ผ่านการคิดไตร่ตรองมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็หารับวิธีรับมือกับฟองอากาศลึกลับได้ชั่วคราวแล้ว
วิธีแรกคือ เลียนแบบเหตุการณ์ครั้งนี้ที่โชคดีรอดมาได้ หวังว่าจะสามารถยืมพลังปราณหยินของแมงป่องกระดูกขาวมาใช้รับมือได้
แต่วิธีการนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าหากพลาดท่าตนเองอาจกลายเป็นปีศาจได้
และถึงแม้เขาจะยอมเสี่ยงอันตรายทำเช่นนี้ แต่ในนั้นก็มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากไปหน่อย
ยกตัวอย่างเช่น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเวลาที่ฟองอากาศระเบิดบริเวณนั้นจะมีปราณหยินอยู่จำนวนมากพอดี มิเช่นนั้นอาศัยแค่ปราณหยินเพียงเล็กน้อยในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนั้นคงไม่พอใช้อย่างแน่นอน
ประการต่อมา เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าครั้งหน้าแมงป่องกระดูกขาวจะระเบิดหน้าปีศาจแปลกประหลาดนั้น มาดูดปราณหยินและส่งให้เขาอย่างราบรื่น…
ตัวอย่างทั้งหมดนี้ทำให้หลิ่วหมิงแค่คิดไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วก็ตัดสินใจเก็บวิธีการนี้ไว้ใช้ในยามที่ไม่มีทางเลือกเท่านั้น
เขาผ่านการคิดไตร่ตรองไปมาหลายรอบ จนคิดว่าวิธีการที่เชื่อถือได้มากที่สุดคือการทำทุกวิถีทางเพื่อยกระดับการฝึกฝนของตนเอง
ทุกครั้งที่เลื่อนระดับการฝึกฝนขึ้น ก็สามารถทำให้พลังเวทย์ของตนเองเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ถ้าหากครั้งหน้าก่อนที่เจ้าฟองอากาศระเบิดขึ้น เขาสามารถก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ล่ะก็ พลังเวทย์คงจะเพียงพอให้มันกลืนกินในครั้งต่อไปแล้ว
และเพียงแค่มีพลังเวทย์ที่เพียงพอให้เจ้าฟองอากาศกลืนกิน มันก็ไม่ต้องดูดเอาพลังชีวิตเขาแล้ว ทั้งยังทำให้เขาได้ไปห้องว่างเปล่าลึกลับนั่น เช่นนี้แล้วเขาจะมีเวลาในการฝึกเคล็ดวิชาต่างๆ เป็นจำนวนมาก
แต่การจะเลื่อนขั้นไปสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ถึงแม้ครั้งนี้เขาจะได้รับความโชคดีจากความโชคร้ายจนทำให้พลังเวทย์บริสุทธิ์อีกครั้ง แต่คิดที่จะเลื่อนเข้าสู่ขั้นปลายของศิษย์จิตวิญญาณนั้นเกรงว่าจะต้องใช้เวลาเกือบสองปี
และจากระยะของเวลาที่มันระเบิดทั้งสองครั้งแล้วเหมือนจะยังไม่ถึงครึ่งปี ถ้าใช้เวลาในการยกระดับนานขนาดนี้คงจะไม่ทันการ
ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เขาคงมีแค่วิธีการเพิ่มพลังเวทย์ด้วยโอสถแล้วล่ะ
ถึงแม้พลังเวทย์ที่รับมาจากพลังภายนอกส่วนมากจะไม่ค่อยมั่นคง อาจส่งผลกระทบต่อการก้าวสู่ขั้นที่สูงในภายภาคหน้า แต่เจ้าฟองอากาศนี้มันสามารถทำให้พลังเวทย์บริสุทธิ์ได้ เรื่องนี้จึงไม่ต้องกังวลใจมากนัก
ดังนั้นปัญหาหนึ่งเดียวในตอนนี้คือจะหาโอสถเพิ่มพลังเวทย์ได้อย่างไร
แค่ใช้แต้มคุณูปการแลกคงไม่พออย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นแลกจากนิกายแค่ครั้งสองครั้งคงไม่เป็นไร แต่ถ้าบ่อยๆ ล่ะก็ คงจะดูเตะตาจนเกินไปจนอาจจะนำความยุ่งยากมาให้ได้
ถ้าเช่นนี้ล่ะก็ คงเหลือแค่ไปซื้อโอสถจากนอกนิกายกับเรียนวิชาปรุงโอสถเองด้วยตนเองแล้ว
ทั้งสองวิธีนี้ วิธีแรกเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้น แต่วิธีที่สองกลับเป็นการวางแผนแก้ปัญหาในระยะยาว
พอหลิ่วหมิงนึกขึ้นมาได้ว่าวิธีการแรกต้องใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมาก วิธีการหลังต้องเรียนอย่างยากลำบาก เขาก็แสยะปากอย่างอดไม่ได้
โดยเฉพาะวิธีการหลัง ด้วยผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่มีน้อยถึงแม้อยากจะเรียนก็คงไม่สามารถเรียนได้
แต่เรื่องมันเกี่ยวพันถึงชีวิต ถึงแม้จะลำบากอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขาก็จำเป็นต้องดันทุรังเรียนให้ได้
หลิ่วหมิงคิดได้แบบนี้ก็ไม่อยู่ในห้องเพื่อฝึกฝนต่อแล้ว แต่กลับเหาะไปบนยอดเขาเก้าทารกแทน
สำหรับเขาในตอนนี้ วิธีที่จะได้หินจิตวิญญาณมาเร็วที่สุดก็คือทำภารกิจของนิกายนั่นเอง
แต่ก่อนหน้านั้นเขาคิดที่จะเรียนวิชาใหม่สองสามวิชา จากนั้นหลอมสร้างโซ่ตรวนวิญญาณที่คุณภาพดีหน่อย
หากคิดที่จะหาหินจิตวิญญาณมาให้ได้มากๆ ก็ต้องรับภารกิจที่อันตรายหน่อย ดังนั้นต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงไปจากยอดเขาแล้วเขาได้นำคัมภีร์โบราณ “วิชาใยแมงมุม” “วิชาแท่งวารี” “วิชาเลนทราย” กลับมาด้วย
แต่เขาก็ไม่ได้กลับไปที่พักในตอนนี้เลย แต่กลับเหาะไปยังยอดเขาหลักของนิกาย
หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็มาอยู่กลางหอใหญ่สีดำมืดครึ้ม และยืนอยู่หน้าค่ายกลสีเงินที่อยู่กลางโถง รับป้ายชื่อที่เพิ่งยื่นให้ชายรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่งกลับคืนมา
“จำให้ดี เจ้าค่ายแต้มคุณูปการมาแค่ยี่สิบแต้ม และก็อยู่ในบ่อวิญญาณได้แค่สี่ชั่วยามเท่านั้น ถ้าเลยเวลาแล้วยังไม่ออกมาล่ะก็จะเพิ่มค่าใช้จ่ายขึ้นอีกเท่าตัว” ชายร่างผอมสูงกล่าวอย่างเย็นชา แล้วนำป้ายหัวปีศาจแกว่งไปทางค่ายกล
พลันมีเสียงจากค่ายกลดังขึ้นมา ไอสีดำหลายสายพุ่งออกมาจากในนั้น
หลิ่วหมิงก้าวยาวๆ เข้าไปในนั้น โดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
อักขระรอบค่ายกลปรากฏขึ้น หลังจากที่ค่ายกลสั่นไหวร่างของเขาก็หายไป
ครู่ต่อมา หลังจากที่หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้น ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่
ถ้ำมีขนาดประมาณร้อยหมู่ ตรงกลางมีบ่อน้ำสีดำเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้ง มีไอสีดำลอยออกมาอยู่ตลอด
หลิ่วหมิงหายใจเข้าเบาๆ พลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคยในอากาศ
เขาก้าวเท้าสองสามก้าวไปยังบ่อวิญญาณโดยไม่ลังเล สายตากวาดมองไปยังบ่อน้ำสีดำราวกับหมึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบก้อนหินสีดำขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากตัว และใช้ไหมเส้นเล็กแวววาวพันจนแน่น แล้วปล่อยมันลงไปในบ่อ ตนเองจับห่วงเหล็กที่มีปลายอีกด้านของเส้นไหมเล็กๆ พันอยู่ แล้วนั่งขัดสมาธิลงไปอย่างเงียบๆ
……
หลายชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงปรากฏตัวกลางค่ายกลสีเทาอีกครั้งด้วยสีหน้าพอใจ พอออกจากหอใหญ่ก็พุ่งตรงกลับที่พักทันที
เจ็ดวันผ่านไป ตอนที่เขาจากที่พักไปนั้น ไม่เพียงแต่จะยึดกุมการใช้วิชาใหม่สองสามวิชานั้นได้แล้ว โซ่ตรวนวิญญาณตรงแขนเสื้อก็เปลี่ยนเป็นเส้นใหม่ที่ขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเท่าตัว และเปล่งประกายแสงสีดำยิ่งกว่าเดิม
เขาขี่เมฆตรงไปยังหอดำเนินการ ยืนอยู่หน้าป้ายผลึกใสที่ประกาศภารกิจครู่หนึ่งแล้วก็ไปที่แท่นโต๊ะหินรับภารกิจของนิกายสามภารกิจในทีเดียว ภารกิจสามอย่างนี้เป็นภารกิจที่มีหินจิตวิญญาณให้มากที่สุด จากนั้นก็จากไปทำภารกิจคนเดียว
ครึ่งเดือนต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงหอดำเนินการด้วยสีหน้าอ่อนเปลี้ยเพลียแรงนั้น ภารกิจทั้งสามของเขาต่างก็สำเร็จทุกภารกิจ และรับรางวัลเป็นแต้มคุณูปการหลายสิบแต้มกับหินจิตวิญญาณหลายร้อยก้อนพร้อมกันในทีเดียว
เรื่องนี้ก่อเกิดความวุ่นวายในบรรดาศิษย์ต่างๆ ที่อยู่ในที่นั้น
หลิ่วหมิงกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่กลับกลับไปที่พักนอนยาวสองวันสองคืน แล้วมาปรากฏตัวที่หอดำเนินการอีกครั้งด้วยพลังจิตใจที่เอิ่มเอิบเต็มเปี่ยม เขารับภารกิจทีเดียวหลายภารกิจที่ให้ค่าตอบแทนสูงเหมือนเดิม แล้วก็เหาะไปจากนิกายอีกครั้ง
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เวลาในแต่ละวันค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าเดือนแล้ว
ในระหว่างนี้ หลิ่วหมิงเกือบจะละทิ้งการฝึกฝนไปจนหมดสิ้น และด้วยผลลัพธ์อันน่าทึ่งของการกวาดภารกิจยากๆ หลายอย่างบนป้ายผลึกใส ทำให้เขาสะสมแต้มคุณูปการและหินจิตวิญญาณได้มากขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ พริบตาเดียวก็สะสมแต้มคุณูปการได้เกือบเจ็ดถึงแปดร้อยแต้ม กับหินจิตวิญญาณสามพันกว่าก้อนแล้ว
ในการทำภารกิจนั้น ถึงแม้ว่าจะเจอกับอันตรายอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็โชคดีรอดมาได้ทุกครั้ง
และแมงป่องกระดูกขาวกับวิชาคมวายุที่เขาฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบนั้น เป็นสิ่งที่ช่วยให้เขารักษาชีวิตไว้ได้
ช่วงนี้หลิ่วหมิงไม่ได้ร่วมมือทำภารกิจกับใคร เขาทำภารกิจเหล่านี้สำเร็จด้วยมาเองตลอด ด้วยเหตุนี้นอกจากเจียหลานที่รู้ว่าเขามีปีศาจระดับขุนพลตนหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ ถึงแม้จะตกใจกับภารกิจที่เขาทำได้สำเร็จอย่างรวดเร็วจนน่าตะลึง แต่ก็ไม่รู้ว่าพลังที่แท้จริงของเขานั้นเป็นอย่างไร
แน่นอนว่าคนจำนวนมาก กลับมองด้วยสายตาที่ดูตลกและให้ฉายาใหม่เขาว่า “คนบ้าภารกิจ”
ในสายตาของพวกเขามองว่า ศิษย์ใหม่ผู้หนึ่งที่ไม่ตั้งใจฝึกฝนให้ดีๆ แต่กลับใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำภารกิจ ละทิ้งพื้นฐานที่จำเป็นอย่างโง่เขลา
หลิ่วหมิงไม่สนใจทั้งหมดเหล่านี้ นอกจากนำแต้มคุณูปการส่วนมากไปแลกโอสถเพิ่มพลังเวทย์มาทาน เพื่อชดเชยที่หลายวันมานี้ไม่ได้ฝึกฝนแล้ว หินจิตวิญญาณอื่นๆ นั้นยังไม่เคยใช้สักครั้ง
แต่วันนี้ หลิ่วหมิงไม่ได้ไปทำภารกิจต่อ และพอออกจากที่พักก็เหาะตรงไปยังประตูใหญ่นอกนิกาย
ผ่านไปชั่วครู่ เมื่อเขาร่อนลงบนเขาลูกเล็กลูกหนึ่งอย่างเงียบๆ ที่นั่นมีศิษย์หญิงสิบกว่าคนรออยู่ก่อนแล้ว
ในนั้นส่วนมากเป็นศิษย์ใหม่ที่อายุยังไม่เต็มยี่สิบปีบริบูรณ์ บ้างก็แอบกระซิบเบาๆ บ้างก็มองไปรอบด้านด้วยความตื่นเต้น และชายหญิงคู่หนึ่งในนั้นทำให้หลิ่วหมิงต้องเขม้นตามอง
พวกเขาก็คือเหลยเจิ้นกับหญิงสาวรูปร่างอรชรที่เป็นศิษย์สาขากลลับสวรรค์ด้วยกันผู้นั้น
ทั้งสองคนนี้กำลังพูดคุยกันอยู่เบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจต่อการมาของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้กล่าวทักทายอะไรขึ้นมาก่อน แต่กลับเดินไปยืนรออีกด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ
ผ่านไปสักครู่ พลันมีเสียงดังแจ่มชัดมาจากท้องฟ้าไกลๆ จากนั้นอินทรียักษ์สีดำตัวหนึ่งก็บินเข้ามา ครู่เดียวก็มาอยู่เหนือบนยอดเขาแล้ว
พอนกอินทรียยักษ์สีดำหุบปีกก็มีกลิ่นเหม็นคาวโชยมาบนเขา และหญิงสองคนสวมชุดสีน้ำเงินกับสีเขียวกระโดดลงมาจากหลังของมัน
“เอ๋! ทำไมไม่เป็นอาจารย์อาจาง…นั่นไม่ใช่ศิษย์พี่เฉียนที่มีชื่ออันดับห้าบนแผ่นศิลาจันทราหรอกหรือ!” พอผู้คนบนยอดเขาเห็นใบหน้าของหญิงสาวทั้งสองชัดเจนแล้ว ก็พลันเกิดความวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง คนจำนวนไม่น้อยต่างก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แต่ก็มีศิษย์นิกายปีศาจบางคนที่มีอายุมากหน่อยที่พอจำหญิงสาวชุดน้ำเงินได้ก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นกว่าเดิม
พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘แผ่นศิลาจันทรา’ ก็มองไปยังหญิงสาวทั้งสองด้วยความตกตะลึง
เขาเห็นหญิงชุดน้ำเงินที่อายุมากหน่อยมีรูปร่างสูงสะโอดสะอง หน้ารูปไข่ นางดูงดงามมาก มีกระบี่เล่มยาวสะพายอยู่ที่หลัง และหญิงสาวชุดเขียวดูเหมือนจะมีอายุสิบหกถึงสิบเจ็ดปี ใบหน้ารูปตุ๊กตา ผูกผมเปียเล็กๆ เต็มศีรษะ ประจักษ์ชัดว่าน่ารักเป็นอย่างมาก แต่ในมือกลับถือห่อสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ดูเหมือนจะหนักมาก
“อาจารย์อาจางมีธุระสำคัญกระทันหันไม่สามารถนำไปในครั้งนี้ได้ ทางนิกายมอบภารกิจในการนำกลุ่มไปตลาดเว่ยโจวให้ข้าแล้ว ทุกคนต่างก็ชำระแต้มคุณูปการที่หอดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงได้มาร่วมกลุ่มนี้ถ้าหากว่าตอนนี้อยากถอนตัวล่ะก็ยังสามารถคืนแต้มคุณูปการได้ครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าหากไม่มีล่ะก็พวกเราก็ออกเดินทางได้แล้ว” หญิงเสื้อน้ำเงินกวาดสายมองผู้คนบนเขาครู่หนึ่งแล้วกล่าวเรียบๆ ถึงแม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ประจักษ์ชัดว่าผู้นี้ก็คือ ‘ศิษย์พี่เฉียน’ ผู้นั้นนั่นเอง
ผู้คนต่างชำเลืองมองกันสักพักหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีใครก้าวออกมาจริงๆ
“ในเมื่อไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางกันเลย ชุ่ยเอ๋อร์ เจ้าปล่อยเรือสายหมอกออกมาเถอะ!”
“ได้เลยศิษย์พี่”
พอดรุณีน้อยชุดเขียวด้านข้างได้ยินก็รีบตอบรับอย่างเสียงดังฟังชัด แล้วนำห่อของวางไว้บนพื้น แล้วหยิบม้วนสีเหลืองอ่อนออกมา พอเปิดมันออกก็วางลงบนพื้นราบเรียบ
หลิ่วหมิงจ้องมองออกไป เขาเห็นม้วนสีเหลืองนั้นมีรูปวาดเรือยักษ์สีเหลืองจางๆ อยู่ลำหนึ่ง รอบด้านมีไอหมอกหนาทึบเต็มไปหมด ทำให้เขามองเห็นไม่ชัดเจน
……………………………………….