สองเดือนต่อมา เรือเหาะรูปกระสวยกำลังพุ่งตรงไปยังฝั่งตะวันออกสุดของแผ่นดินอวิ๋นชวน
ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวที่ยืนอยู่ส่วนหน้าของเรือ กำลังหรี่ตามองสำรวจไปรอบด้าน
เขาคือหลิ่วหมิงที่ออกทะเลกับเย่เทียนเหมยนั่นเอง
ขณะนี้ เย่เทียนเหมยกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาพักผ่อนอยู่ตรงท้ายเรือ ราวกับว่าไม่สนใจทิวทัศน์รอบด้าน
“นี่ก็คือทะเลชังไห่ในตำนานหรือ?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ในใจ สีหน้าดูตื่นเต้นมาก
พอมองออกไป ทุกหนแห่งล้วนเป็นน้ำสีฟ้าที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
ทะเลไร้ขอบเขตแห่งนี้ เคยได้ยินแต่ประมุขนิกายปีศาจพูดถึง แต่พอวันนี้ได้เห็นกับตาตัวเอง ก็รู้สึกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างมาก เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็หันกลับไปมองทิศทางที่จากมาทีหนึ่ง
แผ่นดินอวิ๋นชวน ไม่ใช่สิ……ควรพูดว่าเกาะอวิ๋นชวนมากกว่า เกาะอวิ๋นชวนดูพร่ามัวลง และเล็กลงเรื่อยๆ ยังพอเห็นสิ่งก่อสร้างเป็นจุดสีดำอยู่รำไร ผิวทะเลรอบด้านกับแสงแดดเจิดจ้าที่ส่องลงมา ดูคล้ายกับว่ามันถูกปกคลุมด้วยม่านแสงสีเหลืองจางๆ
ตอนนี้ สีหน้าหลิ่วหมิงดูสงบเป็นอย่างมาก แต่กลับรู้สึกเศร้าใจอย่างอดไม่ได้
ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะนี้มายี่สิบกว่าปี ตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาจนกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ดูเหมือนว่าตอนนี้ เขาจะเป็นแค่มดตัวหนึ่งในเขตทะเลชังไห่เท่านั้น
เพราะนอกจากทะเลชังไห่แล้ว ยังมีแผ่นดินจริงๆ อย่างแผ่นดินจงเทียน แผ่นดินหมานฮวง แผ่นดินว่านหมัว เป็นต้น
ต่อให้จะเป็นแผ่นดินขนาดรองลงมาที่มนุษย์ครอบครอง ก็ยากที่เกาะอย่างอวิ๋นชวนจะเปรียบเทียบได้
และสถานที่เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เผ่าอสูร หรือเผ่าปีศาจ ล้วนต้องใช้กำลังในการคุยกัน แค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่ง มันไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึง
“ดูท่านี่ถึงจะเป็นโลกที่แท้จริง”
หลิ่วหมิงสูดกลิ่นไอเค็มๆ ของทะเลเข้าไปเล็กน้อย และพูดพึมพำออกมา
ไม่ว่าใครก็ตาม ที่คิดว่าตนเองยืนมั่นบนโลกใบนี้แล้ว แต่กลับค้นพบว่าตนเองเป็นแค่กบในกะลา ก็คงรู้สึกจืดชืดไม่น้อย
“ดูท่าศิษย์หลานหลิ่ว จะรู้สึกสะเทือนใจแล้ว?” ไม่รู้ว่าเย่เทียนเหมยที่นั่งอยู่ตรงท้ายของเรือ มายืนข้างหลิ่วหมิงตั้งแต่เมื่อไหร่
ชุดสีเงินของนางค่อยๆ ปลิวไสวตามลม ดวงตางดงามจ้องมองขอบฟ้าด้วยสายตาที่เปล่งประกาย ทำให้รู้สึกถึงความชีวิตชีวา และสะอาดบริสุทธิ์
“อาจารย์อาเย่ ในเมืองยักษ์ปีนั้น ข้าน้อยเคยได้ยินท่านพูดถึงเหล็กทมิฬที่เป็นวัสดุระดับสุดยอดในการหลอมกระบี่บิน ไม่ทราบว่ากระบี่บินที่หลอมจากวัสดุชิ้นนี้ มีลักษณะพิเศษตรงไหนหรือไม่?” หลิ่วหมิงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่กลับถามเย่เทียนเหมยเกี่ยวกับวิชากระบี่บิน
“เจ้าเคยได้ยิน ‘กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ’ ไหม?” เย่เทียนเหมยหันมามองหลิ่วหมิง ก่อนหันกลับไปมองขอบฟ้าอีกครั้ง และถามอย่างลึกซึ้ง
“ข้าน้อยเคยรู้เรื่องตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณของกระบี่บินจากหอเก็บคัมภีร์ในนิกาย ไม่ทราบว่า ‘กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ’ ที่อาจารย์อากล่าวถึง มีความเกี่ยวพันกันหรือไม่?” พอหลิ่วหมิงได้ยินชื่อ ‘กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ’ ก็รู้สึกตกใจมาก แต่ก็ตอบกลับไปด้วยสีหน้าปกติ
“ไม่เลว! ‘กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ’ ที่กล่าวถึง ก็คือการใส่ตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณที่บ่มเพาะด้วยเลือดและวิญญาณของตนเองลงไปในกระบี่บินที่หลอมเสร็จแล้ว ทำให้ทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในตำนาน และถ้ายิ่งเป็นตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณที่มีอานุภาพแข็งแกร่ง คุณสมบัติของกระบี่บินที่จะใส่มันลงไปก็ยิ่งต้องมีคุณภาพสูง มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่ตัวกระบี่บินจะรองรับอานุภาพไม่ไหวจนระเบิดออกมา แต่ยังทำลายตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณที่บ่มเพาะ จนทำให้เจ้าของได้รับบาดเจ็บสาหัส และเหล็กทมิฬเป็นโลหะที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก ทั้งยังสามารถรวบรวมปราณฟ้าดินเองได้ ย่อมเป็นวัสดุชั้นยอดในการรองรับตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณ” เย่เทียนเหมยค่อยๆ กล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
แม้จะบอกว่าหลิ่วหมิงรู้จัก ‘กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ’ จาก ‘เคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง’ ในตอนนั้น แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะเกิดเรื่องที่กระบี่บินรับอานุภาพของตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณไม่ไหวจนระเบิดออกมา ตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งในทะเลจิตวิญญาณเล่มนั้น ไม่เพียงแต่เกิดจากการดูดซับไอบริสุทธิ์ของเหล็กทมิฬ แต่ยังแฝงไปด้วยอานุภาพที่ปรมาจารย์ลิ่วยินบ่มเพาะมานานหลายร้อยปี หากเสี่ยงใส่มันลงในกระบี่จันทราทองคำ ไม่แน่อาจจะทำให้มันระเบิดออกมาก็ได้
แม้ว่าในตอนท้าย กระบี่จันทราทองคำจะถูกผสมเปลวทองคำหลอมเหลวเข้าไป แต่วัสดุที่ใช้หลอมในตอนแรกค่อนข้างธรรมดาไปหน่อย
หรือว่าเขาต้องไปหาเหล็กทมิฬมาทำเป็นตัวกระบี่บิน ถึงจะหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่แท้จริงของตัวเองได้จริงๆ
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ไม่หยุด
ขณะนี้ เย่เทียนเหมยก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“แท้จริงแล้ว ‘กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ’ นับว่าเป็นลูกตัวอ่อนของอาวุธเวทย์ หากฝึกฝนต่อไปล่ะก็ ตามเคล็ดฝึกกระบี่และระดับการฝึกฝนของผู้ฝน มันจะค่อยๆ บ่มเพาะเพิ่มชั้นจำกัดในกระบี่ และเมื่อก่อตัวเป็น ‘เม็ดกระบี่’ แล้ว ถึงจะนับว่าเป็นกระบี่บินที่เป็นอาวุธเวทย์ระดับสุดยอด”
พอกล่าวจบ กลิ่นไอกระบี่อันน่าตกใจก็แผ่ออกจากร่างหลิ่วหมิง ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกว่า บริเวณจุดตันเถียนค่อยๆ ร้อนขึ้นมา
โชคดีที่ดูเหมือนว่าเย่เทียนเหมยจะสัมผัสกลิ่นไอนี้ไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนหยุดหายใจไปทันที
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงก็มีเหงื่อผุดออกมาเต็มหลัง
โชคดีที่เย่เทียนเหมยไม่ได้ใส่ใจด้วยเช่นกัน
“ผู้น้อยขอขอบคุณอาจารย์อาเย่ที่ชี้แนะ!” หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง และรีบหันมากล่าวอย่างนอบน้อม
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงไม่ได้พูดเรื่องการฝึกฝนต่อ แต่กลับเริ่มสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับเกาะตะพาบน้ำโดยละเอียด
จากที่ทราบจากปากเย่เทียนเหมย ขณะนี้มีสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่อยู่บนเกาะตะพาบน้ำ และแต่ละกลุ่มต่างก็มีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกคอยดูแล หุบเขาผลึกคือหนึ่งในนั้น และก็เป็นกลุ่มอิทธิพลที่ทำการค้ากับเกาะอื่นๆ ถี่ที่สุด พวกเขามีสายแร่หินจิตวิญญาณที่หาได้ยากเป็นจำนวนมาก และสามารถผลิตผลึกหินต่างๆ ได้ไม่น้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มพันธมิตรอวิ๋นชวนขาดแคลนนั่นเอง
ตามที่เข้าใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำการค้ากับพันธมิตรอวิ๋นชวน เพียงแต่หลายครั้งก่อน ไม่ได้มีอะไรพลิกแพลงมากนัก
และกลุ่มอิทธิพลอีกสองกลุ่มก็คือ ‘เขาหมื่นสมบัติ’ กับ ‘วังเปลวเพลิงดำ’ วังเพลิงดำยึดกุมทรัพยากรแร่หินหายากบนเกาะเป็นจำนวนมาก และทำการค้ากับเกาะบริเวณนั้นอยู่บ้าง วังเพลิงดำยึดกุมสระเพลิงพิภพ สามารถเรียกเพลิงพิภพประเภท ‘เพลิงน้ำค้างดำ’ ได้!
ทั้งสามกลุ่มอิทธิพลย่อมต่อสู้กันทั้งในที่แจ้งและที่ลับอยู่ไม่หยุด แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ออกมา กลุ่มอิทธิพลระดับกลางและระดับเล็ก ต่างก็แอบพึ่งพากลุ่มอิทธิพลทั้งสามนี้ ทำให้เกาะตะพาบน้ำรักษาสถานการณ์ที่สมดุลมานานร้อยกว่าปี
สิ่งนี้ก็ทำให้ผู้ฝึกฝนแต่ละเผ่าค่อยๆ มาตั้งรากฐาน ณ สถานที่แห่งนี้ และก็ทำให้เกาะนี้ค่อยๆ ปะปนไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด
……
หลังจากเหาะไปได้หลายวัน อาจเป็นเพราะเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลชังไห่ ถึงได้มีพายุแปลกประหลาดพัดอยู่บนท้องฟ้าตลอด
เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการเดินทางในครั้งนี้ เย่เทียนเหมยจึงควบคุมให้เรือเหาะลอยอยู่ห่างจากผิวทะเลสิบเจ็ดถึงสิบแปดจั้ง
แต่ก็ทำให้ทั้งสองไม่อาจหลีกเลี่ยงการโจมตีของอสูรสมุทรได้ แต่ส่วนมากก็เป็นอสูรสมุทรระดับต่ำอย่างระดับศิษย์จิตวิญญาณ และพบกับระดับของเหลวหนึ่งถึงสองตนเป็นครั้งคราว ซึ่งก็เป็นระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น
เย่เทียนเหมยย่อมไม่ต้องลงมือเอง ซึ่งมอบให้หลิ่วหมิงจัดการทั้งหมด และเขาก็จัดการได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เพราะได้ผลึกอสูรสมุทรมาจำนวนมาก เมื่อนำไปบนเกาะตะพาบน้ำ ก็เป็นรายได้น้อยๆ ให้กับเขา
……
หลังจากเดินทางไปได้ครึ่งเดือน
วันนี้ ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ส่วนหน้าของเรือนั้น พลันมีพายุปีศาจโจมตีเข้ามา ทำให้เรือเหาะโคลงเคลงอยู่ไม่หยุด
จากนั้นเสียงแผดร้องแสบแก้วหูก็ดังมาจากท้องฟ้า หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสองลง นกเขาดำที่สีขนาดใหญ่ห้าหกจั้งกำลังบินมาทางด้านหน้า รอบตัวของมันมีพายุปีศาจสีดำหมุนวนอยู่ มันส่งเสียงร้องและพุ่งมาทางหลิ่วหมิง
ดูจากกลิ่นไอแล้ว มันมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลาง
หลิ่วหมิงหันไปมองทีหนึ่ง เย่เทียนเหมยยังคงยืนอยู่ส่วนหลังของเรือโดยไม่สนใจ นางนั่งขัดสมาธิลง และยิ้มขมขื่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ขณะนั้น หลิ่วหมิงก็กลายเป็นลำแสงสีดำลอยอยู่กลางอากาศอย่างไม่ลังเล และคุมเชิงกับปีศาจวิหคอยู่
ทันใดนั้น ร่างของปีศาจวิหคก็พร่ามัว หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีเสียงพายุปีศาจแผดร้องก้องฟ้า พอด้านหน้ามืดลง ร่างของเขาก็จมปลักอยู่ในกลุ่มสีดำ
สีหน้าหลิ่วหมิงยังคงไม่เปลี่ยน แต่ในมือจับกระบี่สั้นสีทองไว้แน่น ทันทีที่เขาพุ่งออกไป หนามสีทองจำนวนมากก็พุ่งยิงออกมา และกลายเป็นแสงสีทองพุ่งยิงไปกลางอากาศ
มีเสียงร้องดังออกมาอย่างน่าเวทนา!
พายุปีศาจตรงหน้าหายไปในพริบตา แต่ดูจากรอยเลือดบนหางของปีศาจวิหคแล้ว ดูเหมือนว่าจะได้รับความเสียหายไม่น้อย มันจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยแววตาอันโหดเหี้ยม
อย่างที่รู้ว่า หลิ่วหมิงเคยทานโอสถเบญจโรจน์ที่ปรุงมาจากลูกตาของมารอสรพิษ สามารถมองทะลุหมอกดำในระยะสามสิบจั้งได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ปีศาจวิหคตนนี้ไม่ทันได้ป้องกัน เห็นได้ชัดว่ามันประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปหน่อย
แต่ปีศาจวิหคที่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับของเหลวขั้นกลางได้ สติปัญญาของมันย่อมไม่เบา
พายุปีศาจสีดำหมุนวนติ้วๆ และหายไปในพริบตา
หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง และรู้สึกตกใจเล็กน้อย
พอมีเสียงดัง “ฟู่!” หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่ามีเสียงดังหวึ่งๆ ตรงหลัง ปีศาจวิหคปรากฏอยู่ตรงหลังเขาไม่ไกล พายุปีศาจรอบตัวกลายเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่ม้วนตัวมาทางหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงหมุนตัวกลับมา และโยนกระบี่สั้นสีทองออกไปอย่างไม่ลังเล และทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว
กระบี่สั้นสีทองพร่ามัวขึ้นมาทันที จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งอันน่าตกใจม้วนตัวออกไป เพียงแค่เปล่งประกายทีเดียว ก็ดูเหมือนว่าจะกระพริบผ่านลำคอของปีศาจวิหคไป
ฉากอันน่าประหลาดใจได้ปรากฏขึ้นแล้ว!
พอแสงกระบี่สีทองกระพริบผ่านไป ปีศาจวิหคก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือทิ้งไว้เพียงขนสีดำที่ร่วงหล่นลงมา
มาถึงขณะนี้ หลิ่วหมิงก็มองออกว่าปีศาจวิหคตนนี้ ชำนาญวิชาการโจมตี ทั้งยังไปมาอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงหลับตาทั้งสองทันที และลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ
พายุปีศาจก่อตัวขึ้นตรงหลัง พอปีศาจวิหคปรากฏออกมา ร่างหลิ่วหมิงก็พร่ามัวทันที
ครู่ต่อมา มีเงาร่างปรากฏเหนือร่างปีศาจวิหค หลิ่วหมิงปรากฏตัวออกมา พอโบกมือไปด้านหน้า ไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา และถูกเขาคว้าไว้แน่น มันกลายเป็นมุกกลมๆ สีดำเม็ดหนึ่ง เขากำมุกกลมๆ ไว้แน่น และเผยสีหน้าดุร้ายออกมา จากนั้นก็โจมตีปีศาจวิหคที่อยู่ด้านล่างอย่างบ้าคลั่ง
“ตู๊ม!”
ปีศาจวิหคถูกทุบตีจนกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง
ร่างส่วนที่ถูกเขาโจมตีมีขนหลุดร่วงลงมา เหมือนว่ามันจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ดวงตาแดงก่ำของมันเผยแววหวาดกลัวออกมา
ในที่สุดปีศาจวิหคก็หมุนตัวบินหนีไปด้วยความไม่พอใจท่ามกลางเสียงแผดร้องของพายุปีศาจ
……………………………………