“เจ้านี่ผ่านด่านเคราะห์ครั้งหนึ่ง ต้องใช้เวลานานถึงขนาดนี้! ถ้าไม่กลับมาล่ะก็ ข้าเกือบจะไปหาด้วยตนเองแล้ว!” แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกตกใจที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของแมงป่องกระดูก แต่พอลูบหลังของมันแล้ว ก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาอย่างอดไม่ได้
แมงป่องกระดูกขาวอยู่กับเขามาระยะเวลาหนึ่งแล้ว และยังผ่านอันตรายมาด้วยกันไม่ใช่น้อย ย่อมมีความผูกพันธ์กันเป็นธรรมดา
ขณะนั้นเอง มีเงาร่างเคลื่อนไหวจากอีกด้านหนึ่งของป่า ศีรษะผู้ชายลอยเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง มันคือหัวบินตนนั้นนั่นเอง
หัวบินลอยมาตรงหน้าหลิ่วหมิง และหยุดอยู่บริเวณนั้นด้วยสีหน้านอบน้อม
“ข้าดูหน่อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้าถึงอยู่ข้างนอกนานขนาดนี้” หลิ่วหมิงวางแมงป่องกระดูกลงบนบ่า นิ้วมือทั้งห้าแยกออกจากนั้น และกดลงบนหัวของหัวบิน
เขาหลับตาทั้งคู่ลง ไอดำม้วนตัวออกจากร่าง พลังจิตซึมเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ ทำให้เขารับรู้เรื่องราวทุกอย่างที่หัวปีศาจตนนี้เผชิญมา
“อะไรนะ! การกลายพันธุ์ของแมงป่องกระดูกใช้เวลานานหนึ่งปี และขณะที่ผ่านด่านเคราะห์นั้น มีสายฟ้าสีดำฟาดลงมา และถูกเจ้านี่ดูดเข้าไปในร่างจำนวนมาก”
หลิ่วหมิงดูต่ออีกครู่หนึ่ง เขาแสดงสีหน้าตกใจออกมา พอลืมตาทั้งสองขึ้น ก็จ้องมองแมงป่องกระดูกขาวด้วยความประทับใจ
ดูเหมือนว่าปีศาจตนนี้ จะมองท่าทีสงสัยของหลิ่วหมิงออก มันสะบัดหางในทันที อสรพิษอัปลักษณ์สีดำอ้าปากพ่นสายฟ้าออกมา เป้าหมายคือป่าดงดิบที่อยู่ไม่ไกล
พอแสงสายฟ้าเปล่งประกายออกมา สายฟ้าสีดำก็ปะทะกับต้นไม้ใหญ่ และกระพริบผ่านไป!
ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ ต้นไม้ใหญ่ยังคงเป็นแบบเดิม ไม่มีอะไรเสียหายเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว และคิดจะไปตรวจสอบดูให้ละเอียด แต่ต้นไม้ใหญ่กลับส่งสียงดัง “โครม!” จากนั้นก็กลายเป็นควันสีดำก่อนหายไป เหลือไว้เพียงหลุมขนาดใหญ่
ฉากอันน่าประหลาดใจนี้ ทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อย
เขารีบทำท่ามือด้วยมือเดียว และส่งพลังจิตไปยังระหว่างคิ้ว และปล่อยออกไปสำรวจดูหลุมขนาดใหญ่ทันที
“เอ๊ะ! นี่คือพลังอะไรกัน ดูเหมือนกับว่าจะเป็นพลังสายฟ้า แต่ก็ไม่ค่อยเหมือน เหมือนจะมีพลังอื่นๆ ปะปนอยู่เล็กน้อย แย่แล้ว! พลังนี้สามารถกลืนกินพลังจิตได้ และไม่อาจแยกออกมาได้”
ตอนแรกหลิ่วหมิงพูดพึมพำกับตนเอง แต่พอพลังจิตค่อยๆ ตรวจสอบพลังที่เหลืออยู่ในหลุม เขาก็ต้องดึงพลังจิตกลับมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และหลุดปากกล่าวออกมาราวกับเจอผี
เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน ขณะที่ดึงพลังจิตกลับมาเมื่อครู่นั้น มีพลังประหลาดบางอย่างปะปนมาด้วย และพอพลังจิตส่วนที่เหลือในทะเลจิตรับรู้ได้สัมผัสกับมัน ก็ดูเซื่องซึมขึ้นมา
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาหน้าเปลี่ยนสีได้อย่างไร
แต่ขณะนั้นเอง แมงป่องกระดูกบนไหล่กลับขยับหัวอสรพิษตรงหลัง พริบตาเดียวก็กัดไปยังต้นคอหลิ่วหมิง ขณะเดียวกันพลังแปลกประหลาดบางอย่างก็ทะลักออกมา และซึมเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิง
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่ทันทีที่รับรู้ได้ถึงพลังสองสายที่ปะทะกันในหัว มันก็สลายไปพร้อมกันอย่างน่าประหลาดใจ
ขณะนี้แมงป่องกระดูกส่งเสียงออกมาด้วยความพอใจ และคลายปากออกจากต้นคอหลิ่วหมิง
“ทำได้ไม่เลว! อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ความสามารถนี้ของเจ้า ก็สมกับที่เข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว” หลิ่วหมิงเห็นเช่น ก็รู้สึกดีใจมาก เขาใช้มือลูบหัวแมงป่องกระดูก และกล่าวด้วยความดีใจ
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็ทดสอบการโจมตีอื่นๆ ของแมงป่องกระดูกด้วยความประหลาดใจ
สุดท้ายก็ค้นพบว่า นอกจากจะปล่อยสายฟ้าสีดำในเมื่อครู่ได้แล้ว การโจมตีอื่นๆ ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนมากนัก เพียงแต่ว่าความเร็วในการโจมตีกับความแข็งแกร่งของร่างกาย แตกต่างจากแต่ก่อนราวฟ้ากับดิน
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่เกล็ดสีแดงบนตัวแมงป่องกระดูก ก็เห็นได้ชัดว่ามีความเกี่ยวข้องกับเกล็ด และหนังมังกรที่มันกลืนกินไปในก่อนหน้านั้น
แม้จะเทียบไม่ได้กับเกล็ดมังกรที่ร่างหลิ่วหมิงสามารถปล่อยออกมาภายนอกได้ แต่ก็เกินกว่าที่อาวุธจิตวิญญาณจะสามารถทำลายได้ แน่นอน! ส่วนที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ หางตะขอที่เป็น ‘หัวอสรพิษ’ นั่นเอง
ขณะนี้ หัวอสรพิษตรงหลังแมงป่องกระดูกหวดลงพื้นอย่างเต็มแรง แม้แต่ระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ก็ไม่อาจมองเห็นการโจมตีของมันได้อย่างชัดเจน เขาเพียงแค่ได้ยินเสียงระเบิดดังออกมา จากนั้นก็ปรากฏร่องยาวๆ บนพื้นอย่างชัดเจน
สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงดีใจมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากทดสอบเสร็จแล้ว ก็ทำท่ามือชี้ไปบนตัวแมงป่องกระดูก
ทันใดนั้นมีเสียง “ฟึ่บ!” ร่างแมงป่องกระดูกกลายเป็นกลุ่มไอดำ และมุดเข้าถุงหนังบนเอวหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวกับพายุ
ส่วนหัวบินก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก เพียงแค่หลิ่วหมิงใช้จิตสั่ง มันก็มุดเข้าถุงหนังอีกใบทันที
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงได้ทะยานขึ้นฟ้า และขี่เมฆกลับไปยังนิกาย
……
สิบกว่าวันต่อมา ข้างถ้ำไอหยินใต้ดินบางแห่งของนิกายปีศาจ หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอย่างเงียบๆ บนตัวเขามีอสรพิษหมอกสีดำราวกับมีชีวิต และค่อยหมุนวนรอบตัวอย่างช้าๆ
เหนือศีรษะของเขามีพยัคฆ์หมอกสีดำขนาดยาวจั้งกว่าๆ มันปรากฏหายๆ จนดูเหมือนจะไม่สามารถทำให้มันมั่นคงได้
ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล แมงป่องกระดูกได้กลายร่างเป็นอสูรขนาดใหญ่ห้าหกจั้ง ปากของมันพ่นไอหยินออกมา เห็นได้ชัดว่ามันก็ทำการฝึกฝนอยู่
“ฟู่!” พยัคฆ์หมอกดำเหนือศรีษะหลิ่วหมิงสั่นไหว และแตกกระจายออกมา จากนั้นก็กลายเป็นไอดำอันพวยพุ่ง
มีเสียงถอนหายใจดังออกมา!
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ในทันที อสรพิษหมอกดำบนตัวจมหายไปในร่างราวกับสิ่งมีชีวิต
“คิดไม่ถึงว่าพลังพยัคฆ์หยินนี้ จะเกาะตัวได้ยากถึงเพียงนี้! แต่ตอนที่ข้าเกาะตัวอสรพิษหยินนั้น กลับไม่ได้รู้สึกยากเย็นเช่นนี้ หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเกล็ดมังกรที่ร่างของข้าเกาะตัวออกมา? ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ หากเกาะตัวรูปร่างมังกรพยัคฆ์ได้ไม่ราบรื่นล่ะก็ สามารถยืมพลังจากภายนอกได้ และใช้วิธีการสองสามอย่างได้” เขาพูดพึมพำกับตนเองด้วยสีหน้าลังเล
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็ไปจากถ้ำไอหยินแห่งนี้ และมุ่งหน้าไปยังเขาเก้าทารก
“อะไรนะ! ศิษย์น้องอยากสอบถามว่า ในแผ่นดินอวิ๋นชวนมีอสูรประเภทพยัคฆ์ที่ค่อนข้างร้ายกาจอยู่ที่ใดบ้าง?” พอกุยหรูฉวนได้ฟังที่หลิ่วหมิงถามมาทั้งหมด ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
แม้ว่าจูชื่อจะเสียชีวิตไปแล้ว และนักพรตแซ่จงก็เสียใจเป็นอย่างมาก หลังจากกลับมาแล้วก็ปรากฏตัวน้อยมาก แต่ด้วยเหตุที่ว่าหลิ่วหมิงมีผลงานที่โดดเด่น บวกกับที่สาขาอื่นก็สูญเสียอาจารย์จิตวิญญาณไปไม่น้อย ดังนั้นความแข็งแกร่งของสาขาเก้าทารกจึงเพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างมาก
สิ่งนี้ทำให้กุยหรูฉวน มีหน้ามีตากว่าแต่ก่อน
“ไม่ผิด! ดีที่สุดควรเป็นอสูรพยัคฆ์ที่อยู่ระดับของเหลว ตอนนี้ศิษย์น้องกำลังฝึกฝนวิชาบางอย่างอยู่ จำเป็นต้องใช้กระดูกของอสูรประเภทนี้” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ปิดบัง
ได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ กุยหรูฉวนก็สังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามทีก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“คิดว่าศิษย์น้องคงรู้ว่า แท้จริงแล้วแผ่นดินอวิ๋นชวนของเรา เป็นแค่เกาะที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น ถ้าพูดถึงพวกปีศาจอสรพิษ ปีศาจวิหคกลับมีไม่น้อย ปีศาจหมาป่าก็หาเจอได้มาก แต่ปีศาจพยัคฆ์กลับพบเจอได้น้อยมาก ถ้าศิษย์น้องอยากไปหาล่ะก็ ลองไปหาที่เจดีย์กักปีศาจของนิกายหยวนหมัวดู ตั้งแต่นิกายนี้ก่อตั้งขึ้นมา ก็นำปีศาจอสูรใส่เข้าไปในนั้นมาโดยตลอด และปิดผนึกไว้ ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ ในนั้นย่อมมีปีศาจอสูรจำนวนไม่น้อย ไม่แน่อาจจะมีอสูรพยัคฆ์ระดับของเหลวก็เป็นไปได้”
“เจดีย์กักปีศาจ! ในเมื่อปีศาจอสูรถูกปิดผนึกอยู่ในนั้น ไม่เท่ากับว่ามันตายโดยไร้ศพแล้วหรือ? แล้วจะไปหาปีศาจพยัคฆ์ได้จากที่ใดกัน?” หลิ่วหมิงถามด้วยความตกตะลึง
“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องไม่รู้อะไร เจดีย์กักปีศาจนี้ ใช้งานกักปีศาจเป็นงานรองเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดคือเจดีย์นี้สามารถเชื่อมต่อกับทางออกแดนลึกลับเล็กๆ บางแห่งได้ ด้วยเหตุนี้ปีศาจอสูรที่อยู่ในนั้นจะไม่อดตาย แต่กลับเป็นสถานที่ที่ทางนิกายใช้ฝึกฝนศิษย์ และเป็นดินแดนที่รวบรวมปีศาจอสูรได้เป็นอย่างดี” กุยหรูฉวนกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่เจดีย์นี้สำคัญต่อนิกายหยวนหมัวมาก ข้าคงไม่สามารถเข้าไปโดยง่าย!” หลิ่วหมิงเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว แต่ก็ขมวดคิ้วถามออกไป
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ย่อมไม่ง่ายอย่างแน่นอน แต่ในเมื่อตอนนี้นิกายหยวนหมัวเป็นคนเริ่มให้แต่ละนิกายรวมพลังกันต่อต้านเผ่าเจ้าสมุทร และได้ก่อตั้งพันธมิตรขึ้น เกรงว่าพวกเขาคงไม่อาจปฏิเสธได้ อย่างมากศิษย์น้องก็แค่จ่ายหินจิตวิญาณให้มากหน่อย แน่นอน! หากศิษย์น้องถือจดหมายจากอาจารย์อาเยี่ยนไปสักฉบับล่ะก็ จะมีโอกาสมากขึ้น” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้อาจารย์อาเยี่ยนไปที่ตั้งของพันธมิตรแล้ว ซึ่งเป็นคนละทางกับนิกายหยวนหมัว ถ้าต้องไปหาอาจารย์อาเพื่อการนี้โดยเฉพาะล่ะก็ มันค่อนข้างจะเสียเวลาไปหน่อย ศิษย์น้องไปดูที่นิกายหยวนหมัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิวหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจกล่าวออกมา
“เรื่องนี้แล้วแต่ศิษย์น้องเลย ใช่สิ! ไข่อสูรสีม่วงที่เจ้าเอามาใบนั้น ข้าได้ไปศึกษาคัมภีร์มาหลายเล่ม ในที่สุดก็ค้นพบว่ามันคงเป็นไข่ของปีศาจสมุทรแปดขา แต่กลิ่นไอของมันอ่อนแอมาก ไม่สามารถฟักออกมาได้ มิเช่นนั้นลำพังแค่คุณสมบัติพลังสายฟ้าของมัน คงมีราคาที่ยากจะคาดเดาได้” กุยหรูฉวนพยักหน้า และกล่าวออกมาด้วยความเสียดาย
“ปีศาจสมุทรแปดขา?” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจมาก
“เหมือนจะกล่าวได้ว่า ปีศาจสมุทรแปดขาเป็นอสูรสมุทรที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเล! ปีศาจสมุทรระดับสูง ไม่เพียงแต่จะมีพลังไร้ขอบเขต ปีศาจสมุทรแปดขายิ่งสามารถทำลายภูเขาได้อย่างง่ายดาย ที่น่าหวาดกลัวก็คือ อสูรสมุทรประเภทนี้ มันมีพลังรักษาตนเอง ว่ากันว่าต่อให้จะถูกฟันขาดเป็นสองส่วน ก็สามารถฟื้นกลับมาได้ภายในพริบตา ใช่สิ! ดูเหมือนว่าเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามในอวิ๋นชวน จะยกให้ปีศาจสมุทรที่ยิ่งใหญ่ตนหนึ่งเป็นเทพอสูร ว่ากันว่าอสูรสมุทรตนนี้เคยกลืนกินผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของเผ่าอื่น ซึ่งไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
………………………………………