“สามี? ตั้งแต่ที่เขาเลือกมอบข้าให้กับเจ้าโจรชั่วนั่น ข้าก็ไม่มีสามีอีกแล้ว แม้ข้าจะไม่โทษเขา แต่ก็ไม่อาจให้อภัยเขาได้ ถ้าสามารถชำระแค้นแห่งเลือดนี้ได้ ข้าจะหันหน้าเข้าหาพระธรรม และไม่ขออะไรอีก” จางยาตอบด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ผ่านไปซักพักก็ถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
“ในเมื่อน้องจางตัดสินใจแล้ว ข้าย่อมไม่ไม่หวงความสามารถอันเล็กน้อยนี้ เจ้าไปกับข้าเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง
“ไปที่ใดกัน?”
“เฮ่อๆ! ย่อมเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครมารบกวน ซึ่งทำให้เจ้าได้ฝึกฝนอย่างเต็มที่”
……
สามปีต่อมา ในหุบเขาที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง หญิงใบหน้างดงามสวมชุดคลุมยาวสีเขียว กำลังรำกระบี่ยาวและสั้นอยู่บนพื้นราบเรียบ ขณะเดียวกัน มันก็กลายเป็นแสงเย็นสะท้านห่อหุ้มร่างของนางไว้
ทันทีที่นางกระโดดตัวขึ้นพร้อมกับสะบัดข้อมือ แสงเย็นสะท้านสองกลุ่มก็พุ่งยิงออกไป
“โครม!” “โครม!”
ใบมีดแหลมคมปรากฏอยู่บนต้นสนที่ห่างออกไปหลายจั้ง และจมลึกลงในเนื้อไม้ครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าพลังของมันรุนแรงมาก
“ดีมาก! กระบี่หลุดมือของเจ้าเก่งกว่าข้าแล้ว หากจู่โจมโดยฉับพลัน เชื่อว่าคงมีไม่กี่คนบนโลกที่สามารถหลบมันได้” เสียงปรบมือดังมาจากด้านข้าง ไม่รู้ว่าชายหนุ่มชุดคลุมหนังโผล่มาบริเวณลานกว้างตั้งแต่เมื่อไหร่ และกล่าวกับนางด้วยรอยยิ้ม
“พี่หลิ่ว นี่เป็นผลจากการที่ท่านตั้งใจสอนข้า อีกอย่างความสามารถอันน้อยนิดของข้า ไหนเลยจะเป็นอย่างที่ท่านพูด ข้ารู้แก่ใจดีว่า หากข้าลงมือกับท่าน คงไม่อาจรับมือได้ถึงสิบกระบวนท่า”
หญิงผู้นี้ก็คือจางยานั่นเอง แต่เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้นางมีน้ำมีนวลกว่าสามปีก่อนเล็กน้อย รูปร่างก็อรชรอ่อนแอ้นมากกว่าเดิม แลดูไม่เหมือนหญิงที่แต่งงานแล้ว
“เมื่อครู่ข้าไม่ได้พูดเกินเลย เจ้าไม่เห็นหรือว่า ขณะที่เจ้าฝึกฝนกระบี่ เห็นได้ชัดว่าใช้อาวุธได้คล่องมือมากขึ้น?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย! หลายปีมานี้ พี่หลิ่วก็ถ่ายทอดวิชาอื่นๆ ให้กับข้า แต่ข้ากลับฝึกฝนกระบี่ได้อย่างง่ายดาย ราวกับเคยฝึกฝนมันมาก่อน” จางยาได้ยินก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็ฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีพรสวรรค์ด้านกระบี่จริงๆ ไม่แน่ชาติก่อนเจ้าอาจเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ก็ได้” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
“พี่หลิ่ว ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว เอาล่ะ! ท่านคิดว่าความสามารถของข้าในตอนนี้ สามารถฆ่าเจ้าโจรชั่วนั่นได้หรือยัง?” หญิงสาวส่ายศีรษะ และกล่าวด้วยความเคียดแค้น
“จากความสามารถของเจ้าในตอนนี้ หากประลองแบบซึ่งๆ หน้าล่ะก็ ฝีมือคงพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ถ้าใช้กระบี่หลุดมือในเมื่อครู่แอบโจมตีล่ะก็ กลับมีโอกาสในการทำสำเร็จไม่ใช่น้อย” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็เงียบไปซักพักก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อพี่หลิ่วพูดเช่นนี้ มันย่อมเป็นไปตามนั้น พรุ่งนี้ข้าจะไปข้างนอก เพื่อตามหาเจ้าโจรชั่วนั่น” จางยากล่าว
”พรุ่งนี้! มันไม่รีบร้อนไปหน่อยหรือ!” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา
“พี่หลิ่วก็รู้ว่าสามปีมานี้ แต่ละวันยาวนานราวกับหนึ่งปี ทุกคืนที่หลับตาลงก็จะคิดถึงลูกของข้าที่จากไป ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้แล้ว” จางยากล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“ข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่รั้งเจ้าไว้ เจ้าพักที่นี่อีกสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเถอะ!” หลิ่วหมิงค่อยๆ พยักหน้ากล่าวออกมา
ช่วงกลางดึก หญิงสาวตั้งใจทำกับข้าวอย่างดี และเตรียมสุราไว้จำนวนหนึ่ง นางบอกว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณหลิ่วหมิงในตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา
ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของหญิงสาว ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงดื่มไปกี่แก้ว และหลังจากกลับไปห้องของตนเองไม่นาน ก็หลับสนิทอยู่บนเตียง
คืนนี้ชายหนุ่มฝันหวานเป็นพิเศษ
ในฝัน มีเงาร่างพร่ามัวของหญิงสาวขึ้นมาบนเตียง และถอดเสื้อผ้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นางใช้เรือนร่างนุ่มลื่นราวกับแพรต่วนกอดเขาไว้ และผ่านค่ำคืนอันซาบซ่านใจไปกับเขา
เช้าวันที่สอง เมื่อหลิ่วหมิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดศีรษะ นอกจากจะมีกลิ่นไอจากเรือนร่างอันหอมหวนที่คุ้นเคยของหญิงสาวหลงเหลืออยู่บนเตียงแล้ว ก็ไม่มีใครอีก
และตรงหัวเตียง กลับมีกระดาษที่เปื้อนคราบหยดน้ำตาอยู่แผ่นหนึ่ง
เขารีบนำกระดาษมาอ่าน และยิ้มอย่างขมขื่น
……
สามเดือนต่อมา ร้านน้ำชาตรงบริเวณถนนหลวงสายหนึ่ง มีนักเดินทางจำนวนมากแวะพักจิบชาอยู่ในนั้น สี่คนในนั้นเป็นชายฉกรรจ์ที่มีพลังแข็งแกร่ง ทั้งยังพกดาบและกระบี่ ราวกับว่าเป็นคนที่ท่องยุทธภพ
นอกจากนี้ ยังมีพ่อค้าหาบเร่สองคน กับยายเฒ่าผมขาวเต็มศีรษะนั่งอยู่ที่โต๊ะคนละตัว แต่พวกเขาต่างก็จิบชาอย่างเงียบๆ โดยไม่กล้ามองไปทางชายฉกรรจ์เหล่านั้นเลย
แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าของม้าดังมาจากที่ไกลๆ
ม้าพันธุ์ดีตัวหนึ่งที่มีเหงื่อท่วมตัวห้อตะบึงเข้ามา ครู่เดียวก็มาถึงหน้าโรงน้ำชา และถูกผู้ขี่ดึงสายบังเหียนบังคับให้มันหยุดลง
บนนั้นเป็นชายหนุ่มอัปลักษณ์สวมชุดคลุมสีดำ พอเขากวาดสายตามองดูในโรงน้ำชาแล้ว ก็กระโดดลงม้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และก้าวยาวๆ เข้าไปด้านใน
“เชิญนายท่าน ไม่ทราบว่าจิบชาอะไรดี?” เสี่ยวเอ้อร์รีบเดินเข้าหา และนำไปยังโต๊ะข้างๆ ยายเฒ่าพร้อมกับยิ้มสู้
“อย่าพูดมาก! นำที่แพงที่สุดในร้านมาให้ข้าก็พอแล้ว!” ชายหนุ่มอัปลักษณ์กล่าว จากนั้นก็เดินผ่านยายเฒ่าไป
เสี่ยเอ้อร์ได้ยินเช่นนั้น ก็คิดจะประจบประแจงอีกสักสองสามประโยค แต่พลันมีแสงเย็นสะท้านบนร่างยายเฒ่า กระบี่ยาวและสั้นสองเล่มปรากฏขึ้นในมือของนาง และแทงไปทางชายหนุ่มอัปลักษณ์อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มอัปลักษณ์รู้สึกตกตะลึง แต่ก็ดึงดาบอ่อนที่เปล่งประกายแวววับออกจากเอว และต้านคมกระบี่ทั้งสองไว้ได้ จากนั้นก็ตะคอกออกมาด้วยความโมโห
“ใครบังอาจลอบโจมตีข้า!”
“เจ้าโจรชั่ว! ข้าจะเอาชีวิตเจ้า เจ้าไปถามชื่อข้าในยมโลกเถอะ!” ยายเฒ่ากล่าวด้วยความโกรธแค้น น้ำเสียงเสนาะหูเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เหมือนกับรูปร่างของนางเลย แต่นางก็โบกสะบัดกระบี่ในมือ จนกลายเป็นกลุ่มแสงเย็นสะท้าน ม้วนตัวไปยังฝ่ายตรงข้าม
“ฮึ! ศัตรูของข้ามีเยอะแยะ มีเพิ่มอีกคนจะเป็นไร” ชายหนุ่มอัปลักษณ์ได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาตวัดดาบในมือออกไปโดยไม่เกรงกลัว
พริบตาเดียว ทั้งสองก็ต่อสู้กันท่ามกลางแสงดาบและเงากระบี่
ส่วนคนอื่นๆ ในโรงน้ำชา ย่อมรู้ว่าได้เผชิญหน้ากับการแก้แค้นที่พบเจอได้บ่อยในยุทธภพเข้าแล้ว ดังนั้นจึงพากันหลบด้วยความตกใจ
แต่ทั้งสองต่อสู้กันได้ไม่นาน ชายหนุ่มอัปลักษณ์ก็พุ่งออกจากโรงน้ำชา และกระโดดขึ้นบนหลังม้า ขณะเดียวกันก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“ข้ามีเรื่องต้องทำ ไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า!”
“คิดจะหนีเหรอ! เอาชีวิตของเจ้ามาก่อน” ยายเฒ่าผู้นั้นส่งเสียงแหลมออกมา กระบี่ทั้งสองสั่นสะท้าน จากนั้นก็กลายเป็นแสงเย็นสะท้านหลุดออกไปจากมือ
มันกระพริบแค่ทีเดียว กระบี่ยาวเล่มนั้นก็ฟันหัวม้าจนหลุดออกมา ส่วนกระบี่สั้นกลับจมเข้าไปบนไหล่ของชายหนุ่มอัปลักษณ์
ชายหนุ่มอัปลักษณ์ทำเสียงฮึดฮัดออกมา พอเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงพื้น ก็พุ่งยิงไปอีกทิศทางหนึ่ง เขากระโดดเพียงไม่กี่ที ก็หายเข้าไปในป่าที่อยู่บริเวณนั้น
ยายเฒ่าขยับตัวอย่างรวดเร็วราวกับสายลม เพื่อดึงกระบี่ยาวออกจากศพม้า และตามเข้าไปในป่าในทันที
ผ่านไปซักพัก ก็มีเสียงต่อสู้ดังขึ้นในป่า
สิ่งนี้ทำให้คนที่อยู่ในโรงน้ำชามองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป ริมแม่น้ำที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ ยายเฒ่ายืนถือกระบี่อยู่บนฝั่ง นางกำลังจ้องมองสายน้ำที่ไหลบ่าด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
ทันทีที่นางเอามือลูบหน้า ก็เผยให้เห็นใบหน้างดงามของหญิงสาว แต่นางกลับตะโกนออกไปด้วยความโกรธแค้น
“เจ้าโจรชั่ว! จำไว้ให้ดี แม้ว่าครั้งนี้เจ้าจะรอดพ้นเงื้อมมือข้าไปได้ แต่ต่อให้จะรอดพ้นไปสิบครั้ง ร้อยครั้ง พันครั้ง ข้าก็จะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น เพื่อแก้แค้นให้กับลูกชายของข้า”
พอกล่าวจบ นางก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่ลังเล
……
สามปีต่อมา บนทุ่งราบที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ชายหญิงสองคนกำลังต่อสู้กันเป็นพัลวัน
“เจ้าก่อกวนข้าเป็นครั้งที่ห้าแล้ว คิดจริงๆ หรือว่าข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้?” ชายหนุ่มอัปลักษณ์ตรงหน้าโบกสะบัดดาบอ่อนในมือ และกล่าวด้วยความโมโห
“ฮึ! ลำพังแค่กำลังของเจ้า ถ้าต่อสู้กับข้าอย่างไม่คิดชีวิตละก็ ย่อมสามารถฆ่าข้าได้ แต่เพียงแค่ช่วยแก้แค้นให้ลูกชายข้าได้ ข้าก็ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว พอถึงเวลานั้น จะต้องลากเจ้าไปปรโลกพร้อมกัน”
หญิงสาวตรงด้านหลังใช้กระบี่โจมตีอย่างสุดชีวิต ทำให้ชายหนุ่มอัปลักษณ์ตรงหน้าไม่กล้าเข้าไปยุ่งมากนัก หลังจากต้านทานได้ไม่กี่กระบวนท่า ก็หนีไปข้างหน้าอีกครั้ง
หญิงสาวยังคงตามติดไม่เลิก
พริบตาเดียว ทั้งสองก็หายไปจากเนินเขาสูงแห่งหนึ่ง
……
สิบปีต่อมา บนไหล่เขายักษ์ลูกหนึ่ง เงาร่างคนสองคนพุ่งลงมาจากยอดเขา และมีเสียงต่อสู้ดัง “เต๊งๆ!” อยู่ตลอดเวลา
“นังบ้า! เจ้าโจมตีข้าเป็นครั้งที่สิบหกแล้ว ฮึ! แต่ข้าจะยอมให้เจ้าทำสำเร็จได้อย่างไร!” ชายหนุ่มตะคอกเสียงต่ำออกมา
“ข้าพูดแต่แรกแล้ว หากสิบครั้ง ร้อยครั้งไม่สำเร็จ ข้าก็จะตามฆ่าเจ้าพันครั้ง หมื่นครั้ง!” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ถ้าเจ้ามีความสามารถมากขนาดนั้น ก็ลองดู!” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความโมโหสุดขีด
ผ่านไปไม่นาน ร่างของทั้งสองก็จมหายเข้าไปในป่าบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
……
ยี่สิบปีผ่านไป ท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ ชายหญิงสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างไม่คิดชีวิต พริบตาเดียวก็มีรอยเลือดเต็มร่างของทั้งสอง
ทันใดนั้น ชายอัปลักษณ์ตรงหน้าก็เก็บดาบในมือ และวิ่งหนีไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หญิงวัยกลางคนตรงด้านหลัง ก็ถือกระบี่ไล่ล่าไม่หยุด
………………………………………