ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 270 สู้รบขั้นเด็ดขาด (1)

“อืม! ถ้าไม่มีเหตุที่คาดไม่ถึงล่ะก็ ข้ามีความมั่นใจในความสำเร็จแปดถึงเก้าส่วน ดังนั้นข้าถึงพูดว่านี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของนิกายในแคว้นต้าเสวียน ถ้าพวกเจ้ายอมไปจากแคว้นต้าเสวียนล่ะก็ ยังคงสามารถรักษากำลังส่วนใหญ่ไว้ได้ แม้ว่าต้องไปอยู่แคว้นอื่นๆ ก็คิดว่าคงมีที่สำหรับตั้งรากฐาน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

พอเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ ก็ใจเต้นขึ้นมา นางจ้องมองผู้อาวุโสอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว

“ข้าเป็นนิกายในเผ่ามนุษย์ ถ้าไม่สามารถปกป้องผู้คนในแคว้นได้ นิกายทั้งห้าของพวกข้าจะมีหน้าอยู่ในอวิ๋นชวนได้อย่างไร ศึกในครั้งนี้ ถ้านิกายทั้งห้าของพวกข้าไม่ถูกทำลาย ก็เป็นเผ่าทั้งสามของพวกเจ้าที่ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก!”

ผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างอดไม่ได้ ผ่านไปสักครู่ถึงได้ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา

“แม้ข้าจะรู้คำตอบของสหายแต่แรกแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราทั้งสองคงต้องใช้หอกดาบตัดสินว่า แคว้นต้าแสวียนจะตกเป็นของใครแล้วล่ะ”

พอผู้อาวุโสกล่าวจบ ก็ไม่กล่าวอะไรต่ออีกเลย พอสะบัดแขนเสื้อ ร่างของเขาก็ล่องลอยออกไปด้านหลัง

เหลิ่งเยวี่ยซือไท่จ้องมองผู้อาสุโสชุดคลุมสีม่วงจนเขากลับไปถึงค่ายกองกำลังแล้ว นางถึงค่อยหมุนตัวพุ่งกลับไปยังฝั่งมนุษย์

ไม่นาน กองกำลังทั้งสองฝ่ายก็เริ่มเคลื่อนไหว

เสียงกลองทองคำดังมาจากฝั่งมนุษย์ ทันใดนั้นเสียงร่ายคาถาก็ดังขึ้นมาเป็นระลอกๆ ม่านแสงหลากสีปรากฏออกมา ปกคลุมผู้คนทั้งหมดไว้

แตรสัญญาณดังขึ้นจากทางเผ่าเจ้าสมุทร น้ำทะเลโหมกระหน่ำม้วนตัวขึ้นด้านบน และเกาะติดตามตัวเผ่าเจ้าสมุทรแต่ละคน จนกลายเป็นม่านวารีสีฟ้า

ด้วยระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกัน จำนวนชั้นของม่านวารีที่ปกคลุมตัวก็แตกต่างกันไปด้วย

ผู้ที่มีการฝึกฝนระดับต่ำ มีม่านวารีแค่ชั้นสองชั้นเท่านั้น

ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูง กลับมีม่านวารีมากถึงสี่ห้าชั้น ราวกับว่าร่างของพวกเขาถูกแสงวารีสีฟ้าห่อหุ้มไว้

ทางด้านเผ่าเจ้าสมุทรแสดงวิชาออกมาได้รวดเร็วกว่ามนุษย์มาก

พอม่านวารีก่อตัวเป็นเกราะป้องกัน กลุ่มแสงสีฟ้าก็พุ่งออกมาจากพื้นผิวน้ำ และก่อตัวเป็นมือยักษ์สีฟ้าจำนวนมาก จากนั้นก็บดขยี้ไปยังด้านหน้า

ขณะเดียวกันอสูรสมุทรจำนวนมากก็อ้าปากออกมา ทันใดนั้นศรวารีขนาดเล็ก และเสาวารีขนาดใหญ่ก็โจมตีออกไปอย่างบ้าคลั่ง

มีเสียงดังโครมครามตรงหน้าฝั่งมนุษย์ แสงอันรุ่งโรจน์ และไอน้ำจำนวนมากระเบิดตัวเหนือม่านแสง ทำให้เกราะป้องกันนี้สั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด

ม่านแสงที่มีพลังป้องกันอ่อนแอ แตกกระจายออกมาในทันที ศิษย์ที่อยู่ด้านในถูกโจมตีด้วยวิชาต่างๆ

ขณะนั้นเอง ภายใต้การคำรามอย่างโมโหของอาจารย์จิตวิญญาณฝั่งมนุษย์ พลันมีคนฝั่งนิกายจันทราสวรรค์พุ่งขึ้นฟ้าโดยไม่สนใจการโจมตีนี้ และพอพวกเขายกมือพร้อมกัน กระบี่ก็พุ่งออกไปรวมกัน หลังจากก่อเกิดเป็นแสงกระบี่ สายรุ้งอันครั่นคร้ามที่ยาวสิบกว่าจั้งก็พุ่งออกไป มันกระพริบแค่ทีเดียวก็มาถึงกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร และวนเป็นเกลียวอย่างบ้าคลั่ง

ไม่ว่าจะเป็นอสูรสมุทรที่มีเนื้อหนังมังสาอแข็งแกร่ง หรือว่าคนเผ่าเจ้าสมุทรที่สวมเกราะวารีอยู่ พอถูกคลื่นแสงกระบี่สั่นสะเทือน ร่างของพวกเขาก็กลายเป็นสายฝนโลหิตสาดกระจายไปทั่ว

พริบตาเดียวก็มีอสูรสมุทร และเผ่าเจ้าสมุทรเกือบร้อยเสียชีวิตภายใต้แสงกระบี่นี้

“รนหาที่ตาย!”

ผู้แข็งแกร่งบนเกาะแห่งหนึ่งเห็นเช่นนี้ ก็ตะคอกออกมาด้วยความโมโห จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือข้างเดียว

ทันใดนั้น น้ำทะเลด้านล่างก็แยกตัวออก มือยักษ์เกล็ดสีเขียวที่มีขนาดใหญ่หมู่กว่าๆ พุ่งออกมา และคว้าเอาแสงกระบี่ไว้ในมือก่อนที่จะบีบมันจนแตกละเอียด จากนั้นมันก็กลับคืนเป็นกระบินสิบกว่าเล่มร่วงหล่นลงไป

ทันใดนั้นอาจารย์จิตวิญญาณนิกายจันทราสวรรค์สิบคนที่กระตุ้นกระบี่บินอยู่ต่างก็กระอักเลือดออกมา

ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีของเผ่าเจ้าสมุทรในครั้งนี้ ทำให้พวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

ขณะนี้ พลันมีหมอกโลหิตพวยพุ่งรวมตัวกันอยู่เหนือตำหนักสีเลือดของมนุษย์ จากนั้นมันก็ก่อตัวเป็นดาบโลหิตยักษ์ที่ยาวเจ็ดสิบถึงแปดสิบจั้ง และฟันลงด้านหน้า

“ฟู่!”

แสงคมดาบสีเลือดม้วนตัวไปโจมตีกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร

มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังออกมา และพออสูรสมุทรที่อยู่บริเวณนั้นสัมผัสกับหมอกโลหิตเหล่านี้ เนื้อหนังของมันก็ค่อยๆ ละลายออกมา และเสียชีวิตทันที

“วิชาดาบโลหิต! สหายเซวี่ยหลิง เจ้าคิดว่าเผ่าเจ้าสมุทรเราไม่มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกหรือ?”

พอกล่าวจบก็มีเงาร่างสีเงินพุ่งขึ้นจากเกาะบางแห่งของเผ่าเจ้าสมุทร จากนั้นเขาก็ตบฝ่ามือมายังฝั่งมนุษย์หนึ่งที

ทันใดนั้นคลื่นอากาศสั่นสะเทือนขึ้นมา มือยักษ์สีเงินที่ดูราวกับยอดเขาตบลงมาทางเผ่ามนุษย์อย่างโหดเหี้ยม

ขณะเดียวกัน ก็มีกลิ่นไออันแข็งแกร่งพุ่งออกจากยอดเขาดำของเผ่ามนุษย์ พอแสงสีแดงดำม้วนตัว ลำแสงสีแดงก็ถูกพ่นออกมา มันกระพริบแค่ทีเดียว ก็พุ่งใส่เงาร่างของมือยักษ์สีเงิน

“ตู๊ม!”

มือยักษ์สีเงินถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงอันคุโชน จากนั้นก็กระพริบหายไป

“ชื่อหยาง ที่แท้ก็เป็นเจ้า พอดีเลย ศึกในครั้งก่อนข้ากับเจ้ายังสู้กันไม่สมอกสมใจเลย วันนี้จะได้แลกมือกันอีกครั้งแล้ว” ผู้อาวุโสระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยความโมโห

“ฮึ! ถ้าได้ต่อสู้กับสหายหยินเหยียนล่ะก็ ทำไมข้าชื่อหยางจะไม่ตอบรับ ตามข้ามาเถอะ!” มีเสียงเยือกเย็นของผู้ชายดังมาจากยอดเขาดำ จากนั้นแสงเพลิงก็ปรากฏออกมา ลูกแสงกลมๆ สีแดงดำพุ่งออกไปยังขอบฟ้าอีกด้าน

ผู้แข็งแกร่งของเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็กลายร่างเป็นสายรุ้งอันน่าครั่นคร้ามก่อนตามออกไป

“สหายต่ง ถ้าพวกเราทั้งสองฝ่ายไม่อยากให้การแลกมือของเราส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ล่ะก็ ให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ ออกไปจากที่นี่ให้หมด แล้วพวกเราไปแลกมือที่สนามรบอื่นดีไหม?” เสียงเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ดังมาจากเมืองไม้ดำ

“ฮ่าๆ! ข้ากำลังคิดเช่นนี้พอดี” เงาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นจากเกาะบางแห่ง เขาคือผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงที่กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

ภายใต้สถาณการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่ามนุษย์หรือเผ่าเจ้าสมุทร ต่างก็ทะยานขึ้นฟ้าไปติดๆ และกลายป็นแสงต่างๆ ก่อนจะพุ่งไปยังทิศทางบางแห่งที่อยู่ไกลออกไป

พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามจะแอบซ่อนผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ เพื่อฆ่าล้างสังหารในฝั่งนี้ เพราะว่าสนามรบที่พวกเขาเลือกอยู่จากที่นี่ไม่ค่อยไกลมากนัก เพียงแค่ได้รับข่าวก็จะรีบกลับมาทันเวลาพอดี

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างพวกเขาแล้ว ถ้าสามารถก่อกวนหรือสังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกได้คนหนึ่งล่ะก็ จะดูเหนือกว่าการสังหารศิษย์ที่มีการฝึกฝนระดับต่ำในสนามรบหลายเท่ามากนัก

ดังนั้น หลังจากผู้ฝึกฝนระดับผลึกของทั้งสองนิกายจากไปแล้ว ผู้ที่สามารถบัญชาการเผ่ามนุษย์ได้ย่อมเป็นประมุขของแต่ละนิกาย และทางด้านเผ่าเจ้าสมุทรก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายที่เป็นรองแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกนั่นเอง

พริบตาที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของทั้งสองฝ่ายหายไปตรงขอบฟ้า ดูเหมือนว่าทั้งฝ่ายต่างก็ปล่อยท่าไม้ตายออกมา

ทางด้านหุบเขาเก้าช่อง ศิษย์แต่ละคนต่างก็โยนลูกกลมๆ หลากสีออกไป จากนั้นก็มีเสียงกลไกลดังขึ้นก่อนที่มันจะกลายเป็นหุ่นอสูรแบบต่างๆ

มันพุ่งไปยังกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทรอย่างเหี้ยมหาญ

ขณะเดียวกัน หุ่นมนุษย์บนคูเมืองไม้ดำก็มีแสงเปล่งประกายออกมา และค่อยๆ จัดเป็นกองกำลังก่อนทะยานขึ้นฟ้าไปยังด้านหน้า

พวกมันพุ่งไปยังไม่ทันถึงกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร ก็ร่วมมือกับหุ่นอสูรในก่อนหน้านั้นปล่อยลูกศรออกไปจำนวนมาก

มีเสียงดังขึ้นจากเมืองไม้ดำ กำแพงฝั่งที่เผชิญหน้ากับเผ่าเจ้าสมุทรแตกออกเป็นรูดำๆ เป็นจำนวนมาก และท่อน้ำสีเงินขนาดเท่าอ่างน้ำก็ยื่นออกมา

มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น

ลูกอัสนียักษ์จำนวนมากถูกยิงออกจากท่อ และพุ่งไปยังเผ่าเจ้าสมุทร พื้นที่ที่มันตกใส่มีสายฟ้าวนเป็นเกลียว

มีเสียงร้องแปลกประหลาดดังขึ้นท่ามกลางหมอกโลหิตที่อยู่บริเวณตำหนักสีเลือด ค้างคาวยักษ์สีเลือดจำนวนมากบินออกมา

พวกมันแต่ละตัวต่างก็ยาวชุ่นกว่าๆ มีทั้งหมดราวๆ สี่ห้าร้อยตัว พวกมันทั้งฝูงพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม

มีเพียงทางด้านนิกายปีศาจที่นับว่าเคลื่อนไหวช้าสุด แต่หลังจากประมุขนิกายแผดเสียงออกคำสั่ง ศิษย์แต่ละแถวก็ควักยันต์ออกมาแล้วโยนไปในอากาศ จากนั้นก็เริ่มทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง

ยันต์เหล่านี้พลิ้วไหวตามลม และระเบิดตัวออกมามาเป็นไอหยินสีดำปกคลุมไปทั่วฟ้า

พริบตาเดียวกองกำลังของนิกายปีศาจก็จมอยู่ในไอหยิน

แต่ครู่ต่อมา เสียงคำรามที่ทำให้รู้สึกขนลุกก็ดังมาจากไอหยิน ค่ายกลแสงสีเขียวดูแปลกประหลาดปรากฏออกมาจากใจกลางหมอกดำ

“เพล้ง!”

กรงเล็บยักษ์สีดำยื่นออกจากค่ายกลแสง จากนั้นแขนสีดำก็ปรากฏออกมา และปีศาจยักษ์ไร้หัวที่สูงเจ็ดแปดจั้งก็ค่อยๆ ปีนขึ้นมาจากค่ายกลแสง

แม้ปีศาจตนนี้จะไร้หัว แต่บนตัวเต็มไปด้วยเกราะเกล็ดสีดำ ขณะเดียวกันแขนและขาของมันเต็มไปด้วยกระดูกแหลมสีดำ มีแผงขนสีเขียวยาวเรียงอยู่ตรงหลัง

พริบตาที่ปีศาจไร้หัวตนนี้ปรากฏตัว มันก็กางแขนทั้งสองขึ้นฟ้า เสียงคำรามในก่อนหน้าดังออกจากร่างของมัน

ขณะเดียวกัน บนเกาะยักษ์แห่งหนึ่งในเขตพื้นที่ทะเลของแผ่นดินอวิ๋นชวน ตรงกลางค่ายกลที่มีชั้นจำกัดหลายชั้นปิดผนึกอยู่ หัวอัปลักษณ์ที่มีเขาสองเขาค่อยๆ สั่นไหวขึ้นมา ทำให้ค่ายกลเปล่งประกายตามจังหวะการสั่นไหวของมัน

คนเผ่าเจ้าสมุทรหลายคนที่รับผิดชอบควบคุมค่ายกลเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกเขารีบหยิบยันต์หลากสีออกมาเป็นปึกๆ และแปะลงบนหัวปีศาจตนนี้

เมื่อชั้นจำกัดแต่ละชั้นเปล่งแสงออกมา หัวปีศาจก็ค่อยๆ สงบลงอย่างน่าประหลาดใจ

และสนามรบตรงชายแดนแคว้นต้าเสวียน ได้บังเกิดฉากที่สั่นสะเทือนใจขึ้น

ขณะที่ปีศาจยักษ์ส่งเสียงคำรามออกมานั้น ไอหยินรอบด้านก็พวยพุ่งเข้าหามัน พริบตาเดียวก็เกาะตัวเป็นกระบองยักษ์สีดำยาวสิบกว่าจั้ง

“ไป!”

ประมุขนิกายปีศาจที่อยู่บนเรือยักษ์ตรงด้านหลัง ถือป้ายคำสั่งสีดำอยู่อันหนึ่ง พอเขาเห็นฉากนี้ ก็รีบทำท่ามือด้วยมือเดียว และชี้ป้ายไปสั่งปีศาจยักษ์

ปีศาจยักษ์ไร้หัวตนนี้ คือราชาปีศาจของนิกายปีศาจที่หายไปหลายปี ภายใต้การกระตุ้นของป้ายคำสั่ง มันก็ถือกระบองยักษ์สาวเท้าไปด้านหน้าทันที

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset