ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 328 ผลการคัดเลือกหกศิษย์

เทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกันในพื้นที่อันไกลโพ้นทางทิศใต้ของแคว้นต้าเสวียน สถานที่แห่งนี้ มีหมอกปกคลุมตลอดปี ปราณจิตวิญญาณเบาบางมาก

ท่ามกลางหุบเขาที่ดูไม่เตะตาในเขาไร้นามแห่งหนึ่ง เทียบกับสถานที่อื่นแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีปราณจิตวิญญาณหนาแน่นกว่าเล็กน้อย

ภายในห้องหินที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวเจ็ดแปดจั้งที่อยู่ตรงส่วนลึกของหุบเขา ความรู้สึกเย็นยะเยือกพุ่งขึ้นจากพื้น ทำให้อุณหภูมิในห้องดูเหมือนจะเย็นกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย

ใจกลางพื้น ศีรษะที่มีใบหน้าไร้ความรู้สึก ตั้งตรงอยู่ในทรายละเอียด

และทรายละเอียดสีดำแดงที่อยู่รอบด้าน ล้วนเปล่งแสงแวววาว ภายในเม็ดทรายแต่ละเม็ดมีไอดำค่อยๆ หมุนวนอยู่ ทำให้เกิดเป็นคลื่นแสงบนพื้นทรายเป็นระลอกๆ เพิ่มสีสันให้กับห้องหินอย่างน่าประหลาดใจ

ทรายละเอียดท่วมไปถึงต้นคอ ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท และหายใจตามจังหวะของไอเย็นยะเยือกที่พุ่งขึ้นมา

แม้ในห้องจะเย็นถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังมีเม็ดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วผุดขึ้นตรงหน้าผาก และเมื่อเวลาผ่านไป การแสดงออกบนใบหน้ากลับดูดิ้นรนขึ้นมา ราวกับว่ากำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เมื่อไอเย็นสะท้านบนห้องหินบิดเบี้ยวขึ้นมา ก็มีเสียงคำรามดังขึ้น หลังจากนั้น เงาร่างคนผู้หนึ่งก็กระโดดขึ้นจากพื้นทรายสีดำแดง “ฟู่!”

ร่างส่วนบนของเขาเปลือยเปล่า ภายใต้การแช่เม็ดทรายละเอียดเป็นเวลานาน ทำให้ปรากฏชั้นสีดำแดงออกมา ไอเย็นสะท้านยังคงพุ่งออกมา พอเขายกแขนขึ้น หยดวารีใสแจ๋วก็ร่วงลงจากอากาศ มันชำระทรายละเอียด และของเหลวที่หลงเหลืออยู่บนตัวจนหมดสิ้น

“ในที่สุดก็ได้เวลาสี่ชั่วยามแล้ว สามารถเริ่มต้นอีกครั้งได้แล้ว”

หลิ่วหมิงแหงนหน้า และถอนหายใจออกมา พอยืดเส้นยืดสาย ก็ได้ยินเสียงเอ็นและกระดูกดัง “เปรี๊ยะๆ!”

ดูจากเงาร่างแล้ว เมื่อเทียบกับก่อนเข้าหุบเขา ตอนนี้ดูแข็งแกร่งขึ้นมามาก

จากนั้น เขาเขาก็โยนสิ่งของบางอย่างไปในอากาศ ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่ามือ ลูกแสงกลมๆ สีส้มสองลูกพร่ามัวขึ้นมา หลังจากมีดังครอกแครก! หุ่นอสูรวานรเหล็กสีส้มสองตัวที่มีขนาดใหญ่สองจั้ง ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ

พอหลิ่วหมิงสะบัดมืออีกครั้ง ผลึกหินสีเหลืองสองก้อน ก็พุ่งไปฝังอยู่ตรงรอยเว้าบริเวณหน้าอกของหุ่นอสูรพอดี

“ฮึ่ม!”

“ฟู่!”

จากนั้นก็มีเสียงคำรามทุ้มต่ำดังออกมา แสงสีแดงเปล่งประกายขึ้นในดวงตาของหุ่นอสูร หลังจากม้วนตัวกลางอากาศรอบหนึ่งแล้ว ก็หล่นลงมาตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง จนทำให้ทรายละเอียดกระเด็นขึ้นมา ดวงตาของหุ่นอสูรวานรเผยแววดุร้ายออกมา และในปากก็มีคมเขี้ยวปรากฏอยู่อย่างหนาแน่น

หลิ่วหมิงตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณตรงเอวอย่างไม่ลังเล พอแสงสว่างม้วนตัวออกไป แมงป่องกระดูกที่มีเกล็ดสีแดงขนาดเท่าเม็ดถั่วปกคลุมไปทั่วร่าง ก็ปรากฏออกมาตรงหน้า

แมงป่องกระดูกส่งเสียงร้องประหลาดออกมา หลิ่วหมิงไม่ต้องสั่ง มันก็กระโดดไปอยู่ตรงกลางหุ่นอสูรทั้งสอง และสะบัด ‘หัวอสรพิษ’ ที่อยู่ตรงหลัง ด้วยอารมณ์คึกคักอยากจะลองโจมตีดู

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ทำท่ามือด้วยนิ้วทั้งห้า ไอดำพวยพุ่งออกมาจากร่าง และค่อยๆ หมุนวนรอบตัวเขาไม่หยุด ความรู้สึกคันค่อยๆ เกิดขึ้นทั่วร่าง แสงสีแดงเปล่งประกายออกมา เกล็ดสีแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าวโผล่ขึ้นมาบนผิวหนัง และขยายใหญ่อย่างรวดเร็วจนมีขนาดสองชุ่น มันปกคลุมไปทั่วร่างของเขา

หลิ่วหมิงกำมือทั้งสองลงด้านล่างอีกครั้ง จากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศสองที ไอหมอกสีมืดครึ้มพุ่งออกจากร่าง และแยกเป็นสองสายทันที มันกลายเป็นมังกรดำกับพยัคฆ์ขนาดใหญ่ และกระโจนเข้าหากันราวกับเป็นของจริง

จากนั้นก็มีเสียงมังกรกับเสียงพยัคฆ์คำรามออกมา มันหดตัวกลับมาหาหลิ่วหมิง คิดไม่ถึงว่ามันจะหมุนวนตัดสลับกันไปมาอยู่บนร่างของเขาราวกับมีชีวิต

จากนั้น หลิ่วหมิงก็ใช้จิตสัมผัสกับแมงป่องกระดูก ขณะเดียวกันก็ใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังทำท่ามือด้วยมือเดียว สั่งให้วานรเหล็กทั้งสองตัวทำการโจมตี

แมงป่องกระดูกรับคำสั่ง และกระโดดตัวขึ้นมาทันที มันส่งเสียงร้องประหลาด “แกว๊กๆ!” พร้อมกับสะบัด ‘หัวอสรพิษ’ ตรงหลังจนดูพร่ามัว เงาดำจำนวนมากโจมตีลงบนร่างหลิ่วหมิง แต่ก็ต้องระเบิดออกมา

หลังจากแมงป่องกระดูกผ่านด่านเคราะห์สายฟ้าสวรรค์แล้ว พลังของมันก็เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นต้น บวกกับตอนที่ผ่านด่านเคราะห์ ได้กลืนกินชิ้นส่วนของมังกรแดงระดับผลึกไป การโจมตีของมันจึงแข็งแกร่งเกินกว่าที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวทั่วไปจะสามารถรับได้

และภายใต้การต่อต้านของเกล็ดที่อยู่มีทั่วร่างกับเคล็ดวิชากระดูกดำ และเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำให้ร่างกายของหลิ่วหมิงแข็งกว่าผู้ฝึกร่างระดับของเหลวขั้นปลายโดยทั่วไปมาก เมื่อเทียบกันแล้ว การป้องกันของหลิ่วหมิงจะเหนือกว่าชั้นหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ แม้การโจมตีของ ‘หัวอสรพิษ’ ของแมงป่องกระดูกจะรวดเร็วจนน่าตกใจ และเสียงที่ระเบิดออกมากลางอากาศก็ดังอยู่ไม่ขาดสาย แต่นอกจากมันจะทิ้งจุดขาวๆ กับเสียงดังเต๊งๆ! บนเกล็ดทั่วตัวหลิ่วหมิงแล้ว ก็ไม่สามารถทำลายการป้องกันนี้ได้ แต่กลับทำให้หลิ่วหมิงต้องแสยะปากให้กับการโจมตีอย่างต่อเนื่องของมัน ราวกับว่ารับมือได้ยากนัก

และในขณะเดียวกัน หุ่นอสูรวานรเหล็กสองตัว ก็เหมือนจะควักกระบองยาวสองจั้งออกมาอย่างไม่ลังเล กระบองเหล็กในมือตีใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง และส่งเสียงดัง “อู้ๆ!” อยู่ไม่หยุด

หลิ่วหมิงกำมือทั้งสองไว้แน่น เขายังคงยืนอยู่ตรงกลางเป็นเวลานาน ไม่ว่าแมงป่องกระดูกกับหุ่นอสูรวานรเหล็กจะทำการโจมตีเขาแค่ไหน เขาก็ทำเสียงอู้อี้อยู่ไม่หยุด มังกรพยัคฆ์บนตัวก็หมุนวนไม่หยุดเช่นกัน เอ็นใต้เกล็ดตรงหน้าผากและมือทั้งสองนูนขึ้นมา และมีเหงื่อผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง สีหน้าเขาดูทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก

นอกจากนั่งขัดสมาธิเข้าฌานตามปกติแล้ว หลิ่วหมิงยังใช้ของเหลวจิตวิญญาณที่ผสมเองมาชุบร่างทุกวัน และฝังร่างไว้ในทรายหยินแดง สุดท้ายก็เรียกแมงป่องกระดูกกับหุ่นอสูรทุบตีทั่วร่างเป็นเวลานานหนึ่งชั่วยาม เพื่อทำให้พลังของโอสถซึมเข้าไปในเอ็นและกระดูก และให้ร่างของเขาหล่อหลอมในสภาพไอหยินที่เขาประกอบขึ้นมา จนได้ใกล้จะได้เวลาครึ่งปีแล้ว

วันนี้ หลิ่วหมิงผ่านการแช่ทรายหยินแดงและการทุบตีของแมงป่องกระดูกกับหุ่นอสูรจนครบห้าชั่วยามอีกครั้ง พอกลับไปในห้องหินตรงไหล่เขา ก็นั่งขัดสมาธิลงพื้น และทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นก็นำจิตจมดิ่งเข้าไปในทะเลจิตรับรู้

ศิลาหุนเทียนยังคงลอยอยู่ในทะเลจิตรับรู้อย่างเงียบๆ เม็ดทรายส่วนล่างก็หนาขึ้นกว่าตอนออกจากนิกายปีศาจชั้นหนึ่ง

ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก จิตของเขาก็เคลื่อนไหว จากนั้นแสงสีดำก็กระพริบผ่านไป คัมภีร์มังกรพยัคฆ์ทมิฬเล่มนั้นปรากฏออกมา และเริ่มพลิกไปทีละหน้า

ครึ่งปีมานี้ เขาทำความเข้าใจขั้นที่สองของเคล็ดวิชานี้ทุกวัน แม้ว่าจะไม่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ผลลัพธ์ที่เขาได้จากการฝึกร่างจากพลังภายนอก กลับดูคล้ายกับที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ แม้ว่าความคืบหน้าจะไม่ค่อยเร็วก็ตาม หากอยากฝึกฝนขั้นสองให้เสร็จ ดูท่าใช้เวลาฝึกฝนสิบกว่าปีก็คงไม่สำเร็จ

หลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้

แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า หากฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองสำเร็จ ก็สามารถเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายได้ การใช้เวลาหลายปี ยกระดับจากของเหลวขั้นกลางไปสู่ขั้นปลายได้นั้น ในสายตาของผู้คนในอวิ๋นชวนแล้ว นับว่าความเร็วระดับนี้ เป็นพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ศิษย์แกนนำที่เก่งกาจของนิกายขนาดใหญ่ ก็ไม่กล้านึกถึงเรื่องนี้

อย่างที่รู้ว่า ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนที่มีชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์ หรือชีพจรจิตวิญญาณพสุธา ก็ต้องอยู่ในระดับของเหลวนานสิบกว่าปีจนกระทั่งหลายสิบปีก็เป็นได้ เพราะผู้ฝึกฝนส่วนมากต่างก็ต้องเผชิญกับปัญหาคอขวดในขณะบรรลุขั้น ไม่เพียงแต่ต้องลำบากฝึกฝนเป็นเวลานาน ยังต้องอาศัยโอกาสและดวงด้วย

“ดูท่า การฝึกร่างของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้ ยังคงต้องยืนหยัดต่อไป แต่ว่าของเหลวที่ใช้ฝึกร่างมีไม่พอแล้ว ในเมื่อให้ผลลัพธ์ที่ไม่เลว ครั้งนี้ต้องซื้อมาให้มากหน่อย”

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่เช่นนี้ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาอย่างไม่ลังเล หลังจากจัดการอะไรบางอย่างเล็กน้อยแล้ว ก็เดินไปหน้าถ้ำ พอเขาสะบัดแขนเสื้อ แสงสีดำก็ม้วนตัวออกไป พอทำท่ามือชี้ออกไป แสงสีดำก็สั่นไหวตามแรงลม และกลายเป็นเรือเหาะสีดำที่มีขนาดหลายจั้ง

เขาเหาะลงบนส่วนหน้าของเรือเหาะอย่างมั่นคง พอเท้าข้างหนึ่งแตะพื้นเบาๆ เรือกลเหาะก็ส่งเสียงดัง “ฟู่!” และกลายเป็นแสงสีดำพุ่งไปทางตลาดชินโจว

……

“แม้แต่คุณสมบัติชีพจรจิตวิญญาณพสุธา ก็ไม่อาจเข้าไปในหกศิษย์ได้ ดูท่าแม้ว่าแผ่นดินอวิ๋นชวน จะเป็นแค่มุมๆ หนึ่งบนโลกใบนี้ และเป็นแค่เกาะๆ หนึ่งของทะเลชังไห่ แต่ความล้ำลึกที่แฝงอยู่ ก็ใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้”

หนึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงกลับมาที่ถ้ำอีกครั้ง

การเดินทางไปตลาดครั้งนี้ ไม่เพียงแค่ได้สิ่งของเป็นจำนวนมาก วัตถุดิบที่ใช้สำหรับผสมของเหลวจิตวิญญาณเพื่อฝึกร่าง ก็เพียงพอที่จะใช้ได้นานหลายปี ขณะเดียวกัน ข่าวที่เล่าลืมตามร้านค้าและที่พักต่างๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับผลการคัดเลือกหกศิษย์ของกลุ่มพันธมิตรอวิ๋นชวน

เป็นถึงหกศิษย์ที่จะถูกนิกายทั่วทั้งแผ่นดินบ่มเพาะ ผู้ที่ถูกเลือกไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันคุณสมบัติที่มีศักยภาพของเขา แต่ยังมีความเป็นไปได้ว่าสามารถเข้าสู่ระดับผลึกได้ แม้กระทั่งมีความหวังเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน และแก่นแท้ในตำนานได้

เพราะการฝึกฝน นอกจากจะมีคุณบัติกับการฝึกฝนอย่างยากลำบาก และโอกาสอันดีแล้ว ทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกฝนก็สำคัญเป็นอย่างมาก บางครั้งอาจสำคัญมากกว่าทั้งสามอย่างที่กล่าวถึงด้วยซ้ำ

และผู้ฝึกฝนอิสระจำนวนมากกับผู้ฝึกฝนในตระกูลที่มีชื่อเสียง ล้วนมีโอกาสในการเปิดจิตวิญญาณสำเร็จต่ำมาก เพราะเกิดจากการขาดทรัพยากรในการฝึกฝน ตระกูลไป๋ในปีนั้น ก็นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

ต่อให้ไม่สามารถกลายเป็นแก่นเสมือนและแก่นแท้ในตำนาน แต่กลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกได้ หลังจากต่อต้านเผ่าเจ้าสมุทรที่เข้ามารุกรานในอนาคตได้แล้ว การก่อตั้งนิกายจนทีชื่อเสียงในอวิ๋นชวน ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้

เพราะดูจากทั่วทั้งแผ่นดินอวิ๋นชวนแล้ว ระดับผลึกนับว่าเป็นผู้แข็งที่แท้จริง และมีไม่มาก

เพราะการคัดเลือกสามแก่น คัดเลือกจากคนไม่กี่คน และได้จบลงไปนานแล้ว ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงสนใจเรื่องการคัดเลือกหกศิษย์มาก และไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้

ซึ่งเหมือนกับที่ศิษย์พี่หวงกับประมุขนิกายปีศาจกล่าวไว้ เกาชงเป็นศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาที่นิกายปีศาจเสนอชื่อไป และไม่ถูกคัดเลือกเป็นหนึ่งในหกศิษย์

และจางซิ่วเหนียงแห่งนิกายจันทราสวรรค์กับเย่เทียนอวี่ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์จากนิกายหยวนหมัว ที่หลิ่วหมิงเคยได้ยินชื่อในก่อนหน้านั้น ถูกคัดเลือกเป็นหนึ่งในนั้น และอีกสี่คนก็เป็นศิษย์ผู้มีพรสวรรค์จากนิกายอื่นๆ

แม้ว่าหลิ่วหมิงจะสนใจเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ด้วยคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณของเขา มันไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับหกศิษย์มากนัก

สำหรับเขาแล้ว การฝึกร่างในตอนนี้สำคัญกว่า

หลิ่วหมิงครุ่นคิดเสร็จแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิลงไปในห้องหิน และเริ่มกำหนดลมหายใจขึ้นมา

ครึ่งปีผ่านไป

วันนี้ ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังใช้โอสถจิตวิญญาณจำนวนมากถูร่างกาย และเตรียมฝังตัวลงในทรายหยินแดงนั้น ก็มีเสียงดัง “หวึ่งๆ!” มาจากถุงหนังใบหนึ่งที่อยู่บนเอว

……………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset