ความจริงแล้ว เมื่อหลิ่วหมิงได้ยินว่าเจียหลานสามารถช่วยตนเองจัดการบัณฑิตที่อยู่ด้านหลังได้อย่างง่ายดาย เขาก็รู้สึกเย็นสะท้านเล็กน้อย
เพราะคนที่อยู่ข้างหลังเหล่านั้น ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเช่นเดียวกับเขา แม้ว่าพลังของเขาจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายขึ้นไป แต่ถ้าจะจัดการผู้ที่แอบติดตามโดยไม่กระโตกกระตากล่ะก็ ต้องใช้เวลาไม่น้อย
หากสังหารเขาไม่สำเร็จล่ะก็ อาจแหวกหญ้าให้งูตื่น จนก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน
ส่วนเจียหลานนั้นไม่ได้เจอกันมาหลายปี แม้จะเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นต้นแล้วก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่ายังต่ำกว่าฝ่ายตรงข้ามขั้นหนึ่ง
แต่นางมีร่างละเมอฝัน คาดว่ากลับเผ่าไปแล้วคงฝึกฝนพลังที่เกี่ยวข้องไม่น้อย ไม่สามารถใช้ระดับการฝึกฝนมาวัดพลังของนางได้
แต่หลิ่วหมิงได้ยินจากนักพรตแซ่จงตั้งแต่แรกแล้วว่า ร่างละเมอฝันสามารถแสดงอานุภาพได้ไม่น้อยในขณะทำการต่อสู้แบบกลุ่ม หรือรับมือกับผู้ฝึกฝนระดับใกล้เคียงกัน
แต่ขณะที่เผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่เห็นได้ชัดว่าสามารถยับยั้งตนเองได้นั้น กลับไม่ได้เปรียบอะไรมาก อีกอย่างพลังจิตของฝ่ายตรงข้าม ก็เหมือนจะแข็งแกร่งไม่เบาเลย
แต่ด้วยอุปนิสัยของนาง ในเมื่อกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา จะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแน่นอน ในเมื่อตอนนี้นางยอมช่วยจัดการเรื่องยุ่งยาก เขาย่อมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก และจะได้ถือโอกาสสังเกตดูพลังของนางไปด้วย
พอเห็นหลิ่วหมิงไม่กล่าวอะไรออกมา เจียหลานก็ถือว่าเขายอมรับโดยปริยาย นางหัวเราะเบาๆ แล้วโบกมือปลดสิ่งกำบังออก จากนั้นร่างของทั้งสองก็ปรากฏขึ้นในป่าอีกครั้ง
นิ้วมือเรียวเล็กสวยราวกับหยกของนางทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันลำแสงเจิดจ้าก็พุ่งออกจากร่าง
หลิ่วหมิงรู้สึกตาลาย จากนั้นเงาร่างอรชรของเจียหลานก็พร่ามัวต่อหน้าเขา ครู่ต่อมาก็ปรากฏอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง
“ท่านคงฟังมามากพอแล้ว ตอนนี้ควรปรากฏตัวออกมาได้แล้ว” จากนั้น น้ำเสียงอันไพเราะของเจียหลานก็ดังออกมา และมือหยกอันเรียวเล็กก็ค่อยๆ ชี้ไปทางอากาศ
ท่าทางของนางดูอ่อนช้อยมาก ท่าทีดูงดงาม ดูคล้ายกับผีเสือที่บินวนท่ามกลางดอกไม้
แต่เมื่อนางวาดมือผ่านอากาศ ก็ก่อเกิดเป็นระลอกคลื่นกระเพื่อมออกมา พริบตาเดียวก็กระจายไปทั่วบริเวณนั้น
“หวึ่ง!”
พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงใต้ต้นไม้โบราณที่สูงราวๆ สิบจั้ง แม้เงาร่างจะปรากฏออกมา แต่ก็หนีไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงสีเหลืองที่ปกคลุมอยู่
แสงเย็นสะท้านปรากฏขึ้นในแววตาของหลิ่วหมิง พอมองออกไปก็เห็นร่างที่ถูกแสงสีเหลืองห่อหุ้มอย่างชัดเจน ซึ่งก็คือคนเดียวกับบัณฑิตที่แอบตามเขามา
พอมือหยกของเจียหลานชี้ออกไปเบาๆ บัณฑิตก็รู้สึกว่ากาศรอบด้านแน่นขึ้นมา ทุกทุกท่าการกระทำเชื่องช้าลง ดังนั้นจึงคิดจะหลบหนี
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ ระลอกคลื่นที่กระเพื่อมในอากาศบริเวณนั้น ดูเหมือนจะปิดกั้นเขากับโลกภายนอกไว้ ทั้งยังตามติดเขาราวกับเงา
เขาเองก็ไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแอ หลังพบว่าสถานการณ์ผิดปกติ ก็รีบทำท่ามือด้วยมือเดียว มืออีกข้างก็หยิบพู่กันหยกออกมาแล้วโบกสะบัดไปกลางอากาศ
ทันใดนั้น อักขระสีเหลืองก็พุ่งยิงออกจากพู่กันราวกับพายุที่บ้าระห่ำ พริบตาที่อักขระเหล่านี้สัมผัสกับระลอกคลื่น มันก็จมเข้าไปในนั้นอย่างไร้สุ้มเสียง และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อีก
บัณฑิตหนุ่มหยุดชะงักด้วยความประหลาดใจ และเขาต้องแสดงสีหน้าตกใจออกมา เมื่อค้นพบว่าตนเองอยู่ห่างจากต้นไม้โบราณต้นนั้นเพียงก้าวเดียว ราวกับว่าเขาไม่เคยไปจากตรงนั้นเลย!
ภายใต้ความตกใจ เขาก็รู้ว่าวิธีการของหญิงสาวนางนี้ดูแปลกประหลาดมาก เขาไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ เขาจึงตะโกนออกมาทันที
“สหายผู้นี้อย่าเพิ่งลงมือ ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาร้าย”
คนผู้นี้ไม่ได้ขอความเมตตาจริงๆ เพียงแค่วางแผนถ่วงเวลาเท่านั้น
แต่เจียหลานไม่สนใจคำพูดของเขาแม้แต่น้อย นิ้วมือสวยงามราวกับหยกวางอยู่ระดับเดียวกับหน้าอก และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับล้อรถ
จากนั้น อากาศรอบๆ ตัวนางก็เริ่มบิดเบี้ยวพร่ามัวขึ้นมา ราวกับตนเองจะสร้างห้องว่างเปล่าเล็กๆ ขึ้นมาห้องหนึ่ง
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ หลังจากที่เงาร่างอรชรของเจียหลานพร่ามัว ก็มีเงาร่างปรากฏออกมาแปดเงา
กลิ่นไอของเงาร่างทั้งแปดเหมือนกันไม่มีผิด!
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง ต่อให้พลังจิตของเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ต้องรอผ่านไปซักพัก ถึงมองเห็นร่างที่แท้จริงของเจียหลาน
นี่ก็อธิบายได้อีกแบบว่า หากผู้ที่ประมือกับเจียหลานเป็นเขาล่ะก็ เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะจับที่อยู่ของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว
“ตู๊ม!”
บัณฑิตไม่มีแรงแม้แต่จะตอบโต้ จากนั้นก็ถูกพลังไร้รูปบางอย่างดึงตัวขึ้นกลางอากาศ แม้ปราณแกร่งที่ห่อหุ้มร่างเขาจะยังคงอยู่ แต่ก็ใช้ไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันเงาร่างของเจียหลาน ก็ปรากฏอยู่รอบตัวเขา
เงาร่างเหล่านี้มีท่าทีแตกต่างกัน บ้างก็ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา บ้างก็มีสีหน้าโมโห บ้างก็ยิ้มพราย แต่ทั้งหมดต่างก็ชี้นิ้วมาทางบัณฑิตผู้นี้
อักขระสีฟ้าจางๆ แต่ละตัวพุ่งยิงออกมา หลังจากลอยวนรอบตัวบัณฑิตแล้ว ก็แปะลงบนตัวของเขา
แสงสีฟ้าเปล่งประกายบนตัวบัณฑิตทันที ดวงตาทั้งคู่เริ่มซึมกระทือขึ้นมา มือทั้งสองลู่ต่ำลง พู่กันหยกที่ถืออยู่ในมือก็ตกลงพื้นดัง “เต๊ง!”
ยิ่งอักขระสีฟ้าบนตัวเขารวมตัวกันมากขึ้น มันก็ยิ่งสว่างมากขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง “โพล๊ะ!” ร่างของเขาหดขยายและระเบิดออกมาเป็นหมอกโลหิต
ตั้งแต่ต้นจนจบ วิธีการต่อสู้ของเจียหลานล้วนดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงมองดูจนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
พอเขาเพ่งมองเงาร่างของเจียหลานเล็กน้อย ก็มีความรู้สึกเหมือนกับถลำเข้าไปในนั้น ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
แม้ว่าการฝึกฝนของนางจะต่ำกว่าเขาขั้นหนึ่ง แต่ร่างละเมอฝันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก แม้ใช้รับมือกับศัตรูที่มีระดับสูงกว่า ก็ยังเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
ดูท่าเรื่องที่เล่าลือกันว่า ร่างละเมอฝันไม่เชี่ยวชาญในการรับมือกับผู้ที่มีระดับการฝึกฝนเหนือกว่า คงไม่อาจเชื่อได้
เงาร่างทั้งแปดพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็รวมกันเป็นร่างเดียว จากนั้นร่างอรชรของเจียหลานก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิ่วหมิง
นางหันมามองหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม จากนั้นก็จากไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ที ร่างของนางก็หายไปจากสายตาของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงค่อยๆ หรี่ตาลง หลังจากเก็บพู่กันหยกของบัณฑิตผู้นั้นขึ้นมาแล้ว ก็ออกไปจากป่าทันที
……
ในหอเปล่าเปลี่ยวที่สร้างขึ้นตามเขาในหุบเขาเหล็กอัคคี หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบๆ คิ้วทั้งสองขมวดขึ้นมาเล็กน้อย เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
ผ่านไปซักพัก รอยย่นระหว่างคิ้วถึงหายไป ขณะเดียวกันก็พูดพึมออกมา
“ดูท่าผู้ที่แอบติดตามข้า คงเป็นเหยียนเจวี๋ยที่เป็นขุนนางของวังเพลิงดำผู้นั้น ข้าบุ่มบ่ามไปหน่อยที่นำขนแข็งปีศาจยักษ์ออกมาแลกกับโซ่ตรวนสะกดวิญญาณ”
เขาคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ ในสมองของเขาค่อยๆ ปรากฏภาพของเหยียนเจวี๋ย ที่เห็นขนแข็งปีศาจยักษ์แล้ว ตาร้อนผะผ่าวจนปิดไม่มิด
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ระงับการทางสีหน้า และสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนพูดพึมพำออกมาอีกครั้ง
“แม้เหยียนเจวี๋ยจะไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึก แต่ระดับการฝึกฝนก็อยู่ที่ของเหลวขั้นปลายแล้ว อีกอย่างยังเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธด้วย ย่อมมีลูกน้องไม่น้อย ในเมื่อตอนนี้ถูกเขาจับตามองแล้ว หากอยากไปจากหุบเขาเหล็กอัคคีอย่างปลอดภัย คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงมีความคิดมากมายเกิดขึ้นในใจ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับแผนการสลัดตัวให้หลุดพ้น แต่สุดท้ายก็ถูกเขาปฏิเสธโดยไม่มีข้อยกเว้น
เขาพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมา บนมีมือแผ่นป้ายสีแดงอันหนึ่ง มันคือป้ายอวิ๋นชวนที่เย่เทียนเหมยมอบให้วันนั้นนั่นเอง
“แผ่นป้ายนี้สยบกลุ่มอิทธิพลโดยทั่วไปได้ แต่คงใช้ไม่ได้กับเหยียนเจวี๋ยผู้นี้” หลิ่วหมิงจ้องมองป้ายอวิ๋นชวนในมือ บนหน้าเขาไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย
จากนั้น เขาก็นึกถึงเรื่องที่เจียหลานบอกหากเปลี่ยนใจก็ให้ไปหานาง แต่เขาก็ต้องส่ายหน้าขึ้นมา
ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ จะยอมเอาความปลอดภัยของตนเองไปฝากไว้กับคนอื่นได้อย่างไร
“ดูท่าวิธีการเดียวในตอนนี้ ก็คือรอกองกำลังสนับสนุนของเผ่าเจ้าสมุทรมาถึง และขณะที่พวกเขาลงมือกับคนของราชาปีศาจสมุทร ค่อยถือโอกาสนี้หลบหนีไป เวลานั้นหุบเขาเหล็กอัคคีจะต้องวุ่นวายเป็นพิเศษ เพียงแค่สลัดตัวให้หลุดพ้นจากคนที่แอบติดตามเหล่านั้นได้ เหยียนเจวี๋ยคิดอยากจะหาข้า ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย”
หลิ่วหมิงคิดด้วยตาที่เป็นประกาย ในที่สุดสีหน้าเขาก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย แต่รายละเอียดที่ชัดเจนในการกระทำบางอย่าง ยังต้องคิดไตร่ตรองเล็กน้อย
และบัณฑิตที่สะกดรอยเขานั้น ได้ถูกเจียหลานสังหารไปแล้ว เหยียนเจวี๋ยคงรู้ว่าถูกเขาค้นพบเข้าแล้ว
มือข้างหนึ่งของเขาประคองป้ายสีแดงขณะที่จมดิ่งอยู่ในความคิด
……
ขณะเดียวกัน ณ สถานที่ไม่ทราบชื่อบางแห่งบนเกาะตะพาบน้ำ เรือเหาะยาวสิบกว่าจั้งที่ถูกม่านแสงสีขาวปกคลุมไว้ กำลังพุ่งทะยานอยู่บนท้องฟ้า
เรือเหาะมีสีขาวแวววาว ในห้องบนเรือที่สลักและฉลุอย่างประณีต หญิงสาวสวมชุดชาววังสีขาว กำลังก้มหน้าดีดกู่ฉินที่มีแสงสีเงินเปล่งประกายออกมาจางๆ
แม้เสียงเพลงจะนุ่มนวลเสนาะหู แต่หากตั้งใจฟังอย่างละเอียด กลับค้นพบว่าแฝงไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ทันใดนั้น หญิงสาวชุดชาววังก็ชะงักนิ้วมือทั้งสิบ และเสียงเพลงก็หยุดชะงักลงทันที จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นถึงใบหน้าอันสวยสดงดงาม
นางคือเซิ่งจี ธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงที่เคยปรากฏตัวเหนือพระราชวังเสวียนจิงในตอนนั้นนั่นเอง
ผ่านไปซักพัก นางก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังส่วนหน้าของเรือเหาะ และยืนอยู่ข้างชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้ง คิ้วสีเหลือง
“ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? ตามที่เจ้าเด็กเจียหลานเล่ามา พอพวกเขาออกจากหุบเขาเหล็กอัคคีได้ไม่นาน ก็ถูกชิงฉินกับชื่อลี่ที่ราชาปีศาจสมุทรส่งตัวมาลอบโจมตี ตอนนี้ลี่คุนก็บาดเจ็บสาหัส นอนหมดสติ ชีวิตน่าเป็นห่วงมาก ส่วนฮูหยินหลานก็ยังไม่ฟื้น” ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กังวลเล็กน้อย
“อาสาม เกรงว่าพวกเราจะต้องเพิ่มความเร็วสักหน่อยแล้วล่ะ เมื่อครู่เจียหลานเพิ่งจะส่งข่าวมาให้ข้า สถานการณ์ทางด้านนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก คำสัญญาหนึ่งเดือนของวังเพลิงดำก็เหลือไม่กี่วันแล้ว หากช้าไปล่ะก็ พอผู้ฝึกฝนระดับสูงของวังเพลิงดำไม่ขัดขวางชิงฉินกับชื่อลี่ ไม่เพียงแต่ชีวิตของผู้อาวุโสลี่จะน่าเป็นห่วง แม้แต่โล่คลื่นทะเลก็จะไม่ปลอดภัยด้วย” ธิดาเทพค่อยๆ ขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา
……………………………………