“ดูเหมือนนายท่านตระกูลไป๋ผู้นี้จะมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าข้าคงไม่ผิดใจกันกับตระกูลไป๋เพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แต่มันก็เป็นแค่การหมั้นเท่านั้น ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ขอแค่สามารถเข้าไปอยู่ในศิษย์แกนนำได้ ต่อให้ตระกูลไป๋จะเปิดโปงสถานะของข้าทางนิกายก็คงไม่ลงโทษร้ายแรงอะไร และถ้าหากกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ล่ะก็ คาดว่านิกายปีศาจยิ่งไม่สนใจเรื่องนั้นเข้าไปใหญ่” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำโดยได้วางแผนไว้ในใจแล้ว
เดือนต่อมา ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังปรับพลังเวทย์ในร่างให้มั่นคงพอประมาณแล้ว เสียงระฆังเรียกประลองเล็กก็ดังมาจากบนเขาเก้าทารก
พอหลิ่วหมิงได้ยินก็รีบไปยังลานกว้างบนยอดเขาโดยไม่ชักช้า
การประลองเล็กในครั้งนี้นอกจากกุยหรูฉวนแล้ว ก็ไม่เห็นวี่แววการปรากฏตัวของจูชื่อกับนักพรตจงเลย
และการประลองก็ดูรีบร้อนกว่าครั้งก่อนมาก กุยหรูฉวนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประลองก็ดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
การประลองครั้งนี้ การฝึกฝนของศิษย์เก่าเหล่านั้นไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่ แต่วั่นเสี่ยวเชี่ยนที่เป็นศิษย์ใหม่กลับก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว เซวียซานยังติดแหง็กอยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นอยู่ การฝึกฝนของเขาไม่รุดหน้าเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาดูเหงาหงอยเศร้าซึมขึ้นมา
สำหรับศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอย่างเซียวเฟิงนั้น ถึงแม้ตอนที่แสดงวิชาจะเห็นได้ชัดว่ายังอยู่ในระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง แต่กลิ่นไอพลังกลับดูแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก ดูเหมือนว่าจะห่างจากระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายไม่มากแล้ว
ส่วนตัวหลิ่วหมิงเอง ก็ระงับกลิ่นไอพลังของตัวเองให้อยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง ทั้งยังผ่านการทดสอบทั้งสามรอบไปอย่างลวกๆ โดยแกล้งแสดงออกมาดีกว่าครั้งก่อนเล็กน้อยเท่านั้น
รางวัลเล็กน้อยในการประลองเล็กนี้ มันไม่ค่อยสำคัญสำหรับเขาแล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะแสดงพลังที่แท้จริงออกมาให้เป็นที่สนใจมากนัก
มิเช่นนั้นระดับการฝึกฝนของศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณที่รวดเร็วกว่าศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณนี้อาจนำความยุ่งยากมาให้ได้
ดีที่กุยหรูฉวนไม่ได้ให้ความสนใจการประลองเล็กในครั้งนี้เหมือนกับครั้งก่อน มิเช่นนั้นถึงแม้หลิ่วหมิงจะระงับกลิ่นไอของพลังไว้ได้ ก็ไม่รับรองว่าจะปิดบังต่อไปได้
หลังผลการประลอง เขาได้รับโอสถฟื้นฟูพลังเวทย์หนึ่งขวด แล้วก็ลงเขาไปพร้อมกับศิษย์คนอื่นๆ
แต่พอกลับถึงที่พัก กลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
“ศิษย์พี่มู่!” หลิ่วหมิงเรียกชื่อหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ศิษย์น้องไป๋ไม่คิดที่จะเชิญข้าเข้าไปนั่งข้างในสักหน่อยหรือ?” หญิงนางนี้ยิ้มอย่างสวยงาม
“ศิษย์น้องเสียมารยาทแล้ว ศิษย์พี่เชิญ!” หลิ่วหมิงรีบเก็บอาการให้สงบลงอย่างรวดเร็ว เขาเชิญหญิงสาวเข้ามาในห้องแล้วพาไปยังห้องโถงที่อยู่ด้านข้างของที่พัก
“ศิษย์น้อง ที่นี่เรียบง่ายมากเลย!” พอมู่อวิ๋นเซียนสังเกตดูรอบด้านเล็กน้อยก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
ห้องโถงที่ใช้รับแขกโดยเฉพาะนี้ นอกจากมีโต๊ะไม้หนึ่งตัวกับเก้าอี้สองสามตัวแล้วก็ไม่มีสิ่งของใดจัดวางอยู่เลย
“ศิษย์น้องสนใจแต่การฝึกฝน ไม่ค่อยใส่ใจกับสิ่งของภายนอกมากนักทำให้ศิษย์พี่ท่านขบขันเสียแล้ว ใช่สิ! ศิษย์พี่มู่มาหาข้าครั้งนี้มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงผายมือเชิญหญิงสาวนั่งลงไปแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องไป๋ มู่หมิงจูเจ้าเด็กคนนี้ได้มาหาศิษย์น้องเมื่อหลายวันก่อนใช่หรือไม่” มู่อวิ๋นเซียนถามออกมาตรงๆ
“แม่นางมู่หมิงจูเคยมาหาข้าครั้งหนึ่ง” หลิ่วหมิงตอบกลับไปตามจริงโดยไม่รู้สึกแปลกใจ
“ดูเหมือนศิษย์น้องจะทราบเรื่องที่พี่ชายข้ารับหมั้นเจ้ากับมู่หมิงจูแล้ว” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็มีสีหน้าคลี่คลายลง
“เดิมทีก็ไม่ทราบ แต่เมื่อมู่หมิงจูมาหาข้าเช่นนี้ข้าถึงได้ทราบ เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ใครเป็นคนหยิบยกขึ้นมาก่อน ถ้าหากไม่มีคนออกหน้าข้าไม่เชื่อว่าทั้งสองตระกูลจะให้ข้ากับมู่หมิงจูหมั้นหมายกัน” หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่น
“ทำไมล่ะ! หรือว่าศิษย์น้องคิดจะหาตัวคนผู้นั้นเพื่อกล่าวขอบคุณหรือ?” มู่อวิ๋นเซียนหัวเราะออกมาเบาๆ
“หรือว่าคนผู้นั้นก็คือศิษย์พี่?” หลิ่วหมิงเห็นใบหน้ายิ้มแย้มที่แฝงไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายก็ฉุกคิดขึ้นได้ฉับพลัน
“ศิษย์น้องปราดเปรื่องยิ่งนัก ไม่ผิด เรื่องที่ให้หมิงจูแต่งกับเจ้านั้นข้าเป็นคนพูดกับพี่ชายข้าเอง แต่ไม่คิดว่าพอตระกูลมู่เราเสนอขึ้นมาตระกูลไป๋ก็ตอบตกลงทันที ทั้งยังตอบตกลงหมั้นและมอบของหมั้นให้อย่างรวดเร็ว และได้กำหนดงานแต่งของพวกเจ้าไว้ในอีกสามปีข้างหน้า! ข้ายอมให้ศิษย์น้องได้สาวสวยอย่างหลานข้าคนนี้กลับไปตระกูล ไม่ทราบว่าเจ้าคิดจะตอบแทนข้าอย่างไร” ตอนแรกมู่อวิ๋นเซียนรู้สึกตกตะลึงแต่ก็รีบหัวเราะออกมาเบาๆ ทันที
“ตอบแทน? ศิษย์พี่มู่คิดว่าข้ายังไม่มีเรื่องยุ่งยากมากพอหรือ? ถึงได้หาเรื่องปวดหัวมาให้ข้าอีกรอบ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ท่านคิดว่าแม่นางหมิงจูกับข้าเหมาะสมกันจริงๆ หรือ? ก่อนหน้านี้ข้ากับหลานสาวท่านเจอหน้ากันไม่เกินสองครั้ง ท่านก็จับพวกเราสองคนหมั้นกันแล้ว อย่าหาว่าข้ารู้สึกอึดอัดเลย เกรงว่าตอนนี้แม้แต่หลานสาวท่านก็คงเกลียดข้าจนอยากจะเอาชีวิตข้าแล้ว” หลิ่วหมิงลูบคางและส่ายหัวกล่าวออกมา
“ข้านับถือศิษย์น้องไป๋ที่มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อยมาโดยตลอด ทำไมถึงพูดเรื่องไร้เดียงสาเช่นนี้ออกมาได้ ถึงแม้ตระกูลมู่จะไม่อาจเทียบได้กับตระกูลเหลย แต่ก็นับว่าเป็นตระกูลผู้ฝึกปราณที่มีชื่อเสียงในแคว้นต้าเสวียน เรื่องงานแต่งของหญิงสาวในตระกูลจะตัดสินใจโดยคนคนเดียวได้อย่างไร ถึงแม้หมิงจูในตอนนี้จะมองเจ้าเป็นศัตรู แต่พอได้แต่งกับเจ้าจริงๆ แล้วก็ย่อมค่อยๆ กลับใจไม่ถือโทษโกรธเคืองเจ้าอีก ข้อนี้ข้ารับรองได้ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับตระกูลไป๋และตระกูลมู่แล้วถือว่าการแต่งงานในครั้งนี้สำคัญต่อทั้งสองตระกูลมาก ถึงแม้ศิษย์น้องจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณ ก็เกรงว่าไม่อาจปฏิเสธงานแต่งงานที่บิดาของเจ้ากำหนดไว้ได้ อีกอย่างมู่หมิงจูนี้เสียแค่ไม่ได้เป็นศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ส่วนด้านอื่นๆ ก็เป็นผู้มีความสามารถที่หาได้ยากยิ่ง จับคู่กับศิษย์น้องแล้วล่ะก็ถือว่าเหมาะสมเท่าเทียมกัน” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ในเมื่อศิษย์พี่พูดถึงแต่เรื่องดีๆ แล้วทำไมถึงได้มาหาข้าอีกล่ะ!” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้ม และกล่าวออกไปพร้อมกับกรอกตามองบน
“ที่ข้ามาถึงนี่เป็นเพราะว่าประการแรกเพื่อที่จะอธิบายเรื่องการแต่งงานนี้ให้ชัดเจนเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ ประการที่สองคือให้ศิษย์น้องระวังคนผู้หนึ่ง” รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่อวิ๋นเซียนหายไป
“ระวังคนผู้หนึ่ง! ใครกัน?” หลิ่วหมิงถามกลับไป
“แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าเด็กเกาชง!”
“เกาชงศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาที่ถูกอาจารย์อาท่านประมุขรับเป็นศิษย์ผู้นั้น!” ถึงแม้หลิ่วหมิงจะเป็นผู้ที่สงบเยือกเย็นมาแต่ไหนแต่ไร แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้นขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ไม่ผิด สองปีมานี้เจ้าเด็กนั่นกับหมิงจูสนิทสนมกันมาก ถ้าหากเขาทราบเรื่องการแต่งงานในครั้งนี้ เกรงว่าคงจะไม่ยอมรามือง่ายๆ” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวโดยไม่สะทกสะท้าน
“สนิทสนมกันมาก หมายความว่าอย่างไร!” หลิ่วหมิงจ้องมองหญิงสาวด้วยสายตาเยือกเย็น
“พูดง่ายๆ ก็คือหมิงจูมีใจให้กับเกาชง และตอนนี้เกาชงก็สนใจหลานสาวของข้าคนนี้มาก ดังนั้นจึงให้เจ้าระวังไว้บ้าง แต่เจ้าวางใจได้ว่าหมิงจูกับเจ้าเด็กนี่ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เลยเถิด” มู่อวิ๋นเซียนตอบกลับอย่างรีบร้อน
“ศิษย์พี่มู่คงไม่ได้ล้อข้าเล่นหรอกนะ! ในเมื่อหลานสาวท่านมีคนที่ชอบแล้ว ทั้งยังเป็นศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาที่มีอนาคตอันยาวไกลขนาดนี้ ตระกูลมู่ยังจะรับหมั้นจากตระกูลข้า?” หางตาหลิ่วหมิงกระตุกสองสามครั้งแล้วสีหน้าก็ไม่แสดงความรู้สึกใด
“ข้าจะไม่ยอมให้หมิงจูกับเกาชงอยู่ด้วยกันเด็ดขาด ส่วนเหตุผลนั้นข้าไม่อาจพูดมากได้ แต่แค่เจ้ารู้ว่าพี่ชายข้าและตระกูลมู่ต่างก็หมายความเช่นนี้ก็พอ อีกอย่างถ้าหากหมิงจูอยู่กับเกาชงจริงๆ มันไม่เพียงแต่ไม่อาจกลายเป็นคู่รักฝึกฝนเท่านั้น แต่จุดจบก็น่าเศร้าสลดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”
“ดังนั้นตระกูลมู่จึงเลือกใช้ข้ามาบังหน้า อีกฝ่ายเป็นถึงศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธา ศิษย์พี่คิดว่าข้าจะสามารถไปยุแหย่เขาได้หรือ?” หลิ่วหมิงไม่สะเทือนกับคำพูดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อยและกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องลำบากใจสำหรับศิษย์น้องไป๋อยู่เหมือนกัน แต่งานแต่งในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่บิดาเจ้ารับปากไว้แล้ว และยังมอบของหมั้นให้แล้วด้วย ตอนนี้คิดที่จะถอนตัวก็คงไม่ทันแล้ว ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลใจเรื่องเกี่ยวกับเกาชงมากนัก เด็กคนนี้ถูกท่านประมุขดูแลอย่างเข้มงวด โอกาสที่เขาจะมาหาเจ้านั้นก็มีไม่มาก แต่มีศิษย์เก่าบางคนที่เกาะติดอยู่ข้างกายเขา เกรงว่าเมื่อคนพวกนี้ทราบเรื่องเข้าอาจเข้ามาสร้างความยุ่งยากให้เจ้าได้ ต่อไปศิษย์น้องพยายามอย่าออกไปนอกนิกายจนกว่าจะผ่านพ้นการทดสอบความเป็นความตาย ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาแล้วล่ะ” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ผ่านพ้นการทดสอบความเป็นความตายก็ไม่มีปัญหาแล้ว! หมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา
“เพราะตามที่ข้าทราบมา เมื่อไม่นานมานี้เกาชงเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย ด้วยพลังจิตวิญญาณพสุธาของเขาคงจะเข้าไปเป็นศิษย์แกนนำได้ไม่ยาก ถ้าหากผ่านการทดสอบความเป็นความตายกลับมาได้ล่ะก็ จะได้รับผลประโยชน์กับทรัพยากรที่เพียงพอทำให้เขาก้าวสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบ พอถึงตอนนั้นเขาคงเตรียมที่จะทะลวงเข้าสู่เขตแดนของอาจารย์จิตวิญญาณ คงไม่มาสนใจเรื่องความรักระหว่างชายหญิงแล้ว ถึงแม้เขาจะยังสนใจอยู่แต่อาจารย์อาท่านประมุขก็คงไม่ยินยอมอย่างแน่นอน และการทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่สามารถทำได้ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี พอถึงตอนนั้นเจ้ากับหมิงจูก็กลายเป็นสามีภรรรยากันนานแล้ว เขาจะยังทำอะไรศิษย์น้องได้อีก” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าต่อไปเขากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ล่ะ?” หลิ่วหมิงจ้องมองหญิงสาวแล้วถามออกไป
“ศิษย์น้องไม่รู้ล่ะสิ! วิชาที่สาขาของอาจารย์อาท่านประมุขฝึกฝนนั้นมีความพิเศษเป็นอย่างมาก พอกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้วไม่สามารถมีความรักได้โดยเด็ดขาด และพอถึงเวลาที่อาจารย์อาท่านประมุขไม่ขัดขวางแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีดรุณีน้อยผู้ฝึกฝนตั้งเท่าไหร่ที่อยากโผเข้าหาอ้อมอกเขา แล้วเขาจะนึกถึงหมิงจูได้อย่างไร ถ้าหากเจ้ากังวลจริงๆ ล่ะก็ เมื่อเจ้ากับหมิงจูแต่งงานกันแล้วก็ทำเรื่องย้ายไปเป็นผู้ดูแลอยู่นอกนิกายได้ เช่นนี้แล้วเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปเอง” มู่อวิ๋นเซียนบรรยายออกมาอย่างละเอียดยิบราวกับว่าได้คิดไว้ก่อนนานแล้ว
หลิ่วหมิงได้ยินก็เงียบไปชั่วครู่ แล้วอยู่ๆ ก็พูดประโยคที่ทำให้มู่อวิ๋นเซียนรู้สึกงงงันขึ้นมา
“ศิษย์พี่มู่ ข้าไม่อยากคุยเรื่องราวเกี่ยวกับข้าและแม่นางหมิงจูแล้ว ตอนนี้ข้าอยากถามเรื่องการประลองใหญ่กับการทดสอบความเป็นความตาย ศิษย์พี่อยู่ในนิกายมานานคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทราบเรื่องราวเหล่านี้”
……
ช่วงเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลังจากที่หญิงสาวจากไปด้วยรอยยิ้มแล้ว ในห้องก็เหลือแค่หลิ่วหมิงคนเดียวที่นั่งครุ่นคิดเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้
เขาไม่ได้กลัดกลุ้มเรื่องของเกาชงกับมู่หมิงจู แต่กำลังคิดใคร่ครวญเรื่องการประลองใหญ่กับเรื่องการทดสอบความเป็นความตายอยู่
……………………………………….