เย่เทียนเหมยได้ยินก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา นางไม่ตอบฝ่ายตรงข้าม แต่กลับพูดออกมาตามตรง
“คำพูดเหล่านี้ไม่ต้องพูดแล้ว ที่ท่านเรียกข้ามามีเรื่องอันใดหรอกหรือ?”
ราชาปีศาจสมุทรได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะพูดตามตรง ไม่ทราบว่าเรื่องคู่รักฝึกฝนที่ได้พูดไว้ในก่อนหน้านั้น ท่านได้พิจารณาดูบ้างหรือยัง?”
“เรื่องนี้พูดไม่ยาก เจ้าต้องปล่อยศิษย์หลานของข้าก่อน ข้าถึงจะพิจารณาเรื่องนี้”
พอเสียงของราชาปีศาจสมุทรสิ้นสุดลง เย่เทียนเหมยก็ขมวดคิ้วและตอบกลับโดยไม่ต้องคิด
“ท่านเซียนเย่ตอบเช่นนี้ ออกจะดูถูกข้าไปหน่อย เงื่อนไขเช่นนี้ไม่ต้องพูดอีก” ราชาปีศาจสมุทรคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว พอได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างใด แต่กลับปฏิเสธไปเช่นเดิม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกเล่า” เย่เทียนเหมยเห็นราชาปีศาจสมุทรตอบเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เย็นชาขึ้นมา จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปนอกห้องโถง
“ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้ ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง” ราชาปีศาจสมุทรจ้องมองหลังของเย่เทียนเหมยที่จากไปด้วยแววตาเยือกเย็น และพลันกล่าวออกมา
เสียงของราชาปีศาจสมุทรไม่ดังมาก แต่เย่เทียนเหมยกลับได้ยินอย่างชัดเจน จนทำให้นางหยุดชะงักลง
“โอกาสอะไร?”
เย่เทียนเหมยไม่ได้หันกลับไป นางเพียงแต่หันหลังกล่าวกับราชาปีศาจสมุทรด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเดิม
“ภายในระยะเวลาสิบปี เพียงแค่เจ้าเข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางได้ ข้าจะปล่อยศิษย์หลานของเจ้าไป และในระหว่างเวลานี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินท่าน” น้ำเสียงของราชาปีศาจสมุทรยังคงราบเรียบเช่นเดิม แต่สายตากลับจ้องมองหลังของเย่เทียนเหมย ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ค้นพบว่าจังหวะการหายใจ และการเต้นของหัวใจถี่ขึ้นกว่าเดิม
เย่เทียนเหมยขมวดคิ้ว นางไม่ได้ถามเหตุผลในทันที แต่กลับเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามออกไป
“หากข้าเข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางได้ตามที่เจ้าพูด เจ้าจะรับรองได้อย่างไรว่าจะปล่อยคนไป?”
“รับรอง? หากเจ้าอยากให้เจ้าเด็กมนุษย์นั่นไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ คงได้แต่เชื่อคำพูดของข้าแล้ว แต่ด้วยสถานะผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างข้า ไหนเลยจะกล่าวเท็จได้!” ราชาปีศาจสมุทรหรี่ตาทั้งคู่แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
เย่เทียนเหมยได้ยินเช่นนี้ ก็เดินออกไปจากห้องโถงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ราชาปีศาจสมุทรมองตามหลังเย่เทียนเหมยด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ผ่านไปซักพักใหญ่ๆ เขาถึงละสายตากลับมา และพลันคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ มีแสงระยิบระยับออกจากแขนเสื้อของเขา จากนั้นม้วนภาพวาดที่เปล่งแสงสีเงินจางๆ ก็ปรากฏในมือ
ราชาปีศาจสมุทรจ้องมองม้วนภาพวาดในมือ พอเขาสะบัดแขน มันก็ค่อยๆ เปิดออกมา เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น
หญิงสาวเผ่าปีศาจในรูปภาพดูราวกับมีชีวิต นางยืนยิ้มอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงาม ดูเหมือนจะมีอายุราวๆ ยี่สิบสามปีเท่านั้น บนศีรษะมีเขาสีขาว ดวงตาราวกับบุปผา งดงามละมุนละไม
หากเย่เทียนเหมยเห็นรูปภาพนี้จะต้องรู้สึกตกใจอย่างแน่นอน เพราะใบหน้าของหญิงสาวในรูปภาพ คล้ายกับนางเจ็ดถึงแปดส่วน
แต่เมื่อเทียบกับเย่เทียนเหมยแล้ว หญิงสาวในรูปภาพไม่ได้มีสีหน้าเยือกเย็น แต่กลับดูอ่อนโยนละมุนละไมมากกว่า และดูเป็นหญิงสาวงดงามที่ไม่เป็นสองรองใครในยุคนั้น
ราชาปีศาจสมุทรจ้องมองหญิงสาวในรูปภาพอย่างเงียบๆ กลิ่นไอของผู้แข็งแกร่งที่สุดในทะเลชังไห่ได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ท่ามกลางแสงตะเกียงโบราณที่สาดส่องลงมา ทำให้ชุดคลุมสีขาวของเขาดูกลมกลืนไปกับความเงียบสงัด เขายืนนิ่งราวกับจิตล่องลอยออกไป และเข้าสู่ดินแดนแห่งการลืมตัวตน
แต่หากสังเกตอย่างละเอียดจะค้นพบว่า ริมปากของชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวใบหน้างดงามผู้นี้กำลังขยับอยู่ ในระหว่างนั้นก็เปล่งพยางค์เสียงออกมา คิดว่าคงเป็นชื่อของหญิงสาวในรูปภาพ แต่กลับไม่มีใครฟังพยางค์เสียงนั้นออก และไม่รู้ความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น
……
ใต้ทะเลลึก ในถ้ำเหมืองแร่ที่เป็นของราชาปีศาจสมุทร
ร่างของหลิ่วหมิงถูกผลักลงไปในถ้ำขนาดใหญ่ ราวกับถูกโยนลงมาจากยอดเขาสูงหมื่นจั้ง เขารู้สึกแค่ว่ามีเสียงลมอื้ออึงอยู่ข้างหู กระแสอากาศอลหม่านจนไม่อาจลืมตาขึ้นมาดูได้ แม้จะฝืนลืมตาขึ้นมาได้ ก็มองเห็นแต่ความมืดมิดเท่านั้น
พอรับรู้ได้ว่ายังไม่สามารถโคจรพลังเวทย์ในร่างได้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แม้จะบอกว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งมาก แต่ตกมาสูงเช่นนี้ ต่อให้ด้านล่างจะมีสภาพอย่างไร ก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
ขณะที่ร่างของเขาอยู่ห่างจากพื้นร้อยจั้ง ไหมโลหิตที่คุมขังทะเลจิตวิญญาณไว้ ก็คลายออกมา จากนั้นก็หดตัวเป็นกลุ่มแสงโลหิตที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกว่าพลังเวทย์ในทะเลจิตวิญญาณทะลักออกมาราวกับสายน้ำ และพุ่งไปตามเส้นชีพจรทั่วร่างอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างและห่อหุ้มร่างของเขาไว้ ร่างที่หล่นลงมาราวกับก้อนหินเบาขึ้นมาทันที จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยลงพื้น
เมื่อเท้าทั้งสองเหยียบพื้นอีกครั้ง เขาก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นก็เขม้นตาสังเกตดูรอบด้าน
แต่ครู่ต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
ดูเหมือนจะมีพลังกดดันประหลาดๆ ภายในก้นถ้ำแห่งนี้ แต่ทว่าหลังจากที่เขาหล่นลงพื้นไม่นาน การฝึกฝนของเขาก็ลดไปอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้น
บาดแผลของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นยังไม่หายดี กระบี่จันทราหยกกับเกราะหนังมังกรแดงและอาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ ต่างก็ถูกแย่งไปแล้ว
เขาเริ่มสังเกตบริเวณรอบด้านอย่างรวดเร็ว
สถานที่แห่งนี้มืดสลัวมาก พื้นที่ที่เหยียบอยู่ก็อ่อนนุ่มนิ่ม ล้วนเป็นดินเลนที่เปียกชื้น ขณะเดียวกันก็ส่งกลิ่นเหม็นหึ่งออกมา
บริเวณดินเลนที่ตาเนื้อสามารถมองเห็น จะมีก้อนหินสีดำจำนวนหนึ่งวางกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
ข้างก้อนหินมีพืชแปลกประหลาดสูงจั้งกว่าๆ มันส่องแสงหริบหรี่ ไกลออกไปอีกหน่อยก็มีเสียงพายุพัดพาอยู่รำไร ประจักษ์ชัดว่ามีเส้นทางทะลุไปยังสถานที่ไม่ทราบชื่อที่อยู่ไกลออกไป
หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น หลังจากสูดหายใจเข้าไปลึกๆ แล้ว จิตใจของเขาก็สงบลง จากนั้นก็แหงนหน้าไปกลางอากาศ
ที่นี่คือถ้ำขนาดใหญ่ที่เขาร่วงลงมา
แต่ทว่าขณะนี้ อากาศที่อยู่สูงขึ้นไปหลายร้อยจั้ง นอกจากจะมืดมิดแล้ว ยังสามารถมองเห็นจุดแสงสีเงินที่ดูคล้ายดวงดาวที่เปล่งประกายอยู่รำไร
แสงนั้นคงเป็นค่ายกลอักขระในก่อนหน้านั้น แต่ว่าขณะนี้กลับถูกผนึกไว้ จึงไม่มีแสงเปล่งประกายออกมาแม้แต่น้อย
ดูท่าหากจะหนีโดยใช้ทางออกนี้ คงเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจทำความรู้จักสถานที่แห่งนี้ให้ดีเสียก่อน และค่อยวางแผนในภายหลัง
เขาเดินไปตามทิศทางที่มีเสียงลมพัดอื้อ หลังจากเดินไปหลายสิบก้าว ก็ค้นพบว่าตรงหน้ามีทางเดินแคบๆ สายหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่ามันทะลุไปแห่งใด
“จุ๊ๆ! คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะโชคดี คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใหม่มา”
ขณะที่หลิ่วหมิงเตรียมจะเดินไปยังทางเดินเส้นนั้น กลับมีน้ำเสียงอึมครึมของชายผู้หนึ่งดังมาจากความมืดมิดที่อยู่ไม่ไกล
หลิ่วหมิงค่อยๆ หรี่ตามองไปทันที เขาพอมองเห็นลางๆ ว่า ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง มีเงาร่างผ่ายผอมกำลังเดินมาทางเขา
เมื่อเงาร่างนี้เดินเข้ามาใกล้ หลิ่วหมิงถึงเห็นในหน้าคนผู้นี้อย่างชัดเจน
เขาเป็นมนุษย์ผู้ชายที่มีรูปร่างผอมกระหร่องก่อง สูงราวๆ หกเจ็ดฉื่อ สวมชุดคลุมเก่าๆ ที่พอจะปิดบังร่างกายไว้ได้ ร่างกายส่วนมากเปลือยโล่ง อาจเป็นเพราะไม่เจอเจอกับแสงแดดเป็นเวลานาน ผิวหนังถึงได้ซีดขาวเป็นอย่างมาก ดูคล้ายกับคนตายที่ถูกฝังอยู่ในหลุมศพ
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เขาหยุดชะงักอยู่กับที่และจ้องมองด้วยแววตาเยือกเย็น
พอชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก เขาเดินเข้าไปหาหลิ่วหมิงด้วยดวงตาที่ดูละโมบ ไม่รู้ว่ามีดาบกระดูกสีขาวอยู่ในมือเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ภายใต้แสงสลัวๆ มันดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงได้ปล่อยพลังจิตออกไปสำรวจดูฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่แรกแล้ว และค้นพบว่ากลิ่นไอของคนตรงหน้านี้ อยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น
หากเป็นเช่นนี้ ถ้าฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีไม่ดีล่ะก็ เขาย่อมไม่เกรงใจอย่างแน่นอน
เขายกแขนขึ้นมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทันใดนั้นลูกเปลวไฟขนาดเท่ากำปั้นก็ปรากฏเหนือฝ่ามือ มันส่องแสงจนทำให้บริเวณนั้นดูสว่างขึ้นมา
หลิ่วหมิงมองผ่านเปลวไฟ จะเห็นว่าชายผู้นั้นกำลังแสยะยิ้มให้เขา เขาลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ดีดนิ้วออกไปทันที ลูกเปลวไฟพุ่งยิงออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
อาจเป็นเพราะชายผู้นี้อยู่ในที่มืดนานเกินไป จึงรู้สึกตะลึงงันกับแสงสีแดงที่พุ่งยิงมา เมื่อลูกเปลวไฟอยู่ห่างจากเขาครึ่งจั้ง เขาก็คำรามเสียงออกมาราวกับสัตว์ป่า และกวัดแกว่งดาบกระดูกออกไป
“เพล้ง!”
ลูกเปลวไฟขนาดเท่ากำปั้นแยกเป็นสองส่วนในพริบตา สะเก็ดไฟกระเด็นไปทั่วทิศ
พอหลิ่วหมิงเห็นชายผู้นี้ มีท่าทีคล่องแคล่วเช่นนี้ เขาก็โบกแขนเสื้อเพื่อปล่อยกระบี่จันทราทองคำออกมาตามความเคยชิน แต่กลับนึกขึ้นมาได้ว่า กระบี่จันทราทองคำกับเกราะหนังมังกรแดง ถูกผู้พิทักษ์เหล่านั้นค้นตัวเอาไปแล้ว
เขาทำเสียงฮัดฮัดแล้วกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้น จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างพุ่งยิงออกไป ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าที่ลึกหลายชุ่นเท่านั้น
พอชายผู้นั้นเห็นหลิ่วหมิงไม่ถอยออกไป แต่กลับโจมตีเข้ามา เขาก็เผยสีหน้าดุร้ายออกมา พอร่างผอมแห้งเคลื่อนไหว ดาบกระดูกก็ฟันลงบนศีรษะหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง
ร่างหลิ่วหมิงยังลอยอยู่กลางอากาศ พอเห็นเช่นนี้ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากโคจรพลังเวทย์เล็กน้อย ก็ต่อยดาบกระดูกอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกัน มีเกล็ดสีแดงโผล่ออกจากกำปั้นในพริบตา เกล็ดสีแดงจำนวนซ้อนทับกันหนาแน่น
“เพล้ง!”
ดาบกระดูกกระเด็นขึ้นไปทันที ขณะเดียวกัน พลังมหาศาลบางอย่างก็ทะลักออกจากกำปั้น
ร่างของชายตรงหน้าสั่นสะท้าน จากนั้นก็ร่นถอยออกไปหลายก้าว และกระอักเลือดออกมา
ขณะนี้เขาถึงมีสีหน้าหวาดผวา และรู้ว่าได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่ไม่ควรไปยุแหย่เข้าแล้ว เขาจึงระงับความเจ็บปวดบริเวณหน้าอก และหันตัวเพื่อจะวิ่งหนี
แต่ไหนเลยหลิ่วหมิงจะยอมให้หนีไป ในขณะที่ชายผู้นี้ยังไม่ทันตั้งหลักได้นั้น หลิ่วหมิงก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำพุ่งมาอยู่ข้างตัวเขา
ชายผู้นี้คิดจะหลบหลีกด้วยความหวาดกลัว แต่กลับสายไปเสียแล้ว ทันใดนั้น เขารับรู้ได้ถึงพายุบ้าระห่ำที่โจมตีมาทางด้านขวาของเขา
เขากัดฟันและตวัดดาบกระดูกไปทางขวาทันที เพื่อบีบให้หลิ่วหมิงถอยออกไป
แต่กลิ่วหมิงเพียงแค่ทำเสียงฮึดฮัด และยื่นมือขวาออกมาจับดาบกระดูกไว้ เกล็ดบนฝ่ามือสัมผัสกับคมดาบกระดูกจนเกิดเป็นประกายไฟขึ้นมา
มือขวาของหลิ่วหมิงจับดาบกระดูกไว้แน่น ทำให้ดาบกระดูกไม่สามารถขยับได้เลยแม้แต่น้อย และมือซ้ายของเขาก็ตบลงบนหน้าอกของชายผู้นั้นอย่างรุนแรง
ชายผู้นั้นกระอักเลือดออกมา พอหลิ่วหมิงคลายมือ ร่างของเขาก็ชนใส่ผนังถ้ำที่อยู่ไม่ไกลอย่างรุนแรง จากนั้นก็หมดสติไปโดยที่ไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมา
หลิ่วหมิงถือดาบกระดูกที่แย่งมาจากชายผู้นี้ไว้ หลังจากยืนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็เดินไปหิ้วตัวชายที่หมดสติขึ้นมา จากนั้นร่างของเขาก็กระพริบหายเข้าไปในทางเดินที่อยู่บริเวณนั้น
หลังจากหลิ่วหมิงเข้าไปในทางเดินแล้ว ก็พุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว และจงใจระงับกลิ่นไอบนตัวไว้ ขณะเดียวกันก็ระแวดระวังการเคลื่อนไหวรอบด้าน
ผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงก็พาชายผู้นั้นเข้าไปยังส่วนลึกของทางเดิน และหาสถานที่เปล่าเปลี่ยวและซ่อนเร้นได้แห่งหนึ่ง
หลังจากหลิ่วหมิงมั่นใจว่าบริเวณนี้ปลอดภัยแล้ว เขาก็โยนชายผู้นั้นลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ และทำการตรวจค้นร่างของเขา
ในระหว่างที่ประมือกับเขาในก่อนหน้านั้น หลิ่วหมิงค้นพบว่าแม้ชายผอมแห้งผู้นี้จะมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้น แต่พลังเวทย์ในร่างกลับมีน้อยจนน่าสงสาร ดูเหมือนจะมีมากสุดแค่สองส่วนเท่านั้น และในระหว่างการต่อสู้ดูเหมือนจะไม่กระตุ้นพลังเวทย์เลย สำหรับเขาแล้ว การต่อสู้เมื่อครู่เป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกฝน แต่มันดูคล้ายกับการต่อสู้เมื่อตอนที่เขายังไม่ได้ย่างก้าวเข้าสู่โลกของผู้ฝึกฝนมากกว่า
ส่วนดาบกระดูกที่ค่อนข้างแปลกประหลาดนั้น หลังจากมองดูอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่ามันคงทำมาจากกระดูกของอสูรบางชนิด มันค่อนข้างแข็งแกร่งมาก แต่กลับไม่มีคลื่นพลังจิตวิญญาณแผ่ออกกมาเลย ดูท่าคงเป็นแค่อาวุธทั่วไปของคนธรรมดาเท่านั้น เพียงแต่มันแหลมคมกว่าเล็กน้อย
บนตัวของชายผู้นี้ นอกจากจะมีหินแร่ขนาดต่างๆ และสิ่งที่ดูคล้ายเนื้ออสูรแห้งขนาดเท่ามือฝ่ามือสองสามชิ้นแล้ว แม้แต่ยันต์เก็บของก็ไม่มีซักผืน
หลิ่วหมิงยื่นแขนไปตบหน้าอกของชายหนุ่มติดต่อกันหลายที จากนั้นก็ลุกขึ้นมา และพูดพึมพำราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“คนผู้นี้ไม่เหมือนผู้ฝึกร่าง แต่กายเนื้อกลับแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนทั่วไปมาก ช่างน่าแปลกเสียจริง!”
……………………………………