หลังจากหลิ่วหมิงตระหนักได้ว่า ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังอาจใช้เคล็ดวิชาบางอย่างในการทำให้จิตสับสน เขาจึงกัดฟันแน่น และทำท่ามือด้วยมือซ้ายเพื่อกระตุ้นโซ่ตรวนสะกดวิญญาณอย่างเงียบๆ
แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายตรงระหว่างคิ้ว พลังจิตอันแข็งแกร่งถูกปล่อยออกมา หลังจากสงบจิตได้แล้ว เขาก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุด เพื่อควบคุมเรือเหาะให้พุ่งไปด้านหน้า จนหนีห่างรถเหาะไปได้ระยะหนึ่ง
พอผู้อาวุโสหลิวเห็นหลิ่วหมิงไม่ได้รับผลกระทบอันใด ดวงตาของเขาก็เผยแววดุร้ายออกมา แต่น้ำเสียงดูอ่อนโยนกว่าก่อนหน้านั้นมาก ทั้งยังดูเป็นกันเองด้วย
“สหาย เรือกลเหาะนี้ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา ถึงเหินเวหาได้นานเช่นนี้ และความเร็วก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้าแนะนำให้ดูที่ใต้เท้าของเจ้าก่อนเถอะ!”
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็กวาดพลังจิตไปดูเรือเหาะ แต่แล้วกลับต้องรู้สึกตรึงเครียดขึ้นมา
เป็นเพราะว่าเรือกลเหาะเดินทางมานาน และก่อนหน้านั้นยังถูกยันต์กระตุ้นความเร็วอีก ตอนนี้จึงมีรอยปรากฏออกมา ประจักษ์ชัดว่าอีกไม่นานก็จะต้านทานไม่ไหวแล้ว
หากเขาบังคับให้มันเหินเวลาต่อไปโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่ตามมาล่ะก็ เกรงว่าเรือเหาะลำนี้คงแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
พอคิดมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนแนวความคิด และหยุดการทำท่ามือทันที ความเร็วของเรือเหาะลดลงเล็กน้อย
ผู้อาวุโสหลิวเห็นเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็กระตุ้นความเร็วของรถเหาะให้ไล่ตามไป ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงเกลี้ยกล่อมหลิ่วหมิงต่อ
“ดูท่าสหายคงเป็นคนฉลาด สุภาษิตว่ากันว่าผู้ที่รู้สถานการณ์อย่างปลอดโปร่งเท่านั้น จึงจะเป็นอัจฉริยะบุรุษได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงแล้วข้ากับท่านเซียนเย่นับว่าเป็นสหายเก่า ข้าแค่ขอให้นางช่วยทำเรื่องเล็กๆ บางอย่างเท่านั้น แต่นางเป็นคนหยิ่งยะโส ข้าเองก็ใจร้อนจึงพูดผิดไปสองสามประโยค จนก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และนางก็ชักกระบี่ออกมาต่อสู้ด้วยความโมโห ข้าไม่มีทางเลี่ยงจึงพลั้งมือทำนางบาดเจ็บจนหมดสติ ความจริงข้าอยู่แต่ในหุบเขามานาน ไม่ค่อยรู้จักหลักทำนองคลองธรรมในโลกมนุษย์ ขอสหายโปรดให้อภัย”
ผู้อาวุโสหลิวรับรู้ได้ว่า หลิ่วหมิงเหมือนจะรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้ว จึงรีบเสนอเงื่อนไขออกมา
“สหายน้อย เจ้าวางใจได้เลย เพียงแค่เจ้ายอมหยุด และพาท่านเซียนเย่ตามข้าไปสถานที่บางแห่ง ข้าไม่เพียงแต่จะรับรองความปลอดภัยของเจ้ากับนาง แต่ยังจะมอบอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดให้เจ้าหนึ่งชิ้นเป็นการตอบแทน”
พอเห็นว่าความเร็วของหลิ่วหมิงเทียบกับก่อนหน้านั้นไม่ได้ ผู้อาวุโสหลิวจึงรู้สึกพอใจกับความมหัศจรรย์ของ ‘เคล็ดวิชาดูดวิญญาณ’ มาก
ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งระดับผลึกของเขา บวกกับความมหัศจรรย์ของเคล็ดวิชานี้ ย่อมจัดการผู้น้อยระดับของเหลวคนหนึ่งได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่ครู่ต่อมา รอยยิ้มของเขาก็หยุดชะงักลง สีหน้าดูหม่นหมองมากขึ้น
พอเรือกลเหาะร่อนลงพื้นอย่างรวดเร็ว ก็เผยให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย
ผู้อาวุโสหลิวรู้สึกตกใจ และแอบคิดในใจว่า แม้เจ้าเด็กนี่จะมีระดับการฝึกฝนไม่สูง แต่พลังจิตกลับแข็งแกร่งมาก
ตอนนี้เขารู้สึกอยากสังหารหลิ่วหมิงมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ควรให้เขาเติบโตอีกต่อไป มิเช่นนั้นจะเป็นภัยต่อตนเองในภายหน้า
จุดที่หลิ่วหมิงร่อนเรือเหาะลงมา เป็นส่วนลึกของป่าสีดำ ขณะที่อยู่ห่างจากพื้นสามสี่จั้ง เขาก็โบกแขนเสื้อ จากนั้นเรือเหาะก็กลายเป็นแสงลูกกลมๆ สีฟ้าก่อนถูกเก็บเข้าไป
ตอนแรกที่ผู้อาวุโสหลิวเห็นท่าทีของหลิ่วหมิงก็รู้สึกตะลึงงัน แต่ไม่นานก็เผยสีหน้าดีใจออกมา รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้า
จากความเห็นของเขา หลิ่วหมิงแสร้งทำเป็นฉลาดเท่านั้น ใช้วิชาเหินเวหาก็หนีเขาไม่พ้น และคิดเอาเองว่าอาศัยพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อน ก็สามารถสลัดตนให้หลุดพ้นได้
ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งระดับผลึกของเขา ไม่ว่าหลิ่วหมิงจะหลบอยู่ที่ใด ก็สามารถหาร่องรอยได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้นหลิ่วหมิงไม่อาจทิ้งเย่เทียนเหมยไปได้ ตอนนี้ลงจากเรือเหาะแล้วย่อมพานางหนีไปด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีพ้นเงื้อมมือของตนเอง!
ผู้อาวุโสหลิวคิดใคร่ครวญอยู่เช่นนี้ และพารถเหาะร่อนลงไปในป่า ในระหว่างนั้นก็ใช้พลังจิตเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของหลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ
เพียงแต่ตอนนี้แววสังหารในดวงตาของเขาดุเดือดขึ้นกว่าเดิม เขาค่อยๆ ลงไปอย่างมีแผนในใจ
แต่พอหลิ่วหมิงอุ้มเย่เทียนเหมยกระโดดลงจากอากาศแล้ว ก็ควักยันต์มาแปะบนตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตบถุงหนังสีดำบนเอว
แสงสีดำเปล่งประกายออกมา แมงป่องกระดูกโผล่ออกมาจากในนั้น
หลิ่วหมิงทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และชี้ไปยังแมงป่องกระดูก
คีบทั้งคู่ของแมงป่องกระดูกวางตัดสลับกัน หางตะขอตรงหลังยกขึ้นมา เกล็ดสีแดงปรากฏอยู่บนผิว ไอดำพวยพุ่งออกจากตัว จากนั้นมันก็พาหลิ่วหมิงกับเย่เทียนเหมยมุดลงดินอย่างรวดเร็ว ราวกับมัจฉาที่แหวกว่ายในมหาสมุทร !
“ตู๊มๆ!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน ดินตรงส่วนที่หลิ่วหมิงมุดลงไปเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ พอฝุ่นอันคละคลุ้งหายไปแล้ว ก็เผยให้เห็นเงาร่างของผู้อาวุโสคิ้วดำที่มีสีหน้าเขียวปัดขึ้นมา
“ฮึ! คิดไม่ถึงว่าข้าจะดูเบาเจ้าไปหน่อย อายุยังน้อยแต่มีของดีติดตัวไม่น้อยเลย ยันต์ดำดินนั่นไม่ต้องพูดถึง ไม่คาดคิดว่าจะมีแมงป่องกระดูกที่เชี่ยวชาญลักษณะของดินด้วย เช่นนี้คงจัดการยากหน่อยแล้ว”
ผู้อาวุโสหลิวคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ตัดสินใจได้
“ฮึ! แม้ข้าจะไม่ชำนาญวิชาดำดิน แต่ก็ไม่อาจปล่อยแกะอ้วนท้วนที่มาหาถึงที่ได้ มีวิชาดำดินของแมงป่องกระดูกแล้วไง ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอย่างข้าต้องกลัวเจ้าด้วยหรือ?”
พอกล่าวจบ คิ้วยาวทั้งสองของผู้อาวุโสหลิวก็สั่นไหวโดยที่ไม่มีสายลมพัดผ่าน เขาพลิกฝ่ามือเรียกแท่งสามเหลี่ยมออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ลำแสงสีฟ้าพุ่งออกจากแท่งสามเหลี่ยม และห้อหุ้มร่างของเขาไว้
พอชี้มือข้างหนึ่งลงพื้น แท่งสามเหลี่ยมก็หลุดออกจากมือ ลำแสงสีฟ้าเปล่งประกายในพริบตา พอมีเสียงดังขึ้นมา หลุมขนาดเท่าลำตัวของคนที่ลึกสิบกว่าจั้งก็ปรากฏออกมา
ผู้อาวุโสหลิวขมวดคิ้ว และกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล และตามกลิ่นไอของเย่เทียนเหมยไป
……
ขณะนี้หลิ่วหมิงกำลังโอบร่างอรชรของเย่เทียนเหมย และนั่งอยู่บนหลังแมงป่องกระดูกที่ขยายตัวยาวเจ็ดถึงแปดจั้ง พวกเขากำลังดำอยู่ใต้ดินที่ลึกหลายร้อยจั้ง
แสงสีเหลืองเปล่งออกจากพื้นผิวของแมงป่องกระดูก และปกคลุมหลิ่วหมิงและเย่เทียนเหมยไว้ ดินทรายบริเวณที่แสงสีเหลืองเคลื่อนตัวผ่าน ถูกเจาะทะลุราวกับไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง
เพียงแค่อึดใจเดียว แมงป่องกระดูกก็พุ่งได้ไกลหลายสิบจั้ง ความเร็วในขณะดำดินไม่แตกต่างจากเรือเหาะที่เหินอยู่บนเวหาเลย
และพลังของแมงป่องกระดูกที่สามารถพาคนเดินทางไปใต้ดินได้นั้น หลิ่วหมิงเพิ่งค้นพบในขณะที่มันเข้าสู่ระดับของเหลว และเก็บไว้ในใจมาโดยตลอด เพื่อใช้เป็นท่าไม้ตายในการรักษาชีวิตของตนเอง
ตอนนี้เขาเผชิญหน้ากับวิกฤติ จึงต้องเรียกตัวมันออกมาโดยไม่คิดมาก่อน ผลลัพธ์คือสามารถเพิ่มระยะห่างกับผู้อาวุโสคิ้วดำได้
ห่างจากเขาไปสิบกว่าลี้ พอผู้อาวุโสหลิวใช้แสงสีฟ้าของแท่งสามเหลี่ยมเปิดทางแล้ว ก็มุดดินตามไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่สามารถตามทันได้ และยังมีแนวโน้มที่จะถูกสลัดออกไป
ขณะนี้ผู้อาวุโสคิ้วดำรู้สึกตกใจระคนโมโห
ที่ตกใจก็คืออสูรจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามเชี่ยวชาญวิชาดำดินมาก ทำให้เขาตามไม่ทันไปชั่วขณะหนึ่ง
ที่โมโหก็คือตนเองเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับผลึก แต่กลับให้ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่งหลุดรอดไปหลายครั้ง
แต่ในใจเขาก็รู้ดีว่า วิชาดำดินเป็นวิชาที่สิ้นเปลืองพลังเวทย์เป็นอย่างมาก แม้แมงป่องจะวิ่งได้เร็ว แต่ไม่สามารถยืนหยัดได้นานมากนัก
พอคิดมาถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสคิ้วดำก็สงบจิตเล็กน้อย และกระตุ้นแท่งสามเหลี่ยมตามต่อไปอย่างไม่รีบร้อน
……
ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ดูเหมือนแมงป่องกระดูกจะอยู่ห่างผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังสิบกว่าลี้ แต่สีหน้าหลิ่วหมิงเริ่มดูเคร่งเครียดขึ้นมา
จากการสื่อสารทางจิตกับแมงป่องกระดูก เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ด้วยเหตุที่อสูรตนนี้กระตุ้นพลังทั้งหมดเพื่อดำดิน พลังเวทย์ของมันเริ่มแผ่วปลายแล้ว ลำแสงสีเหลืองที่ปล่อยออกมาก็ค่อยๆ มืดลง ความเร็วก็ค่อยๆ ลดช้าลง
พอเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ยันต์สีเหลืองปรากฏบนมือทันที หลังจากแปะลงบนตัวแมงป่องกระดูกแล้ว มันก็กลายเป็นแสงสีเหลืองจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นเขาขยับขาข้างหนึ่ง และส่งพลังเวทย์จำนวนมากไปยังร่างของแมงป่องกระดูก
จิตของแมงป่องกระดูกสั่นสะเทือนขึ้นมา แสงสีเหลืองสว่างขึ้นกว่าเดิม จากนั้นความเร็วก็เพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังเวทย์ที่ถูกปล่อยออกจากร่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม รู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องยืนหยัดได้ไม่นานมากนัก
แต่ตอนนี้เขาไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้ หลังจากทานโอสถไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็กัดฟันส่งพลังเวทย์ให้แมงป่องกระดูกต่อ
เมื่อความเร็วของแมงป่องกระดูกลดลงอีกครั้ง หลิ่วหมิงก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ผู้อาวุโสด้านหลังเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ
แมงป่องกระดูกขาวก็ดูร้อนใจเป็นอย่างมาก มันจึงเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง
ผู้อาวุโสหลิวรู้สึกหงุดหงิด แม้จะรับรู้ได้ว่าความเร็วของแมงป่องกระดูกลดลงไปมาก
แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อน แม้ความเร็วของแท่งสามเหลี่ยมจะเทียบกับแมงป่องกระดูกไม่ได้ แต่ตนเองมีพลังเวทย์มากกว่า พวกโอสถและยันต์ไม่ใช่ทางออกในระยะยาว เขาเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น
……
ทั้งสองไล่ตามกันนานครึ่งชั่วยาม
ตอนนี้หลิ่วหมิงสูญเสียพลังเวทย์ไปมาก สีหน้าจึงดูซีดขาวจนถึงขีดสุด ดวงตาทั้งคู่ดูริบหรี่ลง
และขณะนี้ผู้อาวุโสคิ้วดำตามอยู่ในระยะสิบลี้ ทั้งยังใช้พลังจิตก่อกวนเขาไม่หยุด
ภายใต้แรงเสริมจากโซ่ตรวนสะกดวิญญาณ เขาไม่จำเป็นต้องสนใจเสียงที่ผู้อาวุโสส่งมา แต่ตอนนี้เขาเหลือพลังเวทย์ไม่มากแล้ว และโอสถฟื้นคืนพลังในยันต์เก็บของ ก็ไม่สามารถฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไปได้ทัน
“หรือว่าครั้งนี้ข้าต้องประมือกับผู้แข็งแกร่งระดับผลึกจริงๆ?”
หลิ่วหมิงฝืนยิ้มอย่างขมขื่น
เขารู้จักพลังของตนเองดี ถ้าผู้ที่มาเป็นผู้อาวุโสระดับผลึกขั้นต้นล่ะก็ เขาอาศัยวิธีการต่างๆ คงมีโอกาสหลบหนีไปได้ไม่น้อย
แต่หากเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกขั้นกลางล่ะก็ มีโอกาสหลบหนีได้ไม่มากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น พลังเวทย์ของเขาในตอนนี้ใกล้ถึงจุดเหือดแห้งแล้ว
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และส่งจิตจมดิ่งเข้าไปในร่าง เพื่อกวาดดูเงากระบี่เล็กๆ ที่ลอยอยู่บริเวณทะเลจิตวิญญาณอย่างเงียบๆ
……………………………………