แต่ก่อนที่เขาถูกดูดกลืนพลังเวทย์ ห้องว่างเปล่าก็ขยายใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่มือยักษ์ค้ำฟ้าหายไป ก็มี ‘หลิ่วหมิง’ คนที่สองปรากฏในห้องว่างเปล่า
หากคำนวณตามนี้ล่ะก็ บาทายักษ์กับมือยักษ์ค้ำฟ้าต่างก็เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของปีศาจยักษ์
พลังที่ถูกดูดกลืนคงเป็นพลังประเภทไอปีศาจ ตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงว่า ‘หลิ่วหมิง’ คนที่สองจะปรากฏในห้องว่างเปล่าอีกครั้ง
แต่ทั้งหมดล้วนเป็นแค่การคาดเดา มันจะเป็นจริงหรือไม่นั้น คงต้องตัดสินด้วยสายตาของเขาเองแล้ว
ที่ยังไม่อาจยืนยันได้จริงๆ ก็คือ เขามีเวลาอยู่ในห้องว่างเปล่านานเท่าไหร่
ครั้งก่อนที่มือยักษ์ค้ำฟ้าปรากฏออกมา เขากลับสลบไป และฝันแปลกๆ
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ ขณะที่กำลังคิดใคร่ครวญอย่างเงียบๆ นั้น ห้องว่างเปล่าก็สั่นสะเทือนขึ้นมา มีเสียงดังโครมครามแปลกประหลาดมาจากด้านบน
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองด้วยความตกใจ!
ไม่รู้ว่าไอหมอกสีเทาด้านบนพุ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีเสียง “ตู๊ม!” ดังออกมา ไอหมอกหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ทั่วทั้งห้องว่างเปล่ากลายเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่
หลิ่วหมิงถอยออกไปสองสามก้าว สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
เขาฟันกระบี่สั้นสีทองออกไป ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจ
ขณะนั้นเอง มีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังมาจากระลอกคลื่น ดูเหมือนว่ากลุ่มไอดำจะพุ่งออกจากในนั้น
“ตู๊ม!”
ม่านแสงสีขาวปรากฏขึ้นใจกลางระลอกคลื่น และปิดมันไว้อย่างแน่นหนา
พอไอดำปะทะใส่ม่านแสง ลำแสงสีขาวก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นไอดำก็กระเด็นกลับไป
ม่านแสงแค่สั่นไหวไม่กี่ที ก็กลับมามั่นคงดังเดิม
มีเสียงแหลมดังมาจากไอดำ พอมันหมุนติ้วๆ รวมกันแล้ว ก็ปรากฏเป็นใบหน้าขนาดยักษ์ ลักษณะของมันเหมือนกับหลิ่วหมิงไม่มีผิด เพียงแต่มีเปลวเพลิงสีเงินเปล่งประกายอยู่ในดวงตาทั้งคู่ สีหน้าดูบ้าคลั่งเป็นอย่างยิ่ง
มันอ้าปากพ่นลูกเปลวไฟสีดำโจมตีม่านแสงสีขาวเป็นจำนวนมาก
พริบตาเดียว เปลวเพลิงสีดำก็ผสานเข้ากับลำแสงสีขาว และระเบิดออกมา
บังเกิดเสียงดังก้องไปทั่วห้องว่างเปล่าลึกลับ
หลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดผวามาก มือของเขาจับกระบี่สั้นสีทองไว้แน่น เหงื่อไหลทะลักออกมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่เห็นได้ชัดว่า ลำแสงสีขาวที่ม่านแสงปล่อยออกมาจะเหนือชั้นกว่า พอใบหน้าขนาดยักษ์หยุดพ่นเปลวเพลิงสีดำ ม่านแสงก็ยังคงมีสภาพเช่นเดิม ไม่มีรอยแตกร้าวแม้แต่น้อย
ในขณะนั้นเอง ม่านแสงก็บิดเบี้ยวขึ้นมา ลำแสงสีขาวจำนวนมากพุ่งยิงออกจากบนนั้น มันเปล่งประกายไม่กี่ที ก็เจาะใบหน้าขนาดยักษ์จนพรุน
ใบหน้าขนาดยักษ์สีดำส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา จากนั้นก็พร่ามัวกลับมาเป็นปกติ แต่ขนาดของมันเล็กลงกว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว สายตามองไปยังม่านแสงด้วยความไม่พอใจ
แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงฟ้าร้องดังมาจากระลอกคลื่น สายฟ้าสีเขียวจำนวนมากพุ่งออกไปรอบด้าน พอมันผสานเข้าด้วยกันแล้ว ก็พุ่งใส่ใบหน้าขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงกลางพร้อมกัน
ใบหน้าขนาดยักษ์เห็นเช่นนี้ ก็คำรามออกมา และหันหน้าพุ่งยิงไปด้านหลัง ราวกับว่าคิดจะหลบหนี
ขณะนั้นเอง ไหมสีขาวกลุ่มหนึ่งถูกพ่นออกจากม่านแสงสีขาว เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็รัดพันใบหน้าขนาดยักษ์ไว้อย่างแน่นหนา
ใบหน้าขนาดยักษ์พ่นเปลวเพลิงสีดำออกมาต่อสู้อีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถสลัดตัวให้หลุดพ้นได้ พอแสงสายฟ้ารอบด้านเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง มันก็จมเข้าไปในสายฟ้าสีเขียว
ใบหน้าขนาดยักษ์ร้องอย่างเวทนา ทุกการโจมตีของสายฟ้าสีเขียว ทำให้มีควันสีขาวออกจากร่างของมัน และหดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว
แม้ใบหน้าขนาดยักษ์จะพ่นเปลวเพลิงสีดำอันพวยพุ่งมารับมือไว้ได้ แต่ไม่นานก็ถูกฟันเป็นชิ้นๆ มันแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเป็นครั้งแรก
ขณะนี้ สายฟ้าสีเขียวพุ่งออกจากระลอกคลื่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบกลายเป็นทะเลสายฟ้า
พอใบหน้าสีดำเห็นว่าตนเองไม่อาจหลบหนีไปได้ ก็จ้องมองมาทางหลิ่วหมิงทันที ใบหน้าของมันดูดุร้ายเป็นอย่างมาก
ใบหน้าขนาดยักษ์เริ่มร่ายคาถาแปลกประหลาดออกมา คาถาที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอป่าเถื่อนดังออกมาจากปากของมัน
พอหลิ่วหมิงได้ยินคาถานี้ กลับรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
แม้เขาจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ภาษาที่มันใช้ ออกเสียงเหมือนกับอักขระสีม่วงโบราณที่ปรากฏบนบาทายักษ์
ขณะที่เขากำลังคิดหาสาเหตุด้วยความสงสัยนั้น ใบหน้าขนาดยักษ์สีดำในระลอกคลื่นก็ระเบิดตัวเองออกมา คลื่นสั่นสะเทือนสีดำม้วนตัวออกมาอย่างบ้าระห่ำ ทำให้สายฟ้าสีเขียวรอบด้านสลายไปบางส่วน
“ฟิ้ว!” ผลึกหินสีเงินก้อนหนึ่งพุ่งออกจากในนั้น มันเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็ปะทะลงบนม่านแสงที่ผนึกอยู่กลางระลอกคลื่น
“เพล้ง!”
ผลึกหินสีเงินระเบิดออกมากลายเป็นกลุ่มแสงสีเงิน พอมีเสียง “เปรี๊ยะๆ!” ก็เกิดรอยร้าวเล็กๆ บนม่านแสงสีขาว
“ซิ้วๆ!” ไหมสีดำวาวพุ่งออกจากรอยร้าว และพุ่งไปทางหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา พอเห็นเช่นนี้ ก็สะบัดกระบี่สั้นสีทองโดยไม่ต้องคิด จากนั้นเงากระบี่จำนวนมากก็ฟาดฟันออกไป ขณะเดียวกันก็มีแสงสีแดงเปล่งประกายบนมืออีกข้าง กำปั้นที่ถูกเกล็ดสีแดงห่อหุ้มก็ทุบออกไป
ฉากอันน่าเหลือเชื่อได้ปรากฏขึ้นแล้ว!
ไหมสีดำวาวที่ยาวไม่เกินฉื่อกว่าๆ ไม่สนใจการต้านทานของเงากระบี่จำนวนมากกับพลังมหาศาลเลย มันแค่เปล่งประกายไม่กี่ที ก็มาถึงระหว่างคิ้วของหลิ่วหมิง และมุดเข้าไปข้างใน
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก แสงแวววาวเปล่งประกายตรงระหว่างคิ้ว เขาพยายามปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไป พริบตาเดียวโล่โปร่งแสงขนาดเท่าฝ่ามือ ก็ก่อตัวขึ้นตรงหน้า
พอไหมดำปะทะใส่ ก็มีเสียงแตกหักดังออกมา จากนั้นโล่แววาวก็สลายตัวไป
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีเสียงดัง “หวึ่ง!” ในศีรษะ จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับมันจะระเบิดออกมา ร่างของเขาโซเซจนเกือบล้มลงพื้น
แต่พอมีโล่เล็กที่พลังจิตสร้างขึ้นมาต้านทานไว้ได้เล็กน้อย ไหมสีดำวาวก็หยุดชะงักลงอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นมันก็สั่นไหวอีกที เพื่อพุ่งยิงใส่ระหว่างคิ้วของหลิ่วหมิงอีกครั้ง
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงฟ้าร้องดังมาจากระลอกคลื่น สายฟ้าสีเขียวเส้นหนึ่งเปล่งประกายลงมา และโจมตีโดนไหมสีดำวาวพอดี
มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังออกมา!
ไหมสีดำวาวสลายตัวเป็นหมอกสีดำ ไอหมอกส่วนมากสลายไปในสายฟ้าสีเขียวที่เปล่งประกาย มีแค่ส่วนน้อยที่ม้วนตัวออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีแสงสายฟ้าเปล่งประกายตรงหน้า จากนั้นร่างของเขาก็ถูกคลื่นความร้อนที่มีกลิ่นไหม้ผลักกระเด็นออกไป และปะทะใส่ผนังหมอกด้านหลังอย่างรุนแรง
หากว่าในพริบตานั้น เขาไม่กระตุ้นเกราะหนังมังกรบนตัว เพื่อปล่อยแสงสีแดงทำให้การปะทะคลี่คลายลงเล็กน้อยล่ะก็ เกรงว่าคงหน้ามืดตาลายไปหมดแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โล่เล็กที่พลังจิตสร้างขึ้นในก่อนหน้านั้นได้รับความเสียหาย จึงทำให้หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกปวดศีรษะอย่างหนักหน่วง
ยังไม่ทันที่เขาจะหยิบอะไรออกมา ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนตรงหน้า ไอดำที่เหลือปรากฏออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และมุดเข้าไปในระหว่างคิ้วของเขา
ครั้งนี้ หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่พลันมีเสียงร้อง “เอ๊ะ!” ดังขึ้นข้างหูเบาๆ
เขารีบมองไปยังที่มาของเสียง เหมือนกับว่ามีเงาอะไรบางอย่างกระพริบผ่านระลอกคลื่นสีเทากลางอากาศ แต่พอเขาเขม้นตามองออกไป นอกจากจะพบกับสายฟ้าสีเขียวจำนวนมากแล้ว ก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย
“ผู้อาวุโสท่านใดอยู่ที่นี่กัน!”
หลิ่วหมิงจ้องมองระลอกคลื่นสีเทา และค่อยๆ กล่าวออกมา
แต่ผ่านไปซักพัก นอกจากจะมีเสียงฟ้าร้องแล้ว ก็ไม่มีคำตอบใดๆ ตอบกลับมา
“หรือว่าเมื่อครู่ข้าจะฟังผิดไป?”
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังโครมครามดังขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง ระลอกคลื่นย่อส่วนเล็กลงอย่างรวดเร็ว สายฟ้าสีเขียวในนั้นดับสลายไปจนหมดสิ้น
พอระลอกคลื่นใกล้จะหายไปอย่างสมบูรณ์ ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนมาจากด้านใน สิ่งของขนาดมหึมาหล่นลงจากในนั้น มันตกลงพื้นที่อยู่ห่างหลิ่วหมิงไม่กี่จั้งด้วยเสียงอันดัง
อากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างอย่างช่วยไม่ได้
สิ่งนี้คือศิลาจารึกที่สูงสองจั้ง ครึ่งบนแวววาวราวกับหยก ส่วนล่างดำมืดราวกับหมึก และตรงกลางรอยต่อของทั้งสอง มีภาพนาฬิกาทรายสีทองที่สูงฉื่อกว่าๆ สลักอยู่ ในนั้นมีเม็ดทรายสีเงินที่ดูเหมือนจะไหลลงมา
“นี่คือ……”
หลิ่วหมิงเลียริมฝีปากที่แห้งผาก หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ค่อยๆ เดินเข้าไป และเดินวนศิลาจารึกนี้สองรอบ
ด้านหลังศิลาจารึก มีภาพปีศาจแปลกประหลาดที่ไม่ทราบชื่อจารึกอยู่ แต่ละตนล้วนแยกเขี้ยวยิงฟัน ดูดุร้ายยิ่งนัก และใจกลางรูปภาพปีศาจประหลาดเหล่านี้ กลับมีอักขระสีม่วงโบราณจารึกอยู่สามตัว!
“ศิลาหุนเทียน”
หลิ่วหมิงใช้ภาษามนุษย์พูดความหมายของอักขระสีม่วงโบราณออกมาเบาๆ สีหน้าเขาไปเปลี่ยนไปมาอยู่ไม่หยุด
แต่พอเขาวนกลับไปด้านหน้าของศิลาจารึกนั้น กลับรู้สึกใจเต้นขึ้นมา และยืนนิ่งอยู่หน้าศิลาจารึกไม่ขยับเขยื้อน
หากเขาดูไม่ผิดล่ะก็ ดูเหมือนว่าเม็ดทรายสีเงินที่อยู่ด้านบนของนาฬิกาทรายสีทอง จะน้อยลงกว่าเมื่อครู่ และด้านล่างก็เพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง และจ้องมองภาพนาฬิกาทรายบนศิลาจารึกอย่างเงียบๆ โดยไม่เปล่งอะไรออกมา
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ นาฬิกาทรายสีทองก็พร่ามัว จุดแสงสีเงินเปล่งประกายออกมา จากนั้นเม็ดทรายสีเงินด้านล่าง ก็เพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย ราวๆ สิบเม็ด
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ เขากวาดสายตามองดูเม็ดทรายสีเงินตรงส่วนบน กลับพบว่าเบาบางลงไปหนึ่งชั้น ซึ่งเหลือราวๆ ร้อยกว่าเม็ด
เขาคิดใคร่ครวญอยู่ไม่หยุด แต่ก็คิดไม่ออกว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในนาฬิกาทรายสีทองนี้ บ่งบอกถึงสิ่งใดกันแน่
เขาแหงนหน้ามองด้านบนทีหนึ่ง ตอนนี้ระลอกคลื่นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว และกลับมาเป็นภาพผนังหมอกสีเทาดังเดิม
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และก้มหน้ามองศิลาจารึกตรงหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็ยื่นนิ้วไปแตะส่วนบนที่ขาวสะอาดของศิลาจารึก
พริบตาที่ปลายนิ้วสัมผัสกับศิลาจารึก ไอร้อนก็พุ่งออกมา
หลิ่วหมิงรีบดึงนิ้วกลับมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็แตะไปยังส่วนล่างที่มีสีดำราวกับหมึก
ความรู้สึกเยือกเย็นส่งผ่านเข้ามา
……………………………………