“คนผู้นี้มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่ทำไมกายเนื้อถึงแข็งแกร่งเช่นนี้ ใบหน้าก็ดูแปลกตายิ่งนัก ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ที่นี่ โม่ชี เจ้าอยู่ที่มานานเคยเห็นคนผู้นี้บ้างหรือไม่?” พอหลิ่วหมิงเดินไปไกลแล้ว หญิงที่ชื่อ ‘ชิงฉี’ ก็หันมาถามชายหนุ่มที่ดูเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง
“ก่อนหน้านั้นข้าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน แต่กำปั้นลูกเดี๋ยวก็โจมตีจนดาบกระดูกกระเด็นไปได้นั้น คงเป็นผู้ฝึกร่างอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งนี้ทำให้ข้านึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ พวกเจ้ายังจำเรื่องเมื่อเดือนก่อน……” ชายหนุ่มที่ดูเฉลียวฉลาดลูบคางแล้วกล่าวออกมาราวกับคิดอะไรอยู่
“อ๋อ! เจ้าหมายถึงคนมาใหม่ที่สังหารน้องชายของพี่ใหญ่ซา และพี่ใหญ่ซาประกาศรางวัลนำจับสองพันหินจิตวิญญาณใช่ไหม?” ตอนแรกชายหนุ่มอีกคนก็รู้สึกตกใจมาก แต่หลังจากคิดๆ ดูแล้วก็กล่าวออกมา
“ดูท่าคงจะเป็นคนผู้นี้ หลายปีมานี้คนที่ถูกจับมาน้อยลงทุกวัน ลำพังแค่การฆ่าพี่รองซาปิดปากอย่างง่ายดายเช่นนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปจะสามารถทำได้” ชายหนุ่มที่ดูเฉลียวฉลาดเอามือถูกันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ดูจากท่าทีของคนผู้นี้แล้ว คงจะไปชำระหินแร่ เพื่อแลกโอสถถอนพิษประจำเดือนเช่นกัน คนผู้นี้พวกเราไม่สามารถไปยุแหย่ได้ แต่แค่แจ้งเบาะแสของเขาคงไม่มีปัญหาอะไร โม่ชี เจ้าไปรายงานพี่ใหญ่ซาเถอะ! สองพันหินจิตวิญญาณไม่ใช่จำนวนน้อยๆ นะ หากเราไม่ไปรายงาน คนอื่นก็ไปรายงานอยู่ดี” ชิงฉีฟังมาถึงจุดนี้ก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปสั่งชายหนุ่มที่ดูเฉลียวฉลาด
ชายหนุ่มที่ดูเฉลียวฉลาดพยักหน้า และหยิบหนังอสูรออกมาแผ่นหนึ่ง หลังจากเขียนอะไรบางอย่างลงไปบนนั้นแล้ว ก็เรียกอสูรระดับต่ำที่ดูคล้ายกับหนูออกมาจากถุงหนังบนเอว พอเขานำหนังอสูรมัดกับตัวของมันแล้วก็โยนลงพื้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงแปลกๆ ออกมา
พออสูรน้อยตนนั้นกระพริบตาเล็กๆ ทั้งสองแล้ว มันก็พุ่งไปยังทิศทางบางแห่งทันที
……
ตอนนี้หลิ่วหมิงกำลังแบกถุงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหินแร่มุ่งหน้าไปยังเขตแลกเปลี่ยนอยู่ เขายังไม่รู้ว่าสถานะของตนเองได้ถูกเปิดเผยแล้ว และยังถูกใครบางคนไปรายงานข่าวแล้วด้วย
แต่ต่อให้เขาจะรู้เรื่องนี้ ก็คงขี้เกียจจะใส่ใจ
ด้วยสถานะผู้มาใหม่อย่างเขา หากจะยืนมั่นในสถานที่แห่งนี้ ต้องเชือดไก่ให้ลิงดูถึงจะได้
ที่เขามาเขตแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เดิมทีก็คิดจะลงมืออย่างรุนแรงสักครั้งอยู่แล้ว พอเห็นทาสเหมืองแร่เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นมาหาเรื่องก่อน เขาจึงลงมืออย่างไม่เกรงใจ
แต่ที่เขาเพียงแค่ตีคนทั้งห้าให้สลบไปนั้น ก็เพื่อไม่ให้ตนเองดูโอ้อวดจนเกินไป ซึ่งไม่ได้ฆ่าคนตายเป็นเบือ
ระยะทางในตอนท้าย เขาพยายามเลี่ยงไปเดินทางสายเล็กๆ ที่ลับตาคน แต่ก็ยังเจอทาสเหมืองแร่กลุ่มอื่นๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่พอทาสเหมืองแร่เหล่านี้ เห็นเขามาคนเดียว และยังแบกถุงใบใหญ่ขนาดนี้ พวกเขากลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะไม่เข้ายั่วยุเท่านั้น แต่ยังหลีกทางให้ บางคนถึงกับเลี่ยงไปเดินทางอื่นเลยก็มี
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ด้วยเหตุนี้ ระหว่างการเดินทางจึงราบรื่นเหนือความคาดหมาย
หนึ่งวันผ่านไป
เมื่อหลิ่วหมิงแบกถุงผ่านเส้นทางคดเคี้ยวสายหนึ่งจนมาถึงหน้าอุโมงค์ทางเข้าซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตแลกเปลี่ยนนั้น พลันพบว่าบนพื้นภายในอุโมงค์ มีชายฉกรรจ์สูงราวๆ สองจั้ง ใบหน้าปูดโปนกำลังนั่งขัดสมาธิและหันหน้ามาทางปากทางเข้า ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท ดูเหมือนกำลังนั่งสมาธิอยู่ ด้านหลังของเขายังมีชายทาสเหมืองแร่รูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่สองคน ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอใครบางคนอยู่
พริบตาที่หลิ่วหมิงก้าวเท้าเข้าไปในอุโมงค์ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ลืมตาขึ้นมาทันที และมองมาทางหลิ่วหมิง ไม่นานเขาก็เผยสีหน้าดุร้ายออกมา และสังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร
หลิ่วหมิงเป็นคนที่มีความคิดว่องไวมาก พอสีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นมา เท้าทั้งคู่ก็หยุดชะงักทันที และจ้องมองฉกรรจ์ด้วยสีหน้าเยือกเย็น
กลิ่นไออันตรายแผ่ออกจากตัวของพวกเขาทั้งสอง
แววโหดร้ายเปล่งประกายในดวงตาของชายฉกรรจ์ พอเขายักไหล่แล้วก็ลุกขึ้นยืนอย่างไร้ซุ้มเสียง และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร
“สหายผู้นี้ดูไม่คุ้นตายิ่งนัก แต่ว่าดาบกระดูกบนเอวของเจ้า ข้ากลับคุ้นตามาก”
พอหลิ่วหมิงได้ยินก็ทำเหมือนจะกวาดสายตาดูดาบกระดูกบนเอวอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นถึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“อ๋อ! สหายล้อข้าเล่นแล้ว ดาบกระดูกเล่มนี้ เป็นอาวุธที่ทำมาจากกระดูกของอสูรโฉดที่พบได้โดยทั่วไป”
“แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่พบได้โดยทั่วไป แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง และมอบให้กับน้องชายของข้า เจ้าเด็กใหม่ เจ้าช่างใจกล้าไม่เบา แม้แต่น้องชายท้องเดียวกันกับข้า เจ้าก็ยังกล้าฆ่าเขา! วันนี้เจ้าอย่าหวังจะมีชีวิตรอดไปจากที่นี่เลย!” ชายฉกรรจ์ที่ชื่อว่า ‘พี่ใหญ่ซา’ กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“ที่แท้คนที่ลอบโจมตีข้า ก็เป็นน้องชายร่วมท้องเดียวกันกับท่าน เหมือนว่าข้าพูดอะไรไปก็คงจะเปล่าประโยชน์ ดีมาก! ดูท่าท่านคงเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในสถานที่แห่งนี้ ข้าน้อยคงต้องขอคำชี้แนะแล้ว” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็เข้าใจในทันที แต่พอมองรูปร่างของชายฉกรรจ์สองทีแล้ว ก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ท่าทีคุมเชิงและบทสนทนาของทั้งสอง ย่อมดึงดูดความสนใจของทาสเหมืองแร่ในบริเวณนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
คนเหล่านี้ต่างก็พากันหยุดเรื่องที่ทำอยู่ และหันมองมาทางด้านนี้ บ้างก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึก บางก็มีสีหน้าตื่นเต้นกว่าปกติ ซึ่งต่างก็รอดูท่าทีของพวกเขา
ในถ้ำหินบางแห่งที่อยู่ไกลออกไป ชายวัยกลางคนที่เดิมทีรับหน้าที่ดูแลสถานที่แห่งนี้ กลับยังคงนั่งสมาธิโดยไม่สนใจอะไรเลย ราวกับว่าไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
พอพี่ใหญ่ซาได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง ก็หดรูม่านตาลงทันที แต่ไม่นานก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง มือทั้งสองกำเข้าหากันจนแน่น ทันใดนั้นก็มีเสียงข้อกระดูกดังกรอบแกรบ ขณะเดียวกัน เท้าข้างหนึ่งก็เหยียบพื้นบริเวณนั้นอย่างรุนแรง พื้นหินที่ดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แตกกระจายออกมา และทรายสีเหลืองจำนวนหนึ่งก็หมุนวนรอบตัวเขา
ชายฉกรรจ์ทำท่ามือด้วยมือเดียว
“ฟู่!”
ทรายสีเหลืองกระโจนเข้าหาร่างของเขา และก่อตัวเป็นเกราะทรายพสุธาอย่างหยาบๆ ภายใต้การส่องแสงของหินเรืองแสงสีเขียวที่อยู่บนเสาหิน ทำให้มันเปล่งทรงกลดสีเหลืองออกมา พอมองจากที่ไกลๆ แลดูคล้ายหุ่นทรายพสุธาขนาดใหญ่!
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาโยนถุงขนาดใหญ่ไว้ข้างๆ พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เหล็กสีดำก็โผล่ออกมา
“ผู้ที่มาใหม่คิดจะใช้กระบี่พังๆ นี้รับมือกับพี่ใหญ่ซาหรือ?”
“นั่นน่ะสิ! ช่างน่าอืมระอาจริงๆ พี่ใหญ่ซาผู้นี้มีร่างจิตวิญญาณที่สามารถควบคุมพลังทรายพสุธาเพื่อใช้ป้องกันตัวได้ อีกอย่างก็ใช้พลังเวทย์น้อยมาก”
“ฮ่าๆ……ฮ่าๆ!”
คำพูดถากถางดังเข้าหูหลิ่วหมิง แต่นอกจากแววตาของเขาจะเปล่งประกายเยือกเย็นออกมาแล้ว สีหน้ากลับดูไม่เปลี่ยนเลย
พี่ใหญ่ซาเห็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำในมือหลิ่วหมิงที่พังจนไม่รู้จะพังอย่างไรแล้ว ดวงตาของเขาก็ฉายแววดูถูกเหยียดหยามออกมา
เท้าทั้งสองกระโดดขึ้นจากพื้น จากนั้นก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำพุ่งขึ้นด้านบน เกราะทรายหนาๆ บนตัวราวกับไม่มีน้ำหนักเลยแม้แต่น้อย กำปั้นทั้งสองที่ถูกทรายพสุธาห่อหุ้มอยู่ ก็ดูราวกับค้อนยักษ์สองอันที่ทุบใส่หลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็บิดตัวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวขึ้นมา
“ตู๊ม!”
บังเกิดหลุมขนาดใหญ่หลายจั้งบนพื้นด้านล่างทันที
พอฝุ่นกระเด็นออกไป ชายฉกรรจ์ที่ถูกทรายสีเหลืองห่อหุ้มอยู่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา และหันมองมาด้วยความประหลาดใจ
มีเงาร่างสั่นไหวในที่ที่เขาเคยยืนในก่อนหน้านั้น ไม่นานร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
ดูเหมือนกับว่าเขากับชายฉกรรจ์ต่างก็สลับตำแหน่งกัน
“เจ้าเด็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหลบได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ แต่หากมีความสามารถแค่นี้ล่ะก็ ยอมให้จับซะโดยดีเถอะ!” ชายฉกรรจ์ส่งเสียงคุกคามออกมา ทันใดนั้นมือทั้งสองก็ถูเข้าด้วยกัน ใบมีดทรายขนาดยักษ์ที่ยาวสามจั้งปรากฏออกมา เม็ดทรายไหลวนอยู่บนพื้นผิวราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต
พอหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็เผยสีหน้าแปลกๆ ออกมา แววสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
เขาทำเสียงฮึดฮัด และสะบัดข้อมือจนกระบี่เล็กสีดำกลายเป็นเงากระบี่เกือบร้อยเงา แต่ต่อมาก็รวมตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นแสงกระบี่สีดำที่ยาวสองสามชุ่น มีอักขระสีดำลอยออกมา
หลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทย์ใส่กระบี่ทันที
กระบี่ดำส่งเสียงดังหวึ่งๆ และแผ่แสงทรงกลดแสบตาออกมา จากนั้นมันก็สั่นสะท้านกลายเป็นสายรุ้งดำม้วนตัวไปยังฝ่ายตรงข้าม
“ผู้ฝึกกระบี่!”
“วิชาขี่กระบี่!”
ในบรรดาทาสเหมืองแร่ที่ล้อมดูอยู่ด้านข้าง ย่อมมีผู้ฝึกฝนที่มีความรู้อยู่จำนวนหนึ่ง พอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็มีหลายคนหลุดปากออกมา!
พี่ใหญ่ซาเห็นเช่นนี้ ก็ตกใจจนหน้าถอดสี เขาคิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันการเสียแล้ว ทำได้แต่คำรามออกมาอย่างสุดชีวิต และใช้ใบมีดทรายฟันใส่สายรุ้งดำที่ม้วนเข้ามา ขณะเดียวกัน เกราะทรายพสุธาที่ปกคลุมทั่วร่างของเขาก็เปล่งแสงออกมา
“เพล้ง!”
พอใบมีดทรายถูกสายรุ้งดำม้วนตัวผ่าน มันก็พังทลายกลายเป็นเม็ดทรายทันที
สายรุ้งดำหมุนวนรอบตัวชายฉกรรจ์หนึ่งรอบอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ต่อมาแสงของมันก็ดับลง และคืนร่างเป็นกระบี่เล็กสีดำเช่นเดิม จากนั้นก็หายเข้าไปในแขนเสื้อของหลิ่วหมิง
พี่ใหญ่ซาร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง ขณะเดียวกันก็ร่นถอยไปสองก้าว เกราะทรายพสุธาบนตัวแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ แสงโลหิตปรากฏออกมา จากนั้นร่างของชายฉกรรจ์ก็ขาดเป็นสองส่วนแล้วล้มลงพื้นไป
อุโมงค์ขนาดใหญ่เงียบลงในทันที คนจำนวนมากต่างก็สูดหายใจด้วยความเยือกเย็น!
คนบางส่วนที่คิดจะทำอะไรบางอย่างกับถุงใบใหญ่ของหลิ่วหมิง ก็มีเหงื่อเย็นผุดออกมากลางหลัง
ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนที่ยืนอยู่หลังพี่ใหญ่ซาในก่อนหน้านั้น หมุนตัวเดินหายไปในท่ามกลางฝูงชนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ขณะนี้ ชายวัยกลางคนที่อยู่ในถ้ำหินลืมตามองมาทางด้านนี้อย่างอดไม่ได้ สีหน้าของเขาดูอึมครึมซึ่งไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลิ่วหมิงกลับถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็เดินไปด้านหน้าสองสามก้าว เมื่อเขาค้นตัวศพเสร็จแล้วก็เก็บถุงของตนเองขึ้นมา และหามุมที่ไม่มีคนแล้ววางลงไป ขณะเดียวกันก็นั่งขัดสมาธิรออยู่บนพื้น
ขณะที่เขาได้ยินคนด้านข้างพูดถึงร่างจิตวิญญาณที่มีลักษณะการป้องกันแบบพิเศษของพี่ใหญ่ซา เขาก็ตัดสินใจใช้วิธีการขั้นเด็ดขาดเพื่อจบการต่อสู้โดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นด้วยพลังการปกป้องกันอันแข็งแกร่งของเขา การต่อสู้ระยะยาวไม่ใช่วิธีการที่ฉลาดมากนัก
หลิ่วหมิงจึงได้แต่กระตุ้นวิชาขี่กระบี่ ถึงจะปล่อยอานุภาพอันน่าตกใจออกมาเพื่อสั่นสะเทือนสยบใจผู้คนได้
ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลวเลย!
…………………………………