บนพื้นที่รกร้างว่างเปล่าติดกับป่าดงดิบที่ห่างจากเมืองกู่หนานไปสิบกว่าลี้
พอมองออกไป จะเห็นว่านอกจากหินขนาดน้อยใหญ่แล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีหญ้าขึ้นเลย
หลิ่วหมิงเอามือไขว้หลัง และจ้องมองวัดร้างตรงหน้า รูม่านตาของเขาค่อยๆ หดลง
ตั้งแต่ออกจากหอสุราไผ่เขียว เขาก็สะกดรอยตามสองปู่หลานนี้ออกจากเมือง
หลังจากหลิ่วหมิงตามทั้งสองเข้ามาในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าแห่งนี้แล้ว ทั้งสองก็หายตัวไปโดยฉับพลัน
หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้ว และปล่อยพลังจิตตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้น
แม้ว่าพลังจิตของเขาในตอนนี้จะแข็งแกร่งมาก แต่กลับไม่ค้นพบสิ่งใดเลย
แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงรู้สึกว่าอากาศตรงหน้าพร่ามัว เงาดำพรุ่งออกจากป่าดงดิบที่อยู่ข้างวัดร้าง มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ชั่วแวบเดียวก็มาถึงตรงหน้า และปะทะใส่ร่างเขา
ภายใต้การโจมตีที่คาดไม่ถึงนี้ มีพลังบางอย่างไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องร่นถอยออกไปหลายก้าว
แต่การปะทะนี้กลับไม่เป็นอันตรายต่อหลิ่วหมิงแต่อย่างใด หลังจากกระตุ้นพลังเวทย์แล้ว ร่างของเขาก็กลับมายืนอย่างมั่นคง
เพียงแต่ตำแหน่งที่ถูกปะทะเมื่อครู่ มีหลุมปรากฏขึ้นมาลางๆ
หลิ่วหมิงค่อยๆ หรี่ตาลง สายตาเขากวาดดูเงาดำที่อยู่ใจกลางหลุม
ที่แท้เงาดำก็เป็นอสรพิษยักษ์ตัวหนึ่ง มันมีสีดำวาวทั้งตัว ดูคล้ายกับว่าเกิดจากการปะติดปะต่อกันเป็นชิ้นๆ เกล็ดขนาดเท่าปากถ้วยบนตัวเปล่งลำแสงเย็นสะท้านออกมา แต่ทว่าแววตามันไม่มีพลังชีวิต ประจักษ์ชัดว่าเป็นแค่หุ่นอสูรเท่านั้น
ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสชุดเหลืองกับหญิงสาวชุดเหลืองก็ค่อยๆ เดินออกมาจากหลังวัดร้าง
พวกเขาก็คือปู่หลานสองคนที่เจอในหอสุรานั่นเอง
สายตาหญิงสาวชุดเหลืองจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างไม่เป็นมิตร
แม้ผู้อาวุโสชุดเหลืองจะมีสีหน้าสงบ แต่กลับรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา เขารู้สึกแปลกใจที่ชายหนุ่มชุดคลุมสีเทาตรงหน้า สามารถต้านทานการโจมตีของหุ่นอสูรได้
แต่ชายหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะยังเด็กเกินไป ดังนั้นผู้อาวุโสจึงไม่กังวลกับเรื่องนี้มากนัก
อีกฝ่ายมีระดับการฝึกฝนที่จำกัด แม้จะมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็พอจะรับมือได้
หลิ่วหมิงจ้องมองผู้อาวุโสกับหญิงสาว และคว้ามือออกไปกลางอากาศ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากนิ้วทั้งห้า
หลิ่วหมิงรู้ว่า ขณะนี้อธิบายอะไรไปก็ไร้ประโยชน์
ทั้งสองเป็นคนที่มาจากภายนอก ทั้งยังถูกตนเองสะกดรอย จะต้องเห็นตนเองเป็นศัตรูอย่างแน่นอน อีกอย่างคนสูญหายที่พวกเขาพูดถึง ก็มีความสัมพันธ์กับพวกเขาไม่น้อย ใช้วิธีการทั่วไปไม่อาจทำให้พวกเขาพูดความจริงออกมาได้
ตอนนี้ เขาคงต้องใช้ท่าไม้ตายบางอย่างถึงจะได้ผล
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสชุดเหลืองก็ไม่อยากพูดจาไร้สาระกับหลิ่วหมิง เขาทำท่ามือด้วยมือขวา จากนั้นก็ชี้ไปทางหุ่นอสรพิษยักษ์
หุ่นอสรพิษยักษ์ชูคอแผดเสียงออกมาทันที หางขนาดใหญ่ฟาดลงฟื้นอย่างรุนแรง ร่างของมันพร่ามัวกลายเป็นเงาดำพุ่งมาหาหลิ่วหมิง ขณะเดียวกัน อากาศตรงที่ร่างอสรพิษพุ่งผ่านก็บังเกิดเสียงดังขึ้นมา
“ตู๊ม!”
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำหนาแน่นพวยพุ่งออกมาจากตัว หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันเหนือศีรษะแล้ว ก็กลายเป็นเป็นเงาร่างมังกรดำ มันหมุนวนอยู่กลางอากาศบริเวณนั้นทีหนึ่ง จากก็พุ่งลงไปด้านล่าง สุดท้ายมาหมุนวนอยู่บนแขนขวาหลิ่วหมิง
มันคือขั้นแรกของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่หลิ่วหมิงฝึกฝนนั่นเอง!
หลิ่วหมิงขยับแขนอย่างไม่ลังเล เขาทุบกำปั้นใส่หุ่นอสรพิษที่พุ่งเข้ามา
บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
จากนั้นแสงสีดำก็เปล่งประกายตรงหน้าหลิ่วหมิง คลื่นสะเทือนอันรุนแรงพุ่งเข้ามาจากอากาศ อสรพิษยักษ์กระเด็นออกไป และตกลงตรงหน้าผู้อาวุโสอย่างรุนแรง
พออสรพิษยักษ์ชูคอขึ้นอีกครั้งอย่างยากลำบาก ก็เห็นว่าพื้นผิวที่ถูกหลิ่วหมิงทุบเป็นรอยบุ๋มลงไป
ฉากนี้ทำให้ผู้อาวุโสค่อยๆ หดรูม่านตาลง หนังตากระตุกโดยไม่รู้ตัว
อย่างที่รู้กันว่า หุ่นอสูรตนนี้ไม่เพียงแต่มีพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พื้นผิวของมันยังสร้างมาจากโลหะแข็งแกร่งที่พบเจอได้น้อย ความแข็งแกร่งของมันเหนือกว่าเหล็กบริสุทธิ์ทั่วไปมาก แต่กลับถูกชายหนุ่มทำร้ายอย่างง่ายดาย
หนึ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ คงเป็นเพราะชายหนุ่มตรงหน้ามีพลังที่ไม่อาจคาดเดาได้ ซึ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
“สหายท่านนี้ ข้ากับท่านไม่มีความแค้นต่อกัน ขอท่านหยุดมือก่อนเถอะ!” ผู้อาวุโสชุดเหลืองโบกมือไปทางหลิ่วหมิง แสดงเจตนาให้เขาหยุดการโจมตี เพราะหากตอนนี้หลิ่วหมิงทุบหุ่นอสรพิษอีกสองสามที มันคงชำรุดอย่างแน่นอน
หุ่นอสรพิษยักษ์นี้ มีพลังระดับของเหลวขั้นต้น ซึ่งแม้แต่เขาก็มีเพียงไม่กี่ตัว ดังนั้นย่อมไม่ยอมให้มันถูกทำลายไปเช่นนี้
หลิ่วหมิงได้ยินก็หัวเราะออกมา หลังจากเก็บกำปั้นกลับไปแล้ว กลิ่นไอบนตัวก็ม้วนเข้าไปในร่าง
ทางด้านผู้อาวุโสชุดเหลืองก็ทำท่ามืออย่างคล่องแคล่ว หุ่นอสรพิษยักษ์กลายเป็นแสงสีดำม้วนตัวกลับมาในมือของผู้อาวุโส และพร่ามัวเป็นลูกกลมๆ สีดำ
“ขอถามสหาย เหตุใดถึงตามพวกเรามาถึงที่นี่?” ผู้อาวุโสจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา น้ำเสียงดูนอบน้อมเป็นอย่างมาก และส่งสายตาบอกเป็นนัยให้หญิงสาวชุดเหลืองถอยห่างออกไปเล็กน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงคลื่นที่เกิดจากการปะทะของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
หญิงสาวชุดเหลืองถอยออกไปสองสามก้าวอย่างไม่ลังเล
“ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงแต่ได้ยินเรื่องการหายตัวในเมืองกู่หนานที่พวกท่านพูดกันในหอสุราโดยไม่ได้ตั้งใจ ประจวบเหมาะกับคนที่ข้ารู้จัก ก็หายตัวในสถานที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน เวลาที่หายตัวก็ใกล้เคียงกันมาก ด้วยเหตุนี้ จึงอยากรู้รายละเอียดจากพวกท่านทั้งสอง ไม่ทราบว่าพอจะบอกได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวกับผู้อาวุโสด้วยรอยยิ้ม
พอผู้อาวุโสได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และหันไปสบตากับหญิงสาวด้านข้างอย่างอดไม่ได้
พอหญิงสาวชุดเหลืองได้ยินเช่นนี้ ก็ใจสั่นขึ้นมา ตอนนี้ถึงรู้ว่าคำพูดของตนเองในหอสุรา ถูกคนอื่นได้ยินเข้าแล้ว นางจึงก้มหน้าลง และไม่กล้าพูดอะไรอีก
ขณะนี้ ผู้อาวุโสกลับกระแอมไอเบาๆ และกล่าวออกมา
“ในเมื่อสหายตามมาถึงที่นี่ คิดว่าจะต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้ ข้าไม่พูดก็คงจะไม่ได้แล้ว อย่างไรซะ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร หากสหายอยากถาม ข้าก็พอจะบอกได้เล็กน้อย”
“ดีมาก! พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลอะไร ข้าถามเสร็จแล้วก็จะจากไปเอง สหายพูดเรื่องคนที่หายตัวไปอย่างละเอียดเถอะ!” พอหลิ่วหมิงเห็นว่าผู้อาวุโสชุดเหลืองรู้ว่าจะทำตัวอย่างไร เขาก็กล่าวด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
ผู้อาวุโสกระแอมไอเบาๆ และค่อยๆ เล่าอย่างละเอียด
“ความจริงแล้วข้ากับหลานสาวเป็นผู้ฝึกฝนในนิกายเล็กๆ ที่อยู่ทางใต้ของเกาะตะพาบน้ำ นิกายเรานับว่ามีชื่อเสียงเล็กๆ ทางด้านใต้ ซึ่งสร้างหุ่นอสูรขาย แต่ว่าเก้าเดือนก่อน บุตรชายของข้ากับคนอีกสองสามคนถูกส่งมาเมืองกู่หนาน เพื่อซื้อก้อนผลึกจากหุบเขาผลึก และนำกลับไปทำหุ่นอสูร ทรัพยากรเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทางนิกายเราต้องการเร่งด่วน บุตรชายข้าเป็นคนรอบคอบมาก หลังจากทำภารกิจเสร็จแล้วย่อมไม่อาจอยู่ในเมืองกู่หนานนาน อีกอย่างบุตรชายข้าก็ไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องการซื้อขายทรัพยากร ที่ผ่านมาการเดินทางของเขาจะไม่เกินสามเดือน แต่ครั้งนี้กลับคาดไม่ถึงว่า ออกเดินทางมาแล้วครึ่งเดือน ก็ยังไม่กลับไป ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยส่งข่าวใดๆ กลับไปเลย ข้าเลยต้องมาสืบหาที่เมืองกู่หนานด้วยตนเอง”
“อืม! พวกท่านสืบข่าวอะไรมาได้บ้าง? ฟังจากน้ำเสียงของท่านในหอสุรา ดูเหมือนว่าจะไปจากเมืองกู่หนานแล้ว” หลิ่วหมิงถามอย่างราบเรียบ
“ข้าค้นหาโรงเตี๊ยมที่บุตรชายเข้าพัก รู้เพียงแต่ว่า หลังจากเขาเข้าไปโรงเตี๊ยมแล้ว ก็ไม่เคยออกมาอีกเลย ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นของบุตรชายข้า คิดไม่ถึงว่าจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ข้าจึงรู้สึกประหลาดใจมาก สงสัยว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพลใหญ่บางกลุ่ม แม้กระทั่งอาจจะเกี่ยวพันถึงผู้ฝึกฝนระดับผลึกด้วย และผู้แข็งแกร่งระดับนี้ นิกายของข้าจะกล้ายุแหย่ได้อย่างไร ตอนนี้คงได้แต่กลับไปวางแผนระยะยาวที่นิกายก่อน” ผู้อาวุโสกล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ฟังจากคำพูดของสหาย คงมาถึงเมืองกู่หนานนานแล้ว ท่านเคยพบเบาะแสอื่นหรือไม่?” หลิ่วหมิงฟังจบก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็ถามออกไป
“ที่จริงช่วงที่ข้าอยู่ในเมือง ก็รู้มาจากสหายเก่าบางคนว่า ในกลุ่มของพวกเขาก็มีคนหายตัวในเมืองกู่หนานเช่นกัน ส่วนมากก็เป็นผู้ที่มาซื้อของ ณ สถานที่แห่งนี้ และผู้สูญหายก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ ข้าถึงตัดสินใจไปจากเมืองนี้ทันที” ผู้อาวุโสเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสลด
ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวหายตัวไปถี่ๆ ทั้งยังเป็นช่วงที่มาจัดซื้อสิ่งของในเมืองกู่หนานด้วย!
พอหลิ่วหมิงฟังจบ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย และทำการคาดคะเนอยู่ในใจ
แต่เขากลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ เพียงแค่พยักหน้าให้กับผู้อาวุโสแล้วกล่าวออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องขอบคุณสหายมากแล้ว”
ครู่ต่อมา พอเงาสีเทาเปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็หายวับออกไปไกลหลายจั้ง และพร่ามัวมาปรากฏตัวข้างหลังหญิงสาวชุดเหลือง ทั้งยังตบไหล่ของนางดัง “ป๊าป!” จากนั้นก็กลายเป็นเงาพุ่งกลับมายังจุดเดิม
ทุกท่วงท่ารวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ แม้ผู้อาวุโสจะคำรามด้วยความโมโห และกระตุ้นหุ่นอสรพิษยักษ์มาขวางไว้ระหว่างทาง แต่กลับกระโจนใส่เพียงเงาของหลิ่วหมิงเท่านั้น ไม่โดนตัวหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าทำอะไรกับหลิงเอ๋อร์กันแน่?” ผู้อาวุโสโยนลูกกลมๆ สีขาวออกไปอีกลูก หลังจากมันกลายเป็นนกอินทรียักษ์สีขาวแล้ว เขาก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความโกรธแค้น
สีหน้าหญิงสาวซีดขาวขึ้นมา แต่พอเขาตรวจสอบภายในร่างของนางอย่างละเอียด กลับไม่ค้นพบสิ่งผิดปกติใดๆ
“สหายอย่าได้ตื่นตระหนกไป! ข้าแค่ประทับตราไว้บนร่างของนางเท่านั้น เพื่อยืนยันว่าสหายไม่ได้พูดเท็จ สหายวางใจเถอะ! ตราประทับนี้จะหายไปเองภายในสามวัน หรือว่าตอนนี้สหายมีอะไรจะพูดอีก” หลิ่วหมิงเอามือไขว้หลังแล้วกล่าวอย่าไม่รีบร้อน
“ที่ข้ารู้มาทั้งหมด ก็ได้บอกท่านไปหมดแล้ว” ผู้อาวุโสกำมือไว้แน่น และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความโมโห
“เช่นนี้ก็ดี แต่หากสหายนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้ ก็ไปหาข้าที่โรงเตี๊ยมคลื่นสีครามแล้วกัน”
หลิ่วหมิงกล่าวจบก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว เมฆดำก่อตัวขึ้นตรงใต้เท้า จากนั้นก็พุ่งไปยังเมืองกู่หนาน
พอหลิ่วหมิงจากไปแล้ว ผู้อาวุโสชุดเหลืองก็ค่อยๆ คลายกำปั้นออกมา
“ท่านปู่ ตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” หญิงสาวชุดเหลืองแหงนหน้ามองหลิ่วหมิงที่จากไป และกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“คิดไม่ถึงว่าการเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะสืบข่าวของบิดาเจ้าไม่พบแล้ว ยังยุแหย่เจ้าเด็กที่เก่งกาจเช่นนี้ออกมาด้วย เจ้ากับข้าไปอยู่ที่ฐานที่มั่นบริเวณนี้สักสามวัน เพื่อดูสถานการณ์ก่อน ระหว่างนั้นรอดูว่าข้าสามารถถอนตราประทับของคนผู้นี้ได้หรือไม่ หลังจากนั้นค่อยว่ากัน” สีหน้าผู้อาวุโสเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นถึงกล่าวกับหญิงสาวชุดเหลือง
พอผู้อาวุโสเปิดไหล่ของนางออกมา ก็พบกับอักขระสีดำที่ประทับอยู่บนนั้น เขาทำเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างอดไม่ได้
“ท่านปู่ คนเมื่อครู่มีพลังน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่คิดว่าแม้แต่ท่าน ก็ยังไม่กล้าปะทะกับเขา” หญิงสาวเห็นเช่นนี้ ก็กัดฟันและกล่าวด้วยความคับแค้นใจ
“คนผู้นี้คงเป็นผู้ฝึกร่าง ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่ง ดูเหมือนว่าการโจมตีเมื่อครู่ ยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มี ดูท่าคงจะเกิดเรื่องใหญ่ในเกาะตะพาบน้ำแห่งนี้แล้ว” สีหน้าของผู้อาวุโสดูเคร่งขรึมเล็กน้อย พอกล่าวจบก็พาหญิงสาวขี่เมฆเหาะจากไป
……………………………………