ารับรู้ถึงความยากลำบากของภารกิจนี้
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่า ทำไมผู้อาวุโสระดับผลึกเหล่านั้นถึงเลือกอาจารย์จิตวิญญาณใหม่อย่างพวกเจ้าทั้งสาม มาเป็นกำลังหลักของภารกิจนี้ แม้แต่ข้ากับสหายเซวี่ยเฟิงก็มีหน้าที่คอยช่วยเหลือเท่านั้น แต่พวกเจ้าคงรู้เหตุผลอย่างชัดเจนใช่ไหม สามารถบอกได้หรือไม่” ดวงตาสวยงามของหญิงงามชุดเขียวกลอกกลิ้งไปมาก่อนกล่าว
“เรื่องนี้……” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงท่าทีลังเลออกมา
“สหายโม่!” ชายหนุ่มผมขาวได้เช่นนี้ ก็ตะคอกเสียงต่ำออกมา
“อิอิ! ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ผู้อาวุโสเหล่านั้น จะส่งคนมาผิดได้อย่างไร ส่วนเหตุผลข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้ คิดว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะชัดเจนเอง”
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มแซอวิ๋นรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย
“ศิษย์พี่โม่ ภารกิจของพวกเราคงไม่ใช่แค่การทำลายค่ายง่ายๆ เช่นนี้หรอกนะ ไม่ใช่ว่าข้าน้อยโอ้อวด แต่เป็นเพราะสาเหตุบางอย่าง ถ้าพรุ่งนี้ข้าได้ปรากฏตัวในค่ายของนิกายจันทราสวรรค์ ก็สามารถสำแดงอานุภาพได้ไม่ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสระดับผลึก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงคิดว่า ศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์พี่อวิ๋นก็คงแสดงออกได้พอๆ กัน ซึ่งถ้าเป็นแค่การทำลายค่ายของเผ่าเจ้าสมุทรล่ะก็ มันได้ไม่คุ้มกับเสีย” จางซิ่วเหนียงเอ่ยปากออกมา
“ไม่ผิด! ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน ต่อให้ภารกิจของเราคือการทำลายเมืองลอยน้ำจริงๆ ก็คงมีเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม พวกเราต้องสังหารเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในนั้นทั้งหมด หรือทำลายชั้นจำกัดในนั้น?” หลิ่วหมิงเอ่ยปากด้วยความสงสัย
“ในเมื่อศิษย์น้องทั้งสามเป็นพลังศึกอันสำคัญของนิกาย เป้าหมายย่อมไม่ใช่แค่การเฝ้าดูเผ่าเจ้าสมุทรหรอกนะ ส่วนเรื่องเมืองลอยน้ำนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร เพียงแค่เผ่าเจ้าสมุทรมีกำลังที่เพียงพอ ก็สามารถสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ได้อย่างง่ายดาย ความจริงแล้วเป้าหมายภารกิจของเราในครั้งนี้ คือการทำลายค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่กลางใจเมือง และต้องแย่งชิงอาวุธจิตวิญญาณชิ้นหนึ่งไป” ชายหนุ่มผมขาวกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูหนักแน่นขึ้นมา
“ค่ายกลกับอาวุธจิตวิญญาณอะไรกัน! ทำไมถึงต้องวางแผนมากมายเช่นนี้?” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแล้ว
หลิ่วหมิงก็ฟังด้วยความสงสัย
จางซิ่วเหนียงกระพริบตาราวกับคิดอะไรอยู่
“ข้ากับพี่เซวี่ยเฟิงไม่รู้ว่าค่ายกลนั้นมีชื่อเรียกว่าอย่างไร รู้แค่ว่าค่ายกลนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เผ่าเจ้าสมุทรใช้รวบรวมน้ำทะเลไว้ในแผ่นดินเป็นจำนวนมาก ที่เผ่าเจ้าสมุทรใช้น้ำทะเลโจมตีพวกเราได้ ส่วนมากเป็นเพราะอาศัยค่ายกลกับอานุภาพของอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ มิเช่นนั้นต่อให้เผ่าเจ้าสมุทรจะสามารถเรียกน้ำทะเลมาได้ แต่ก็จะเรียกมาได้ไม่มาก และง่ายดายเหมือนแต่ก่อน และอาวุธจิตวิญญาณที่เป็นดวงตาของค่ายกล เป็นสิ่งที่ไม่อาจใช้สิ่งอื่นมาทดแทนกันได้ ในมือของเผ่าเจ้าสมุทรกลุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ คงจะมีแค่ชิ้นเดียว พอสูญเสียมันไป ก็ไม่อาจหาสิ่งใดทดแทนในระยะเวลาสั้นๆ ได้” หญิงชุดเขียวหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด”
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นได้ยิน ก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา
ในมือเขามีอาวุธจิตวิญญาณระดับต้นแค่สองชิ้นเท่านั้น แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลางก็ไม่มีเลยสักชิ้น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ก่อนซิ่วเหนียงเคยได้ยินอาจารย์อาเย่กล่าวถึงค่ายกลนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ มันสามารถกำจัดกำลังของเผ่าเจ้าสมุทรไปได้เกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว” จางซิ่วเหนียงถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ เผ่าเจ้าสมุทรคงให้ความสำคัญกับค่ายกลกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนี้เป็นพิเศษ แม้กระทั่งอาจมีผู้แข็งแกร่งมาเฝ้าโดยเฉพาะ” พอหลิ่วหมิงได้ยินว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงสุดก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา แต่หลังจากคิดๆ ดูแล้วก็ถามออกไปด้วยความกังวลใจ
“ศิษย์น้องหลิ่วกล่าวได้ถูกต้อง ตามที่พวกเราทราบมา ทุกวันจะมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกมาคอยเฝ้าอยู่ในค่ายกลหลังนี้ แม้ว่าจะมีการต่อสู้กับพวกเราอยู่ก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไป จะมีคนจากอีกสองกลุ่มหลอกล่อเขาไปเอง ภารกิจของพวกเราก็คือรีบทำลายค่ายกลให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ชิงอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้นไป” เซวี่ยเฟิงกล่าวอย่างละเอียด
“หลิ่วหมิงเข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงฟังจบก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกลอกลูกตาไปมา และถามออกไปด้วยความแปลกใจ
“ศิษย์พี่โม่ ศิษย์พี่เซวี่ย พวกท่านรู้หรือไม่ว่าคนอีกสองกลุ่มใช้วิธีการใดหลอกล่อผู้ฝึกฝนระดับผลึกให้ไปจากค่ายกลใหญ่ โดยปกติแล้วเมื่อผู้แข็งแกร่งรับผิดชอบดูแลค่ายกล จะจากค่ายกลไปง่ายๆ ได้อย่างไร คงไม่เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงหรอกนะ!”
“เรื่องนี้พวกข้าทั้งสองไม่ทราบจริงๆ แต่ในเมื่อผู้อาวุโสแต่ละนิกายกำหนดแผนการนี้ไว้แล้ว คิดว่าคงมีความมั่นใจในความสำเร็จถึงสิบส่วน” พอหญิงชุดเขียวได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป และกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นครั้งแรก
“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องเข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกระพริบตาปริบๆ ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเข้าใจจริงๆ หรือแสร้งเข้าใจ แต่เขากลับมืดไปแปดด้าน ไม่รู้ว่าคนอีกสองกลุ่มใช้วิธีการอะไรในการหลอกล่อผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทร
แต่ทั้งหมดนี้จะถูกเปิดเผยในพรุ่งนี้แล้ว และเขาเองก็ขี้เกียจจะคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เวลาต่อมา คนทั้งห้าก็พักผ่อนอยู่ในโพรงแห่งนี้ เพื่อเตรียมการสำหรับศึกใหญ่ในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันที่สอง พอพระอาทิตย์ทอแสง เผ่ามนุษย์กับเผ่าเจ้าสมุทรก็เริ่มการต่อสู้ในศึกใหญ่นี้พร้อมกัน
ทางด้านนิกายต่างๆ ของเผ่ามนุษย์ มีเรือเหาะ รถศึกต่างๆ ทะยานขึ้นฟ้าพร้อมกัน และพากองกำลังมุ่งไปด้านหน้า
แต่เทียบกับหลายครั้งในก่อนหน้า ทางฝั่งเผ่ามนุษย์มีสัตว์ขนาดมหึมาเพิ่มขึ้นมาเจ็ดแปดตัว แต่ละตัวมีขนาดสามสี่ร้อยจั้งขึ้นไป
ที่ดูเตะตามีอยู่ด้วยกันสามตัว ซึ่งมีขนาดใหญ่เกือบพันจั้ง
ยอดเขาสีดำลูกหนึ่ง พื้นผิวของมันมีอักขระสีแดงดำลอยวนอยู่ไม่หยุด
บนกำแพงเมืองไม้ดำแห่งหนึ่ง มีหุ่นมนุษย์อยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนสวมเกราะเหล็ก บางก็ถือขวานสองคม บ้างก็แบกธนู มีทั้งหมดราวๆ เกือบพันตัว
ตำหนักสีแดงหลังหนึ่งมีไอหมอกสีดำพวยพุ่งรอบด้าน ในนั้นมีเงาร่างอสูรอยู่สลัวๆ และยังส่งเสียงคำรามแปลกประหลาดออกมา
นอกจากนี้ ศิษย์ที่เป็นกองกำลังสนับสนุนของนิกายทั้งสาม ก็จัดวางกองกำลังตามติดอยู่หลังนิกายทั้งห้า
และทางด้านเผ่าเจ้ามนุษย์ หลังจากเมฆดำปรากฏออกมาแล้ว พวกเขาต่างก็พุ่งมาตามน้ำทะเลที่ซัดสาด
อสูรสมุทรจำนวนมาก วิหคสมุทรที่ดูไร้ขอบเขต และเผ่าเจ้ามนุษย์หน้าตาโหดเหี้ยมเหยียบย่ำมาตามน้ำ แต่ในนั้นมีปีศาจอสูรขนาดใหญ่จนน่าตกใจอยู่สิบกว่าตน แต่ละตนมีขนาดใหญ่เกินกว่าร้อยจั้ง
นอกจากนี้ยังมีเกาะลอยน้ำที่สร้างจากเปลือกหอยหลากสีอยู่สามเกาะ มันมีขนาดใหญ่เกือบพันหมู่ และพุ่งตามหลังอสูรสมุทรเหล่านี้มา
บนเกาะลอยน้ำ มีกองกำลังเผ่าเจ้าสมุทรที่สวมชุดเกราะยืนอยู่เต็มไปหมด แต่ละคนมีกลิ่นไอหนาแน่น ประจักษ์ชัดว่าเป็นกองกำลังที่เกรียงไกรมาก
แต่เกล็ดบนผิวของเผ่าเจ้าสมุทรที่ยืนอยู่บนเกาะลอยน้ำทั้งสามนั้นแตกต่างกันมาก แบ่งเป็นสีเขียวอ่อน สีแดง และสีเงินจางๆ ซึ่งเป็นเผ่าเกล็ดเขียว เผ่าเกล็ดแดง และเผ่าเกล็ดเงินที่ครอบครองพื้นที่ทะเลบริเวณแผ่นดินอวิ๋นชวนนั่นเอง
ศึกใหญ่ในครั้งนี้ เผ่ามนุษย์กับเผ่าเจ้าสมุทรไม่ได้พุ่งต่อสู้กันทันทีเหมือนในครั้งก่อนๆ แต่กลับหยุดอยู่ห่างกันหลายร้อยจั้ง และสั่งกำชับให้กองกำลังที่อยู่ใต้บัญชาหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม
“ข้าต่งไท่ชิงจากเผ่าเกล็ดเขียว ไม่ทราบว่าสหายเผ่ามนุษย์ตรงหน้า มีผู้ใดเป็นตัวแทนมาพูดคุยได้บ้าง” ผู้อาวุโสที่มีลักษณะน่าเกรงขาม สวมชุดคลุมสีม่วงทะยานขึ้นจากเกาะแห่งหนึ่ง เขาเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวอยู่ระหว่างกองกำลังทั้งสอง และกล่าวกับทางด้านเผ่ามนุษย์ด้วยสีหน้าสงบ
คำพูดนี้ทำให้ทางด้านเผ่ามนุษย์ฮือฮาขึ้นมา แต่ครู่เดียวก็มีเงาร่างลอยออกมาจากเมืองไม้ดำ และกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ที่แท้ก็เป็นสหายต่ง ข้าขอเป็นตัวแทนของสหายท่านอื่นๆ”
คนผู้นี้สวมชุดนักบวชสีขาว ใบหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก นางก็คือเหลิ่งเยวี่ยซือไท่นั่นเอง
“ที่แท้ก็เป็นสหายเหลิ่งเยวี่ย อาการบาดเจ็บของท่านดีขึ้นแล้วหรือ?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงสังเกตดูเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ฮึ! นี่ต้องขอบคุณของขวัญที่เผ่าเจ้าสมุทรมอบให้ แต่โชคดีที่ข้าดวงแข็ง ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ ก็มีประกายตาเยือกเย็นกว่าเดิม
“เฮ่อๆ! เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้ เรื่องนี้เผ่าเกล็ดเงินเป็นคนทำ ด้วยพลังของเผ่าเจ้าสมุทรเรา แค่ไปโจมตีแผ่นดินอวิ๋นชวนโดยตรงก็พอแล้ว ใยต้องใช้วิธีการสกปรกเช่นนี้ด้วยเล่า!” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงหัวเราะและกล่าวออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีเรื่องอะไรที่พวกเราต้องพูดกันอีกเล่า?” พอเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นมา
“ที่ข้ามาปรากฏตัวที่นี่ เพียงแค่อยากให้โอกาสสุดท้ายกับนิกายในแคว้นต้าเสวียน ถ้านิกายทั้งห้าของพวกเจ้ายอมละทิ้งแคว้นต้าเสวียน และถอนตัวไปยังแคว้นใกล้เคียงของเผ่ามนุษย์ล่ะก็ ข้าสัญญาว่าจะให้ศิษย์ของพวกเจ้าจากไปอย่างปลอดภัย มิเช่นนั้นพอศึกนี้เริ่มขึ้น เกรงว่านิกายในแคว้นต้าเสวียนของพวกเจ้าคงต้องถูกทำลายแล้ว” ต่งไท่ชิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ขณะเดียวกันก็กล่าวเสียงต่ำออกมา
“สหายต่งพูดจามาดไม่เบา! ท่านคิดจริงๆ หรือว่าผลลัพธ์ของศึกในครั้งนี้ จะต้องเป็นนิกายในแคว้นต้าเสวียนเราที่ย่อยยับ ไม่คิดหรือว่าอาจเป็นเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามที่ถูกทำลาย?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น
……………………………………….