“เฒ่าลี่ ครั้งนี้เจ้าเจอปัญหาอะไร ถึงได้ปล่อยข้าออกมาอีกครั้ง ข้าจำได้ว่าที่ปล่อยข้าออกมาในครั้งก่อน เป็นเวลาเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว” ในที่สุดมนุษย์เกราะทองคำก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แต่พอกวาดสายตามองดูผู้อาวุโสแซ่ลี่แล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“พูดให้น้อยๆ หน่อย ครั้งนี้คู่ต่อสู้อ่อนแอเป็นอย่างมาก มีระดับการฝึกฝนแค่เขตแดนของเหลวขั้นต้นเท่านั้น แต่ชำนาญวิชาการซ่อนตัวเป็นอย่างยิ่ง คงจะหลบซ่อนอยู่ใต้ดินบางแห่ง ตอนนี้ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ ไม่สามารถปลีกตัวได้ ถึงได้ปล่อยเจ้าออกมา ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม จะต้องหาเจ้าเด็กนั่นให้เจอ และเอาไข่อสูรจิตวิญญาณมาให้ได้” ผู้อาวุโสแซ่ลี่ไม่ได้สนใจคำพูดยั่วยุของมนุษย์เกราะทองคำ เพียงแต่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเท่านั้น
“ได้! เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ย่อมไม่มีปัญหา แต่ตามกฎแล้ว ครั้งนี้เจ้าจะต้องถ่ายทอดพลังเวทย์ให้ข้าสองในสามถึงจะได้” มนุษย์เกราะทองคำกล่าวอย่างไม่ลังเล
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! จัดการแค่ผู้น้อยระดับของเหลวขั้นต้นเพียงคนเดียว ทำไมถึงต้องใช้พลังเวทย์มากถึงเพียงนี้ ข้าให้เจ้าได้มากสุดแค่ครึ่งหนึ่ง เพียงแค่ใช้อย่างระมัดระวัง ก็เพียงพอที่จะใช้ต่อสู้ในระยะเวลาหนึ่งได้” ผู้อาวุโสแซ่ลี่กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เฮ่อๆ! เฒ่าลี่ เจ้าขี้เหนียวขึ้นทุกวันเลยนะ ได้! ครึ่งหนึ่งก็ครึ่งหนึ่ง แต่พอใช้งานข้าในครั้งนี้แล้ว คำสัญญาที่ข้าเคยให้ไว้ก็สำเร็จไปส่วนหนึ่ง และข้าก็อยู่ห่างจากอิสรภาพไม่ไกลแล้ว” มนุษย์เกราะทองคำหัวเราะและตกปากรับคำออกไป
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าตอนนั้นไม่มีข้าก็จะไม่มีเจ้าด้วยเช่นกัน ถ้าเจ้าไปจากข้าจริงๆ ล่ะก็ ใครก็ไม่อาจบอกได้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง” ผู้อาวุโสแซ่ลี้จ้องมองมนุษย์เกราะทองคำและขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็รอเกิดเรื่องขึ้นแล้วค่อยว่ากันเถอะ อย่างน้อยข้าก็คิดว่าความสัมพันธ์ของเราไม่ได้แน่นแฟ้นอย่างที่เจ้าคิด มิเช่นนั้น ในปีนั้นคงไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังจากโลหิตเพื่อควบคุมข้า” มนุษย์เกราะทองคำกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“ฮึ! ถ้ารู้แต่แรกว่ายันต์ผ้าเหลืองที่ปรับแต่งผืนนั้นจะออกมาเป็นสภาพเช่นนี้ ข้าคงทำลายมันตั้งแต่แรกแล้ว และเจ้าเองก็จะไม่ได้ปรากฏออกมาด้วย!” ผู้อาวุโสทำเสียงฮึดฮัดออกมา
“เฒ่าลี่ เจ้านี่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีข้า เจ้าคงต้องร้องขอชีวิตในตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจในสมัยก่อนแล้ว ไหนเลยจะมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ อีกอย่างถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ตอนนี้ข้ากับเจ้าเป็นร่างเดียวกัน ถ้าทำลายข้า เจ้าก็จะสูญเสียพลังไปมาก แม้แต่อายุขัยก็โดนทำลายไปด้วย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าทำเช่นนี้จริงๆ! ในทางกลับกัน หากข้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในตอนแรกเสร็จสิ้นแล้ว แต่เจ้ายังขัดขวางไม่ให้ข้าจากไปล่ะก็ ข้าจะยอมระเบิดตัวไปพร้อมกับเจ้า!” มนุษย์เกราะทองคำเหลือบตามองผู้อาวุโส และกล่าวอย่างไม่พอใจ
“คำสัญญาในตอนนั้นข้าย่อมจำได้ดี เพียงแค่เจ้าช่วยข้าไม่กี่ครั้ง ข้าย่อมคืนอิสระให้กับเจ้า เอาล่ะ! ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องรีบไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะถ่ายทอดพลังเวทย์ให้เจ้าแล้วค่อยว่ากัน” ผู้อาวุโสกล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นก็ทำท่ามืออย่างไม่ลังเล นิ้วมือนิ้วหนึ่งแตะลงตัวมนุษย์เกราะทองคำตรงหน้า
“ฟู่!”
พลังเวทย์พุ่งออกจากปลายนิ้วไปยังร่างของมนุษย์เกราะทองคำอยู่ไม่หยุด
มนุษย์เกราะทองคำยกแขนทั้งสองขึ้นฟ้า กลิ่นไออันน่ากลัวเพิ่มขึ้นโดยฉับพลัน ขณะเดียวกันใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหลงใหล
ในทางกลับกัน กลิ่นไอของผู้อาวุโสแซ่ลี่กลับลดลงไปอย่างมาก ใบหน้าเขาดูซีดขาวขึ้นมา
พอกลิ่นไอบนตัวของมนุษย์เกราะทองคำทะลุถึงระดับของเหลวขั้นปลาย ผู้อาวุโสถึงหยุดการปล่อยพลังเวทย์
“ความรู้สึกนี้แหละ! ความรู้สึกนี้เลย! ฮ่าๆ! น่าเสียดายที่ตอนนี้เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเท่านั้น ถ้ากลายเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในตำนานล่ะก็ พลังเวทย์แค่ครึ่งหนึ่งก็เพียงพอให้ข้าได้สัมผัสถึงความรู้สึกของเขตแดนนี้แล้ว” อักขระสีฟ้าจางๆ ปรากฏขึ้นบนร่างมนุษย์เกราะทองคำ พอเขาวางมือทั้งสองลงก็กุมมือกล่าวออกมา
“ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้? เจ้าก็กล้าพูดเนอะ! เผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามในเขตอวิ๋นชวน ยังไม่มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนเลยแม้แต่คนเดียว เอาล่ะ! ทางนี้มอบให้เจ้าแล้ว เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ข้าจะทิ้งธงค่ายกลทานตะวันวารีชุดนี้ไว้ให้ เพื่อกันไม่ให้เจ้าเด็กนั่นหนีไปได้ จำไว้ให้ดี จะต้องเอาไข่อสูรจิตวิญญาณในมือเจ้าเด็กนั่นมาให้ได้” ผู้อาวุโสแซ่ลี่กล่าวจบก็ไม่คิดจะยืดเยื้ออีกต่อไป เขาสะบัดหางมัจฉาจนกลายสภาพเป็นคนดังเดิม จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีฟ้าทะยานขึ้นฟ้าไป ครู่เดียวก็หายไปตรงขอบฟ้า
“ฮึ! กะอีแค่มนุษย์ระดับของเหลวขั้นต้น ก็ทำให้เจ้าไร้วิธีจัดการแล้ว เฒ่าลี่ ดูท่าเจ้าคงจะแก่แล้วจริงๆ ชาตินี้อย่าหวังได้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้เลย แม้แต่แก่นเสมือนก็ไม่มีหวังหรอก ข้าจะมาแขวนคอตายบนต้นไม้แห้งอย่างเจ้าได้อย่างไร!” มนุษย์เกราะทองคำมองดูเงาร่างที่หายไป และกล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
จากนั้นก็กวาดสายตามองทะเลสาบสีฟ้าที่ลอยอยู่อย่างสงบ และหัวเราะอย่างเยือกเย็น เขาโบกมือข้างหนึ่งไปในอากาศ
“ตู๊ม!”
ทะเลสาบอันกว้างใหญ่ปั่นป่วนขึ้นมาทันที และเป็นสายน้ำพุ่งไปรอบทิศทาง
พริบตาเดียว ตาข่ายยักษ์สีฟ้าอ่อนผืนหนึ่งก็ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดไว้
มนุษย์เกราะทองคำร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองประกบเข้าหากัน พอแยกออกจากกันอีกครั้งแสงสีทองก็ปรากฏออกมา มันหมุนติ้วๆ กลางอากาศ ทันใดนั้นหนามทองคำจำนวนมากพุ่งออกจากในนั้น แต่ละอันมีขนาดยาวไม่เกินชุ่นกว่าๆ และพุ่งยิงลงไปยังพื้นที่ขนาดหมู่กว่าๆ
มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ก่อให้เกิดรู้เล็กๆ บนพื้นเป็นจำนวนมาก
หนามทองคำเหล่านี้ดูแหลมคมเป็นอย่างมาก มันจมลงไปบนพื้นอย่างง่ายดาย และยังหมุนวนไปมาอย่างรวดเร็วราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต มันพุ่งแทงสิ่งของที่ต้องสงสัยในพื้นดินทั้งหมด
ชั่วเวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไป หนามทองคำก็ดูเหมือนจะแทงทะลุทุกพื้นที่ใต้ดินที่ลึกร้อยกว่าจั้ง!
มนุษย์เกราะทองคำเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นมา เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว หนามทองคำทั้งหมดก็พุ่งขึ้นจากพื้นราวกับสายฝนกระหน่ำ และก่อตัวเป็นกลุ่มแสงสีทอง จากนั้นก็มาปรากฏตัวกลางอากาศตรงเขตพื้นที่บริเวณข้างๆ
พอมีเสียงดังขึ้นมา ฉากแบบเดิมได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
กลุ่มแสงสีทองระเบิดตัวออกมา หนามทองคำทั้งหมดพุ่งลงด้านล่างอีกครั้ง มันปกคลุมพื้นที่ขนาดหมู่กว่าๆ ไว้
และพื้นที่ใต้ดินที่อยู่ห่างที่จากที่นี่ไปสองร้อยจั้ง หลิ่วหมิงยังคงหลับตาสนิทอยู่ในม่านวารีที่อยู่ในลำธาร ประจักษ์ชัดว่าไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเลย และก็ไม่รู้ว่าตนเองจะถูกค้นพบในเวลาไม่นาน
ขณะเดียวกัน ตรงสนามรบระหว่างมนุษย์กับเผ่าเจ้าสมุทร การสู้รบของทั้งสองก็มาถึงจุดสิ้นสุด
แม้ว่าหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ จะไม่สามารถแย่งอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนั้นมาได้ แต่ก็ทำลายลานค่ายกลที่ใช้เป็นตาค่ายกลแห่งนั้นแล้ว แม้ว่าในตอนหลังค่ายกลนี้จะถูกเผ่าเจ้าสมุทรในเมืองลอยน้ำฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ แต่ยังคงทำให้พลังของเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในสนามรบลดลงไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในระหว่างเวลานี้ทำให้มีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าหลังจากฟื้นฟูค่ายกลแล้ว พลังของเผ่าเจ้าสมุทรจะเพิ่มมากขึ้น แต่มันก็กินเวลามานาน ทำให้ตกเป็นเบี้ยล่างในตอนท้าย
แต่ในทางตรงกันข้าม บนสนามรบอีกแห่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยกว่าจั้ง ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเผ่ามนุษย์ก็มีทีท่าไม่ดีขึ้นมา
มีเสียงดังโครมครามติดต่อกันอยู่ไม่หยุด แสงลูกกลมๆ หลากสีขนาดใหญ่ระเบิดออกมาติดต่อกัน ขณะเดียวกันปราณกระบี่ และแสงดาบก็พุ่งบินเต็มฟ้า คลื่นเมฆอัคคีพุ่งขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเงาร่างคนเคลื่อนไหวกลางอากาศอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวเปรียบเสมือนเปลวไฟ และโจมตีใส่กันด้วยเสียงที่ดังสะเทือนเลือนลั่น
แม้ว่าที่นี่จะต่อสู้กันอย่างดุเดือดเป็นพิเศษ แต่ก็เห็นสภาพการณ์ได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าทางด้านมนุษย์จะมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกของนิกายหยวนหมัว และอีกสองนิกายเข้าช่วย และมีจำนวนคนเท่ากับทางฝั่งเจ้าสมุทร แต่พอเผ่าเจ้าสมุทรใช้อาวุธลับหลากหลายชิ้น บวกกับครั้งก่อนที่ทางผู้ฝึกฝนระดับผลึกเผ่ามนุษย์เปิดเผยสมบัติของตนเอง ทำให้เผ่าเจ้าสมุทรใช้อาวุธควบคุมไว้ได้ ด้วยเหตุนี้สถานการณ์ทางฝั่งมนุษย์จึงแย่ลง
แต่เย่เทียนเหมยกลับใช้กระบี่บินสีเงินตรึงเผ่าเจ้าสมุทรระดับผลึกที่กลายร่างเป็นมนุษย์ครึ่งมัจฉาสามคนไว้ ด้วยเหตุนี้ฝั่งมนุษย์ถึงพอประคับประคองไว้ได้
……
พื้นที่ลุ่มต่ำที่ปกคลุมไปด้วยเศษหิน ซึ่งอยู่ห่างสนามรบทั้งสองพันกว่าลี้ หญิงสาวชุดหลากสีที่เคยโจมตีพวกหลิ่วหมิงในเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทร กำลังยืนอยู่บนหินสีดำก้อนหนึ่ง นางแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่
ห่างจากหลังของนางไปหลายจั้ง มีฟองอากาศแวววาวขนาดเท่าหน้าโต๊ะลอยอยู่บนอากาศ เงาร่างอรชรลอยอยู่ในนั้นอย่างเงียบๆ ดูจากใบหน้างดงามแล้ว นางก็คือจางซิ่วเหนียงนั่นเอง
แต่ตอนนี้ตาทั้งคู่ของนางหลับสนิท ดูเหมือนว่าจะยังสลบไสลอยู่
บนศีรษะของหญิงสาวชุดหลากสีกับอากาศบริเวณรอบๆ มีไอหมอกสีขาวเป็นเส้นๆ ลอยไปมา มันดูเล็กละเอียดและธรรมดามาก แต่ด้วยความที่มันมีจำนวนมาก จึงดูเหมือนว่าจะโอบล้อมนางไว้ในนั้น
“สหายผู้ใดล้อเล่นกับข้ากันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะใช้ค่ายกลลี้ลับปิดล้อมข้าไว้ ข้าน้อยหมดความอดทนไปมากแล้ว ถ้ายังไม่ยอมปรากฏตัวล่ะก็ อย่าหาว่าข้าทำลายค่ายกลก็แล้วกัน” ชายหญิงชุดหลากสีกล่าวออกมา
“สหายใยต้องโมโหด้วยเล่า! ที่ข้าวางค่ายกลก็พื่อให้สหายอยู่ที่นี่สักพักเท่านั้น พอถึงเวลาข้าจะปล่อยสหายไปเอง!” น้ำเสียงราบเรียบของผู้ชายดังมาจากด้านนอก แต่เสียงนี้เคลื่อนไหวไปมาจนไม่อาจหาตำแหน่งที่แน่นอนได้
“ท่านคือสหายหยวนหมัวหรือ!” พอได้ยินเสียงของชายผู้นี้ หญิงสาวชุดหลากสีก็หรี่ตากล่าวออกมา
……………………………………….