ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 327 ตลาดชินโจว

ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าๆ ท่ามกลางหุบเขาขนาดใหญ่ในเขตแคว้นต้าเสวียนที่คดเคี้ยวไปตามพื้นที่ในแผ่นดินอวิ๋นชวน มีฝูงชนเดินขวักไขว่ วิวทิวทัศน์เงียบสงบ

ขณะนี้ ชายหนุ่มใบหน้าธรรมดา สวมชุดคลุมสีดำ กำลังเดินเตร่อยู่บนถนนหินในหุบเขา และสังเกตดูร้านค้าทั้งสองข้างทางไปด้วย

เขาคือหลิ่วหมิงที่ออกมาจากนิกายปีศาจนั่นเอง

หลังรู้เรื่องตลาดชินโจวจากกุยหรูฉวนแล้ว หลิ่วหมิงก็มุ่งตรงมาสถานที่แห่งนี้

จะว่าไปแล้ว เป็นถึงหนึ่งในสามตลาดใหญ่ที่แต่ละนิกายร่วมกันสร้างขึ้น เทียบกับตลาดเว่ยโจวในตอนนั้นแล้ว ตลาดชินโจวก็เป็นตลาดที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในอวิ๋นชวน

นี่เป็นเพราะว่าเทือกเขาที่ตั้งของตลาดชินโจวติดกับพื้นที่ภายในอวิ๋นชวน และเนื่องการทำศึกกับเผ่าเจ้าสมุทรในหลายปีมานี้ ถูกเผ่าเจ้าสมุทรบีบบังคับ จนนิกายในแผ่นดินอวิ๋นชวนรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อต่อต้านศัตรู จึงได้ก่อตั้งพันธมิตรอวิ๋นชวนขึ้น และแต่ละนิกายก็ไม่ได้เป็นปรปักษ์กันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ดังนั้นมักจะมีผู้ฝึกฝนในแผ่นดินอวิ๋นชวนมาทำการแลกเปลี่ยนสิ่งของในตลาดชินโจวอยู่บ่อยๆ พวกเขานำมาซึ่งสิ่งของพิเศษที่ไม่มีในแคว้นต้าเสวียน ดึงดูดให้ผู้ฝึกฝนอิสระและตระกูลที่มีชื่อเสียงเข้ามาเป็นจำนวนมาก สถานที่แห่งนี้จึงคึกคักอย่างถึงขีดสุด

ตลาดชินโจวตั้งอยู่กลางหุบเขา มีสิ่งก่อสร้างขนาดต่างๆ มีเป็นหอหลายชั้นและบ้านหลังเล็กๆ ตัดสลับกัน โรงเตี๊ยมที่พักก็มีเพียบพร้อม

แม้จะบอกว่าทั้งห้านิกายร่วมกันสร้างขึ้นมา แต่เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับหุบเขาเก้าช่องมากที่สุด ดังนั้นครึ่งหนึ่งของตลาดแห่งนี้ จึงถูกดูแลโดยศิษย์หุบเขาเก้าช่อง อีกครึ่งหนึ่งก็ปล่อยเช่าให้กับตระกูลที่ทำการค้า และผู้ฝึกฝนอิสระ

หลายวันก่อน หลังจากร่อนลงมาในสถานที่แห่งนี้แล้ว หลิ่วหมิงก็ไม่ได้เข้าไปในหุบเขาทันที แต่กลับเปลี่ยนชุดคลุมยาวสีดำ และเก็บสิ่งของติดตัวที่ทำให้มองออกว่ามาจากนิกายปีศาจเข้าไปทั้งหมด ทำให้เขาดูเป็นผู้ฝึกฝนอิสระทั่วไป จากนั้นถึงเข้ามาในตลาด

ตอนนี้หลิ่วหมิงนำหนัง และคมเขี้ยวของมารอสรพิษ ที่ได้มาจากเจดีย์กักปีศาจในนิกายหยวนหมัว มาแบ่งขายตามร้านค้าต่างๆ และแลกหินจิตวิญญาณมาประมาณห้าหกหมื่นหินจิตวิญญาณ

แม้หนังของมารอสรพิษ จะเป็นชิ้นส่วนจากร่างปีศาจระดับของเหลวขั้นปลาย ซึ่งเป็นวัสดุชั้นดีในการทำเกราะอ่อน แต่เทียบกับเกราะหนังมังกรแดงที่หลิ่วหมิงมีอยู่ไม่ได้เลย และเนื่องจากคมเขี้ยวของมารอสรพิษ มีไม่ค่อยมาก บวกกับที่หลิ่วหมิงมีอาวุธจิตวิญญาณที่มีคุณสมบัติไม่เลวอยู่สองสามชิ้น ดังนั้นหลังจากเขาคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้ว ก็ขายมันออกไปทั้งหมด

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในขณะที่เถ้าแก่หลายร้านมองเห็นสิ่งของที่หลิ่วหมิงนำออกมา สายตาที่ร้อนผะผ่าวของพวกเขา ก็บ่งบอกว่ามันเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก

เพราะในแผ่นดินอวิ๋นชวน มีปีศาจระดับของเหลวไม่ค่อยมาก นับประสาอะไรกับระดับของเหลวขั้นปลายที่เข้าใกล้ระดับผลึกล่ะ

ส่วนลูกตาขนาดเท่ากำปั้นของมารอสรพิษ ก็มอบให้กับผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับของเหลวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในตลาด ให้เขาปรุงโอสถระดับอาจารย์จิตวิญญาณที่มีชื่อว่า ‘โอสถเบญจโรจน์’

ในขณะที่เรียนปรุงโอสถอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นต้าเสวียน เขาเคยเห็นฝานไป๋จื่อปรุงโอสถนี้ เขาบอกว่าต้องใช้ลูกตาของปีศาจอสูรประเภทอสรพิษเป็นวัตถุดิบหลัก

โอสถชนิดนี้ถือเป็นโอสถระดับกลาง รับประทานแล้วทำให้ดวงตาแจ่มชัด จิตใจปลอดโปร่ง สามารถมองทะลุหมอกหนาทึบในระยะหลายจั้งได้ มีผลดีต่อการทำลายค่ายกลและภาพลวงตาเป็นอย่างมาก

แม้ว่าการรับประทานลูกตาของอสรพิษที่มาจากมารอสรพิษระดับของเหลวขั้นปลายสดๆ จะมีผลทำให้ดวงตาแจ่มชัด จิตใจปลอดโปร่งเล็กน้อย แต่ก็ให้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจนเท่ากับการนำมาปรุงเป็นโอสถ และวิชาปรุงโอสถของหลิ่วหมิงก็สำเร็จในขั้นเล็กๆ แล้ว แม้จะสามารถปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณได้สำเร็จเจ็ดถึงแปดส่วน แต่โอสถเบญจโรจน์เป็นโอสถระดับอาจารย์จิตวิญญาณ ประการแรกเขาไม่มีตำรับโอสถ ประการที่สองก็ขาดประสบการณ์ ดังนั้นจึงให้ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่มีประสบการณ์มาปรุงจะดีกว่า

ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาถึงหน้าหอที่ดูไม่เตะตา ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตลาด หลังจากหรี่ตามองดูแล้ว ก็ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

“ผู้อาวุโสเฉียน ท่านหลิวรออยู่นานแล้ว ตามข้ามาเถอะ” พอเขาเดินเข้าไป ชายวัยกลางคนที่สวมชุดบัณฑิต ก็ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม และโค้งคารวะมาทางเขา

หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามชายผู้นั้นเข้าไปในหอ และเดินไปตามทางหินเล็กๆ ตรงหลังหอจนมาถึงหน้าถ้ำหินที่สูงประมาณสองจั้งกว่าๆ

ชายหนุ่มนำป้ายออกมาแผ่นหนึ่ง และโบกไปทางรอยเว้าบนประตู จากนั้นประตูก็ค่อยๆ เปิดออกมา มีกลิ่นโอสถจางๆ ลอยออกมาจากด้านใน

“ผู้อาวุโสเฉียน ท่านหลิวสั่งไว้ว่า เมื่อท่านมาถึงแล้วก็เข้าไปด้านในได้เลย ท่านรออยู่ข้างในแล้ว เชิญ!”

“รบกวนแล้ว!”

หลิ่วหมิงพยักหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา จากนั้นก็เดินเข้าไปในถ้ำคนเดียว หลังจากเดินทะลุระเบียงทางเดินเล็กๆ แล้ว ห้องโถงขนาดกว้างหลายจั้งก็ปรากฏแก่สายตา ด้านหลังของโถงใหญ่มีทางเดินหลายสาย ดูเหมือนจะมีถ้ำอื่นๆ อยู่

ผู้อาวุโสหนวดยาวสีขาว สวมชุดผ้าป่าน กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินที่ตั้งอยู่กลางห้อง เขากำลังสังเกตดูโอสถสีแดงๆ ที่อยู่ในมืออย่างไม่กระพริบตา สีหน้าเขาดูเบิกบานใจมาก โต๊ะตรงหน้ามีกล่องหยกแคบยาววางอยู่ใบหนึ่ง

“สหายเฉียนเป็นคนรักษาเวลาจริงๆ นี่คือโอสถเบญจโรจน์ ที่ท่านให้ข้าปรุงขึ้นมา”

พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา ผู้อาวุโสชุดผ้าป่านก็ระงับการแสดงออกทางสีหน้า และไม่กล่าวอะไรออกมาให้มากความ เขาแค่ผลักมือผ่านอากาศ กล่องหยกบนโต๊ะก็ลอยมาทางหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงยื่นมือรับกล่องหยกไว้ พอเปิดฝาออกมา ก็พบว่ามีโอสถสีแดงจางๆ จำนวนสามเม็ดที่มีลักษณะคล้ายกับที่ผู้อาวุโสถืออยู่ในมือ กลิ่นโอสถอันเข้มข้นที่ซึมซ่านไปทั่วหัวใจและม้ามพุ่งออกมา

“ไม่เลว! ครั้งนี้รบกวนท่านหลิวแล้ว”

พอเห็นว่าโอสถเบจโรจน์ปรุงออกมาได้สำเร็จ หลิ่วหมิวก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นก็มองดูสิ่งของในมือผู้อาวุโสอย่างไม่ใส่ใจ และทำการคารวะโดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา

“ลูกตาอสรพิษของสหายเฉียน เป็นวัตถุดิบระดับสูงและหาได้ยากยิ่ง แม้ว่าโอสถเบญจโรจน์เตานี้ จะเป็นโอสถระดับกลาง แต่คุณสมบัติมันสูงเกินกว่าที่โอสถเบญจโรจน์ทั่วไปจะสามารถเทียบได้ ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมน่ะหรือ…..รอสหายทานไปแล้วก็จะรู้เอง ตามที่ตกลงกันไว้ ไม่ว่าจะปรุงโอสถออกมาได้กี่เม็ดก็ตาม หนึ่งในนั้นจะต้องมีเม็ดหนึ่งที่เป็นค่าตอบแทน”

ผู้อาวุโสชุดผ้าป่านพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ สายตาของเขากลับมามองโอสถที่อยู่ในมือ โดยไม่มองหลิ่วหมิงอีก

หลิ่วหมิงปิดฝากล่องหยก และเก็บมันเข้าไปในยันต์เก็บของ จากนั้นก็กล่าวคำอำลา

หลังจากนั้น หลิ่วหมิงก็กลับเข้าห้องในโรงเตี๊ยมที่เขาเช่าพักชั่วคราว และหยิบธงค่ายกลหลากสีออกมาปักลงตามมุมต่างๆ ของห้อง หลังจากทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้ว ก็หยิบกล่องหยกในยันต์เก็บของออกมา

พอเปิดกล่องหยกออก โอสถสีแดงจางๆ ทั้งสามยังคงอยู่อยู่ในนั้น กลิ่นโอสถที่ลอยเข้าจมูก ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา

หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบมันใส่เข้าปากหนึ่งเม็ด

พอโอสถเข้าไปในปาก มันก็ละลายกลิ่นหอมหวานชุ่มคอออกมา พอตกถึงท้อง ไออุ่นก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นไปยังดวงตาทั้งคู่

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าดวงตาทั้งสองถูกความรู้สึกเย็นชุ่มชื้นห่อหุ้มอยู่ ทำให้รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก

หนึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อเขาลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้ง หลิ่วหมิงรับรู้ถึงความสดชื่นในดวงตาเป็นนัยๆ พอมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็รู้สึกว่ามองทะลุเมฆได้อย่างชัดเจนกว่าก่อนทานโอสถ

“พอลูกตาอสรพิษระดับของเหลวขั้นต้นโดยทั่วไป ถูกนำมาปรุงเป็นโอสถเบญจโรจน์แล้ว สามารถมองทะลุหมอกทึบในระยะหลายจั้งได้ และพอลูกตาของมารอสรพิษระดับของเหลวขั้นปลาย ถูกนำมาปรุงเป็นโอสถ คงให้ผลในระยะสามสิบกว่าจั้งขึ้นไป”

หลิ่วหมิงสัมผัสรสอร่อยที่ยังติดลิ้นอยู่ เขารู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ของโอสถเบญจโรจน์เป็นอย่างยิ่ง

จากนั้นหลิ่วหมิงก็หยิบยันต์เก็บของออกมาผืนหนึ่ง และแกว่งไปทางกล่องหยกที่ใส่ยันต์เบญจโรจน์ พอแสงสีขาวลำหนึ่งพุ่งผ่านไป กล่องหยกก็ถูกเก็บเข้าไปในนั้น จากนั้นเขาก็หยิบยันต์เก็บของออกมาอีกผืน พอแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา ก็มีถุงขนาดใหญ่ปรากฏออกมาหลายใบ

พอเขาเปิดถุงหนังใบหนึ่งออกมา อุณหภูมิในห้องก็ลดลงทันที ไอเย็นสะท้านพุ่งออกจากถุง ในนั้นเต็มไปด้วยทรายละเอียดสีแดงดำ

“สมกับเป็นตลาดใหญ่ที่มีการติดต่อกันในแผ่นดินอวิ๋นชวน ถึงได้ซื้อ ‘ทรายหยินแดง’ มาได้มากขนาดนี้ บวกกับวัตถุดิบที่ซื้อมาในหลายวันนี้ คิดว่าคงจะพอใช้ได้ครึ่งปีแล้ว”

หลิ่วหมิงจ้องมองเม็ดทรายสีแดงดำในถุงด้วยความดีใจ หลังจากสังเกตดูแล้ว ก็เก็บมันเข้าไปอีกครั้ง และนั่งขัดสมาธิลงไป

หลายวันต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงออกมาจาก ‘หอเก้าช่อง’ ที่หุบเขาเห้าช่องก่อตั้งขึ้นมา บนตัวของเขาก็มีหุ่นอสูรวานรเหล็กสองตัวที่กลายร่างเป็นลูกกลมๆ สีน้ำตาลแล้ว

พูดถึงหุ่นอสูรวานรเหล็กทั้งสอง วันแรกที่หลิ่วหมิงเข้ามาในหุบเขา ก็เดินผ่าน ‘หอเก้าช่อง’ โดยไม่ตั้งใจ หลังจากสืบดูเล็กน้อย ถึงทราบว่าตลาดแห่งนี้อยู่ติดกับหุบเขาเก้าช่อง ดังนั้นหุบเขาเก้าช่องจึงเปิดร้านขึ้นที่นี่ โดยทำการค้าหุ่นอสูรประเภทต่างๆ

แน่นอนว่าเขาเสียค่าใช้จ่ายไปไม่ใช่น้อย เพราะในสายตาของผู้คนในอวิ๋นชวนแล้ว หุบเขาเก้าช่อง เป็นนิกายเดียวที่โดดเด่นในด้านการสร้างหุ่นอสูร

ในขณะนั้น เขาก็ใช้หินจิตวิญญาณหลายพัน สั่งทำหุ่นอสูรวานรเหล็กที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ และนัดมารับหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน

แต่ก่อนที่อยู่ในเมืองหลวงของแคว้นต้าเสวียน หลิ่วหมิงเคยเรียนวิธีการควบคุมหุ่นอสูรขั้นพื้นฐานมาบ้าง และรู้วิชาควบคุมหุ่นอสูรแบบง่ายๆ แม้จะไม่สามารถเทียบกับวิชาควบคุมหุ่นของหุบเขาเก้าช่อง แต่ก็เหลือเฟือสำหรับหุ่นอสูรที่เขาสั่งทำเป็นพิเศษนี้แล้ว

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็มาที่ทางเข้าหุบเขา และกลายร่างเป็นลำแสงก่อนที่จะพุ่งออกไปจากตลาดชินโจว

ครึ่งเดือนต่อมา บนเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกันทางทิศใต้ของแคว้นต้าเสวียน เรือกลเหาะสีดำกำลังลอยอยู่กลางอากาศที่สูงจากพื้นร้อยกว่าจั้ง และกำลังพุ่งไปด้านหน้า

ชายหนุ่มสวมชุดสีเทา เอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าราบเรียบ กำลังยืนอยู่ส่วนหน้าของเรือกลเหาะ เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

พอแสงสีดำผ่านไป เรือเหาะก็หยุดตรงตีนเขาแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงมองไปรอบๆ และค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมา

สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากนิกายต่างๆ ในแคว้นต้าเสวียนมาก เมื่อเทียบกับนิกายต่างๆ แล้ว ปราณจิตวิญญาณฟ้าดินเหล่านี้ ไม่อาจเทียบได้เลย แต่สถานที่แห่งนี้มีผู้คนอยู่น้อย ซึ่งเลี่ยงการถูกรบกวนได้

อีกอย่าง เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่หลิ่วหมิงฝึกฝน จำต้องอาศัยพลังจากภายนอกมาฝึกฝนเป็นระยะเวลานาน ต้องการพลังปราณไม่มาก ด้วยเหตุนี้มันจึงเพียงพอแล้ว

หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่ง หลิ่วหมิงก็พยักหน้าด้วยความพอใจ แสงเปล่งประกายขึ้นบนตัวเขา จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในเทือกเขา

ในหุบเขาเล็กๆ ที่มีไอหมอกรายล้อม หลิ่วหมิงเปิดโพรงจากผนังหินที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง หลังจากปล่อยกระบี่สั้นสีทองออกไป ก็ปรากฏทางเดินแคบๆ ที่ทอดตรงไปสู่ไหล่เขา

……………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset