ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 393 แท่งวายุกระดูก

หลังจากอสูรตนนี้ถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนหน้ามืดตาลาย มันก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก ทันใดนั้น มันกระโจนใส่เงาร่างเงาหนึ่งทันที กรงเล็บอันแหลมคมราวกับใบมีดคว้าเข้ามาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด

เงาร่างทั้งหมดพุ่งไปด้านหลังพร้อมกัน จนสามารถหลบกรงเล็บไปได้ แต่ไม่นานเงาร่างทั้งสี่ก็สลายไปทันที เงาร่างที่แท้จริงของหลิ่วหมิงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอสูรยักษ์ แต่สีหน้าเขาดูประหลาดใจเล็กน้อย

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้ว่าทำไมบรรดาทาสเหมืองแร่ถึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อพูดถึงอสูรโฉด

ความสามารถอย่างอื่นของมันไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่พลังป้องกันอันแข็งแกร่ง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจะสามารถทำการโจมตีได้ จำเป็นต้องรวมพลังกันหลายคนถึงมีโอกาสสังหารมันได้

แต่เขาไม่ใช่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวโดยทั่วไป เวลาที่คนอื่นเผชิญหน้าหน้ากับมันเพียงลำพังอาจจะหมดหนทางสู้ แต่หากเขากระตุ้นพลังเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสังหารอสูรตนนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว แต่ดาบกระดูกในมือได้ตั้งขวางไว้ตรงหน้า หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว แขนทั้งสองก็ขยายใหญ่ขึ้นเท่าตัว เส้นเอ็นปูดโปนออกมา

ขณะนี้อสูรโฉดคำรามออกมา มันอ้าปากจนเห็นคมเขี้ยวอันแหลมคม จากนั้นก็กระโจนใส่หลิ่วหมิง

“ฟู่!”

เงาสีแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากด้านหลังของหลิ่วหมิง ทันใดนั้นมันก็ชนใส่อสูรโฉดจนร่วงลงมา จากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ในระหว่างที่แมงป่องกระดูกกับอสูรโฉดต่อสู้กัน หลิ่วหมิงก็มีเวลามองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของอสูรโฉดได้อย่างชัดเจน

มันมีเขาโค้งๆ อยู่บนหัวหนึ่งคู่ หัวมีลักษณะคล้ายหมาป่ายักษ์ คมเขี้ยวโผล่ออกมาจากปาก ดวงตาแดงก่ำทั้งคู่ดูโหดร้ายทารุณมาก บนตัวมีลายพาดกลอนสีดำ เท้าทั้งสี่โค้งงอและล่ำสัน คมเล็บแหลมคมราวกับเคียวเกี่ยวข้าววาดผ่านกลางอากาศ และส่งเสียงดังสนั่นออกมา แลดูโหดเหี้ยมยิ่งนัก

พริบตาที่หลิ่วหมิงสังเกตดูนั้น อสูรโฉดกับแมงป่องกระดูกก็ต่อสู้กันไปสองสามรอบแล้ว

แมงป่องกระดูกบิดลำตัวที่ยาวจั้งกว่าๆ จนหลบกรงเล็บไปได้ทุกครั้ง จากนั้นหางตะขออสรพิษตรงหลังก็กลายเป็นเส้นสีดำหลายสิบเส้นก่อนที่จะพุ่งยิงออกไป

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างต่อเนื่องราวกับสายฝนกระหน่ำ อสูรโฉดก็โบกสะบัดกรงเล็บต้านทานไว้ ขณะเดียวกันก็กระโดดหลบอยู่ไม่หยุด หลังจากที่มันส่งเสียงคำรามออกมา ขาหน้าข้างหนึ่งก็ขยายใหญ่เท่าตัว

แมงป่องกระดูกไม่ทันได้ระวัง จึงถูกตบกระเด็นไปชนผนังถ้ำอย่างรุนแรง

ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงเคลื่อนตัวไปอยู่ข้างอสูรโฉดอย่างรวดเร็ว แขนขนาดใหญ่ทั้งสองจับดาบกระดูกไว้แน่น และฟันออกไปด้วยเสียงอันดัง

ดาบนี้ดูเหมือนเชื่องช้า แต่ความจริงมันรวดเร็วมาก!

ตั้งแต่ที่อสูรโฉดรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล มันก็กระโดดตัวขึ้นมาทันที แต่ก็ยังคงถูกเงาดาบฟันลงบนหลังอยู่ดี

“ฉับ!”

ดาบกระดูกไม่สามารถฟันร่างอสูรโฉดได้ แต่กลับมีพลังมหาศาลทะลักออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นคลื่นสั่นสะเทือนไร้รูปหายเข้าไปในร่างอสูรโฉด ทำให้อวัยวะภายในของมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที

อสูรโฉดร้องอย่างน่าเวทนา จากนั้นก็วิ่งหนีทันที แต่หนีไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างของมันก็อ่อนยวบยาบแล้วล้มลงพื้น โลหิตสีดำไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย

พอมีเงาร่างสั่นไหว หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวข้างอสูรโฉดอีกครั้ง หลังจากจ้องมองด้วยสายตาที่เยือกเย็นแล้ว ก็เอาเท้าเหยียบหัวมันไว้

“ฟู่!”

หัวที่ดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ระเบิดออกมาเป็นสีขาวแดงในทันที

ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงยกเท้าที่ถูกเกล็ดมังกรแดงปกคลุมอยู่ออกมา หลังจากกลิ่นไอบนตัวหายไปแล้ว แขนขนาดใหญ่ทั้งสองก็กลับมาเป็นปกติ

ขณะนี้ แมงป่องกระดูกพุ่งออกไปด้านข้าง และใช้ก้ามยักษ์ทั้งสองฉีกทึ้งศพของอสูรโฉด

ดูเหมือนว่าหลังจากอสูรโฉดตายแล้ว พลังป้องกันของมันก็ลดน้อยลง

แมงป่องกระดูกก้มลงไปหมอบอยู่ตรงเท้าหลิ่วหมิง และส่งเสียงร้องออกมา หางตะขอตรงหลังกวัดแกว่งไปมาอยู่ไม่หยุด

ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงสังเกตดูศพอสูรโฉดที่มีขนาดใหญ่หลายจั้งอีกครั้ง!

อสูรตนนี้มีคุณสมบัติไม่สูง ดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น แต่มันเป็นอสูรตนแรกที่เขาลงมือฆ่าด้วยตนเอง

แต่สิ่งที่หลิ่วหมิงสนใจมากที่สุดกลับเป็นเนื้อของมันที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่าง และกระดูกที่สามารถหลอมเป็นอาวุธได้

หลังจากตรวจดูศพเล็กน้อย เขาก็ใช้ดาบกระดูกแยกชิ้นส่วนของมันออกจากกันอย่างไม่เกรงใจ

หลิ่วหมิงหยิบขวดหยกมาใส่โลหิตอสูรโฉดลงไปสิบกว่าชั่ง จากนั้นก็ตัดชิ้นเนื้อที่ดูเหมือนจะหนักหลายร้อยชั่งออกมา เมื่ออบจนเป็นเนื้อแห้งแล้ว ก็ให้แมงป่องกระดูกขนกลับไปไว้ในถ้ำ

ส่วนกระดูกที่เหลือ พอเขาตรวจดูเล็กน้อยก็ค้นพบว่ามันแข็งแกร่งกว่าโครงกระดูกครึ่งส่วนที่พบในก่อนหน้านั้นมาก แต่เมื่อเทียบกับดาบกระดูกบนมือแล้ว ดูเหมือนจะด้อยกว่าเล็กน้อย

เขาแยกชิ้นส่วนกระดูกเหล่านี้ออกมาอย่างคล่องแคล่ว และขนกลับไปกองไว้ในถ้ำ

หลิ่วหมิงจ้องมองกองกระดูกอสูรโฉดตรงหน้า และใช้มือลูบคางอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งทันที จากนั้นก็หยิบคัมภีร์สีแดงหนาๆ ออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน

ซึ่งมันก็คือ ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ ที่ได้มาจากเหยียนเจวี๋ยนั่นเอง

หลังจากที่ได้คัมภีร์เล่มนี้มา เขาก็พลิกอ่านแค่คร่าวๆ จากนั้นก็ใส่ลงไปในหอยสังข์ย่อส่วน เพื่อรอมีเวลาว่างแล้วค่อยมาเอามาศึกษา

ขณะนี้ พอเขาพลิกไปถึงหน้าหลอมอาวุธที่อยู่ครึ่งหลัง สายตาของเขาก็จ้องมองเนื้อหาในนั้น

“แท่งวายุกระดูก อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ”

อาวุธที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวนี้ นับว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำเพียงหนึ่งเดียวที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ดูเหมือนว่าไม่ต้องใช้พลังเวทย์ก็สามารถแสดงอานุภาพอันน่าหวาดกลัวออกมาได้

ตามที่ใบทึกไว้ในคัมภีร์ เคยมีผู้ฝึกร่างระดับของเหลวใช้อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำชนิดนี้ แสดงอานุภาพอันน่ากลัวออกมาแล้ว ทั้งยังเคยทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกบาดเจ็บสาหัสมาแล้ว

พอหลิ่วหมิงเห็นบันทึกนี้ ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

เพราะการที่อาศัยแค่พลังของร่างกาย ก็สามารถโจมตีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกจนได้รับบาดเจ็บได้ มันเป็นเรื่องที่คาดคิดไม่ถึง

หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ แท่งวายุกระดูกจะเป็นอาวุธที่ใช้ได้ดีที่สุดในสถานที่ที่ขาดปราณพลังฟ้าดินเช่นนี้

ที่สำคัญที่สุดก็คือวัสดุที่ใช้หลอมอาวุธชิ้นนี้ ใช้เพียงแค่โครงกระดูกจำนวนหนึ่งกับทองแดงที่บดด้วยลมเพียงเล็กน้อย ซึ่งในถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้ สามารถหาของทั้งสองอย่างได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าคุณสมบัติของโครงกระดูกก็ส่งผลต่ออานุภาพอาวุธจิตวิญญาณเป็นอย่างยิ่ง แม้อสูรตรงหน้าจะมีคุณสมบัติไม่ค่อยสูง แต่เนื่องจากร่างของมันแข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิด กระดูกของมันจึงเป็นวัสดุหลอมอาวุธที่มีไม่มาก

และขึ้นตอนการหลอมอาวุธที่ใช้ได้แค่ครั้งเดียวนี้ เมื่อเทียบกับอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำอื่นๆ แล้ว มันสามารถเรียนรู้ได้ง่ายกว่ามาก ช่างเหมาะกับมือใหม่อย่างหลิ่วหมิงยิ่งนัก

เนื่องด้วยมันมีเงื่อนไขของชั้นจำกัดที่แฝงอยู่ไม่ค่อยสูง ในระหว่างขั้นตอนการหลอมจึงใช้พลังเวทย์ไม่ค่อยมาก

ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ เขาไม่เคยสัมผัสกับการหลอมอาวุธมาก่อน ต่อให้จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณธรรมดา ก็คงไม่สามารถหลอมออกมาได้โดยง่าย

ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ หลังจากหลิ่วหมิงอ่านวิธีการหลอมอาวุธที่บันทึกอยู่ในหน้านี้เสร็จแล้วก็ปิดคัมภีร์ลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเล็กน้อย

“ช่างเถอะ! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้จะยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดอย่างทรายทองคำร่วง และโล่เก้ากระโหลกกะโหลกอยู่กับตัว แต่ก็ไม่อาจสิ้นเปลืองพลังจำนวนมากในการปรับแต่งมันได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใช้พลังมหาศาลปรับแต่งจนสำเร็จแล้ว ก็ไม่มีพลังเวทย์ที่เพียงพอในการกระตุ้นอยู่ดี ตอนนี้หินจิตวิญญาณระดับสูงที่อยู่ในหอยสังข์ย่อส่วน ยังสามารถรองรับการหลอมอาวุธชนิดนี้ได้ ลองหลอมดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ ค่อยรามือในทีหลัง”

หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวๆ ออกมา ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้

หลังจากสั่งแมงป่องกระดูกให้ระวังภัยอยู่ตรงปากถ้ำแล้ว เขาก็กลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง

ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงใช้เวลาส่วนหนึ่งในการทานโอสถและนั่งเข้าฌาน และใช้เวลาอีกส่วนหนึ่งในการนำกระดูกอสูรโฉดมาทำเป็นแท่งวายุกระดูกตามที่บันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’

ตอนแรก หลิ่วหมิงเลือกกระดูกที่ค่อนข้างใหญ่มาสองสามท่อน จากนั้นก็ใช้ดาบกระดูกในมือตัดออกเป็นเจ็ดแปดชิ้นที่มีขนาดเท่าๆ กัน ต่อมาก็เริ่มนำกระดูกท่อนหนึ่งมาทำตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ เขาสลักลวดลายที่ค่อนข้างซับซ้อนไว้จำนวนหนึ่ง

พอสลักผิดเขาก็โยนกระดูกในมือทิ้งไปอย่างไม่เสียดาย และเปลี่ยนเป็นกระดูกท่อนใหม่ทันที

สิบกว่าวันผ่านไป กระดูกอสูรโฉดที่กองอยู่มุมถ้ำ ก็เหลือเพียงสิบกว่าท่อนที่มีขนาดเท่าแขนเท่านั้น โครงกระดูกเป็นแท่งๆ ที่มีความยาวประมาณครึ่งฉื่อ ต่างก็มีลวดลายสลักอยู่เต็มไปหมด

ส่วนกระดูกที่ถูกเขาทิ้ง ต่างก็ถูกฝังไว้นอกถ้ำ

หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน ช่วงเวลาหนึ่งเดือนก็มาถึงอีกครั้ง

ในเดือนนี้ เนื่องจากหลิ่วหมิงศึกษาโอสถถอนพิษกับตั้งใจหลอมแท่งวายุกระดูกอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ได้ไปขุดหินแร่เลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำหินแร่ที่ขุดได้ในครั้งก่อนออกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นจึงไปที่เขตแลกเปลี่ยน

เมื่อเขากลับมาในถ้ำอีกครั้ง นอกจากจะมีโอสถถอนพิษหนึ่งเม็ดแล้ว ถุงบนหลังยังมีหินแร่สีเหลืองอร่ามอยู่หลายสิบก้อน

เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำแล้ว ก็รีบหยิบเตาหลอมสีดำเล็กๆ ออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน และโยนหินแร่สีเหลืองอร่ามเหล่านี้เข้าไปในนั้น

เขาเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา จากนั้นก็อ้าปากพ่นเปลวไฟสีแดงอันคุโชนห่อหุ้มเตาหลอมไว้

ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง นิ้วทั้งสิบดีดออกไปราวกับล้อรถหมุน พลังเวทย์ถูกปล่อยเข้าไปในเตาหลอม

หินแร่ที่เป็นก้อนๆ ละลายอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นโลหะสีทองอร่าม

ขณะนี้ หลิ่วหมิงใช้มือดูดแท่งกระดูกที่สลักลวดลายมาไว้ตรงหน้า และบังคับให้มันหล่นลงไปในเตาหลอมอย่างช้าๆ

สี่เดือนต่อมา

หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำลืมตาขึ้นมาทันที ไอดำพวยพุ่งออกจากร่าง พอหมุนวนเหนือศีรษะไปหนึ่งรอบ มันก็แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งกลายเป็นมังกรหมอกดำ อีกส่วนกลายเป็นหมอกพยัคฆ์ดำ

เมื่อทั้งสองแผดเสียงออกมาแล้ว ก็มุดหายเข้าไปในศีรษะของหลิ่วหมิง

มาถึงวันนี้ อาการบาดเจ็บภายในร่างได้หายไปจนหมดสิ้น และพลังเวทย์ก็ฟื้นฟูมาถึงสุดสูงสุด ทำให้เขารู้สึกโล่งใจไปมาก

แต่พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูหอยสังข์ย่อส่วนแล้ว ก็ต้องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

ขณะนี้ หินจิตวิญญาณระดับกลางในหอยสังข์ย่อส่วน ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น แม้แต่หินจิตวิญญาณระดับสูงก็หายไปหลายก้อน ดูเหมือนจะเหลือแค่สิบกว่าก้อนเท่านั้น

ที่หินจิตวิญญาณหมดไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาดูดซับพลังของมันมารักษาอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาทดลองหลอมแท่งวายุกระดูกอยู่ไม่หยุด

พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็คว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ จากนั้นอาวุธจิตวิญญาณสองชิ้นที่ยาวสามสี่ชุ่นก็ปรากฏในมือ

ปลายของมันทั้งสองแหลมคมมาก มีสีเหลืองอ่อนๆ ลวดลายเล็กๆ จำนวนมากปกคลุมอยู่เต็มพื้นผิว ด้ามของมันยังมีรูอยู่สองรู รูปร่างของมันดูแปลกประหลาดเล็กน้อย

นี่คือแท่งวายุกระดูกสองชิ้น ที่เขาทดลองหลอมจนสำเร็จในตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา

แต่พอหลิ่วหมิงนึกถึงอานุภาพอันร้ายกาจของมันที่บรรยายไว้ในคัมภีร์แล้ว ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมามาก

แต่เพื่ออาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำทั้งสองชิ้นนี้ เขาไม่เพียงแต่จะหมดหินจิตวิญญาณไปไม่น้อย แม้แต่กระดูกของอสูรโฉดหลายตนที่เขาสังหารมาได้ ก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น

เสียค่าตอบแทนจำนวนมากมาย เพื่อแลกกับอาวุธทั้งสองชิ้นที่ใช้งานได้แค่ครั้งเดียวเช่นนี้ มันยากที่จะตัดสินส่วนได้ส่วนเสียของมันได้

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset