แม้เงากระบี่สีดำจะโจมตีเบี่ยงเบนไปเล็กน้อย แต่ปราณกระบี่ไร้รูปที่ปล่อยออกมา ก็ยังกรีดหัวไหล่ของเหยียนลัวจนเป็นแผล
เหยียนลัวเห็นฉากเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด แต่กลับดีใจมากกว่า พอเขาทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงบนตัวก็ดับลง ผิวของเขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง และก้าวไปหาหลิ่วหมิงพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆ! วิชาขี่กระบี่ของน้องหลิ่วช่างน่าตกใจจริงๆ หากข้ายังมีถุงมือที่ทอมาจากไหมเงินอีกข้างล่ะก็ ร่างฆ้องทองแดงนี้จะสามารถต้านทานได้หรือไม่นั้น ก็ไม่อาจรู้ได้!”
“พี่เหยียนออมมือแล้ว! วิชาขี่กระบี่นี้เพิ่งฝึกสำเร็จได้ไม่นาน ยังไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ” หลิ่วหมิงโบกมือ และเก็บกระบี่ที่กลับคืนสภาพเดิมเข้าไป จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
กลุ่มคนของพันธมิตรเหล็กที่ล้อมดูอยู่เห็นเช่นนี้ ก็กระซิบกระซาบขึ้นมา แม้สายตาที่มองหลิ่วหมิงจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว
เหยียนลัวในสายตาของพวกเขานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่หลิ่วหมิงกลับทำร้ายเขาได้ในการโจมตีเดียว ย่อมนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
และภายในถ้ำเหมืองแร่ใต้ทะเลแห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งเป็นที่น่าหวาดกลัวกว่าภายนอกมาก
ที่หลิ่วหมิงคิดไม่ถึงก็คือ แม้เหยียนลัวจะเป็นผู้นำหนึ่งในสองอิทธิพลใหญ่ในถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้ และกายเนื้อก็แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึก แต่กลับดูเหมือนเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมามาก
แม้การแลกมือในครั้งนี้เขาจะถูกหลิ่วหมิงทำให้บาดเจ็บ แต่กลับปฏิบัติต่อเขาอบอุ่นกว่าเดิม ทั้งยังสั่งการให้จัดบ้านหินที่ค่อนข้างใหญ่ให้หลิ่วหมิงเข้าไปพัก
ในระยะเวลาสองวันนี้ เหยียนลัวส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ของอสูรโฉดอยู่ตลอด แต่ดูจากข่าวที่รายงานกลับมาย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนภัยร้ายนี้จะเกิดขึ้นโดยไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน และก็หายไปอย่างแปลกประหลาด
นอกจากนี้ ข่าวที่ส่งมาจากเขตแลกเปลี่ยนบอกว่า ในที่สุดกลุ่มผู้พิทักษ์ที่มีเฉินกังเป็นหัวหน้าก็มาปรากฏตัวแล้ว แต่หลังจากมาดูได้ไม่นานก็จากไป
สำหรับเรื่องนี้ เหยียนลัวเพียงแค่หัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่ได้ใส่ใจมันมาก
ในระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงนั่งสมาธิอยู่ในบ้านหินตลอด เหยียนลัวเองก็ให้คนส่งเนื้ออสูรโฉดอบแห้งมาให้เขาไม่น้อย
ซินหยวนเองก็มาหาหลิ่วหมิงที่บ้านหินครั้งหนึ่ง เขายังคงดูป่วยอยู่เช่นเดิม แต่สีหน้าดูดีกว่าก่อนหน้านั้นไม่น้อย ทั้งยังไม่รู้ว่าไปเอาสุรามาจากไหนสองกา
เขาสนทนากับหลิ่วหมิงอย่างถูกคอ ขณะเดียวกันก็พูดคุยเรื่องราวการเดินทางที่พบเจอในโลกภายนอกด้วยความสบายใจ
ในระหว่างการสนทนา ดูเหมือนซินหยวนจะซาบซึ้งใจกับโอสถที่เขามอบให้ในก่อนหน้านั้นเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่พูดถึงผลประโยชน์มากมายที่เขาส่งเสียงมาบอกหลิ่วหมิงในตอนนั้นเลย
สำหรับเรื่องนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่เอ่ยปากถามก่อนอย่างแน่นอน
ผ่านไปสองวัน หลังจากอสูรโฉดทั้งหมดกลับไปเหวลึกจนหมดแล้ว หลิ่วหมิงก็กล่าวลากับเหยียนลัว และได้ปฏิเสธคำเชิญให้เข้าร่วมพันธมิตรเหล็กอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็กลับไปยังที่พักของตนเอง
ซินหยวนและคนอื่นๆ ก็รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในฐานที่มั่นของพันธมิตรเหล็ก
เป็นดังที่คาดหมายเอาไว้ ระหว่างทางหลิ่วหมิงไม่เพียงแต่จะไม่พบอสูรโฉดเลยสักตน แม้แต่ทาสเหมืองแร่ที่พบระหว่างทางก็มีน้อยมาก
เมื่อมาถึงถ้ำที่พักในก่อนหน้านั้น ก็ค้นพบว่าไอหมอกสีขาวเทาที่เคยปกคลุมทางเดินบริเวณนี้ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
หลิ่วหมิงปล่อยแมงป่องกระดูกออกมาเฝ้าระวังอยู่หน้าปากถ้ำ จากนั้นตนเองก็เดินเข้าไปด้านใน
สามารถเอาชีวิตรอดจากภัยร้ายในครั้งนี้ได้ นับว่าโชคดีไม่น้อย และนับว่าได้ผ่านด่านเคราะห์ไปหนึ่งด่านแล้ว แต่ผ่านเหตุร้ายมาได้จะต้องมีโชคตามมา สิ่งนี้ทำให้ความปรารถนาในการหนีออกไปจากที่นี่ของหลิ่วหมิงรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือว่าพลังเวทย์ของเขาในตอนนี้ ต่างก็สูญเสียไปไม่ใช่น้อย ต้องรีบเสริมโดยเร็วที่สุด
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงไปทันที มือทั้งสองพลิกขึ้นมา แต่ละข้างต่างก็ถือหินจิตวิญญาณไว้ข้างละหนึ่งก้อน จากนั้นก็เริ่มหลับตาเข้าสมาธิ
ตอนที่อยู่ในฐานที่มั่นของพันธมิตรเหล็กในก่อนหน้านั้น เขาย่อมไม่กล้าเปิดเผยหินจิตวิญญาณระดับสูงต่อหน้าผู้คน
หลายวันต่อมา
ขณะที่หลิ่วหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่นั้น พลันมีเสียงร้องของแมงป่องกระดูกดังเข้ามา
เขาลืมตาขึ้นมาทันที
แต่ดูจากน้ำเสียงที่มันส่งมาแล้ว กลับดูเหมือนไม่ใช่การถูกศัตรูโจมตี
ขณะที่หลิ่วหมิงเตรียมปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบนั้น พลันมีเสียงดังก้องขึ้นมา
“พี่หลิ่ว ไม่เจอกันหลายวัน เป็นอย่างไรบ้าง!”
“ที่แท้ก็เป็นพี่ซินนั่นเอง ในเมื่อมาแล้วก็เข้ามาคุยกันด้านในเถอะ?” พอหลิ่วหมิงได้ยินเสียงก็จำได้ทันที
ครู่ต่อมา เงาร่างสีเทาก็มาปรากฏภายในถ้ำ
เขาก็คือซินหยวนนั่นเอง
“ดูท่าพี่ซินจะฟื้นฟูได้ไม่เลว ตอนนี้มีความฮึกเหิมประดุจมังกรและเสือที่ผาดโผนแล้ว” หลิ่วหมิงสังเกตดูซินหยวนสามที จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อันนี้ต้องชื่นชมโอสถระดับสูงของพี่หลิ่วแล้ว” ซินหยวนประสานมือคารวะหลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร ที่ข้าใจกว้างเช่นนั้น ก็เพราะหวังว่าพี่ซินจะกลับมาทำการต่อสู้ได้ไวๆ ใช่สิ! พี่ซินมาเยี่ยมเยียนในครั้งนี้ คงไม่ได้มาพูดคุยกันเล่นหรอกนะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?” หลิ่วหมิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลัน และถามจุดประสงค์ในการมาของอีกฝ่ายตรงๆ
“พี่หลิ่ว ไม่ทราบว่าท่านอยากจะมีชีวิตรอดไปจากที่นี่หรือไม่?” พอซินหยวนได้ยินรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป และกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมเล็กน้อย
“ไปจากที่นี่? หรือว่าเจ้าหมายถึงการไปจากถ้ำเหมืองแร่ใต้ทะเลแห่งนี้?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งไปทันที แต่กลับถามออกไปด้วยสีหน้าสงบ
“ไม่ผิด! ข้าหมายถึงการไปจากสายแร่ใต้ทะเลลึกแห่งนี้?” ซินหยวนยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่ซินลองพูดดูก่อนก็ได้” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“ไม่ทราบว่าพี่หลิ่วรู้สึกสงสัยเรื่องการลงมือของหลานสี่ผู้นั้นหรือไม่?” ซินหยวนได้ยิน กลับถามกลับอย่างลึกซึ้ง
“อ๋อ! หรือว่าพี่ซินรู้อะไรบางอย่าง?” พอหลิ่วหมิงได้ยินชื่อ ‘หลานสี่’ เขาก็มีการคาดเดาอะไรบางอย่าง
“ข้าก็เพิ่งจะรู้ความจริงในก่อนหน้านั้นไม่นาน ที่ผู้อาวุโสหลานสี่ผู้นี้ไปปรากฏตัวต่อหน้าฝูงอสูรโฉดนั้น ก็เพื่อหญิงสาวเผ่าเกล็ดทองผู้นั้นจริงๆ และนางก็เป็นบุคคลสำคัญต่อการหนีรอดของพวกเรา เขาก็เลยต้องออกมาช่วย” ซินหยวนกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ดีมาก! พี่ซินเล่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดเถอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ความจริงเรื่องนี้เริ่มจากหลายปีที่ผ่านมา ผู้อาวุโสหลานผู้นั้น เป็นหนึ่งในทาสเหมืองแร่กลุ่มแรกที่ถูกขังอยู่ในถ้ำเหมืองแร่ เขาอยู่ที่นี่มาเกือบร้อยปีแล้ว สหายเหยียนลัวเพิ่งถูกส่งคุมตัวเข้ามาเมื่อสามสิบปีก่อน……” ชายหนุ่มร่างผอมค่อยๆ เล่าอย่างละเอียดยิบ
ที่แท้เหยียนลัวและหลานสี่ที่เป็นผู้นำของสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ในที่นี้ ไม่ว่าจะเข้ามาในถ้ำเหมืองแร่ก่อนหรือเข้ามาทีหลัง ต่างก็ไม่มีใครอยากอยู่สถานที่มืดมิดเช่นนี้ไปตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้ แม้ภายนอกทั้งสองจะดูเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ แต่ความจริงแล้วตั้งแต่วันแรกที่ทั้งสองกลุ่มอิทธิพลก่อตั้งขึ้นมา พวกเขาก็แอบร่วมมือกันอย่างเงียบๆ ในการวางแผนหลบหนีด้วยกัน
ที่ทั้งสองกลุ่มอิทธิพลปะทะกันอยู่ตลอด ก็เพื่อแสดงให้ผู้พิทักษ์เหล่านั้นดู และป้องกันไม่ให้พวกเขาสงสัย
จนวันนี้ ภายใต้ความพยายามอย่างเงียบๆ ของทั้งสอง ก็ได้หาวิธียับยั้งชั้นจำกัดภายในร่างได้แล้ว และหาเส้นทางที่สามารถไปจากถ้ำเหมืองแร่ได้ในที่สุด
ที่หลานสี่ผู้นั้นไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ความจริงแล้วเขายุ่งกับเรื่องเส้นทางการหลบหนีอยู่ตลอดเวลา
เหยียนลัวก็พาลูกน้องรวบรวมหินแร่ทุกคืนวัน เพื่อนำมาแลกกับหินจิตวิญญาณ โอสถ และยันต์จำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็เตรียมการอื่นๆ สำหรับการหลบหนี
แต่เพื่อปกปิดเรื่องนี้ไว้ และป้องกันว่าในบรรดาทาสเหมืองแร่จะมีคนของราชาปีศาจสมุทรสอดแนมอยู่ ในสองกลุ่มอิทธิพลก็มีแค่คนสนิทของเหยียนลัวกับหลานสี่เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
ส่วนทาสเหมืองแร่คนอื่นๆ ก็มีแค่คนที่ทั้งสองยอมรับว่ามีพลังเพียงพอเท่านั้น ถึงจะถูกดึงเข้ามาเป็นพวก และบอกกล่าวเรื่องนี้อย่างเงียบๆ
ซินหยวนตรงหน้าก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่หากอยากให้แผนหลบหนีสำเร็จอย่างราบรื่นล่ะก็ ต้องให้ผู้ที่มีพลังการโจมตีอันแข็งแกร่งคอยช่วยเหลือถึงจะได้ และภายในถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้ ก็มีคนที่เหมาะสมอยู่ไม่มาก จนถึงตอนนี้ยังรวบรวมคนได้ไม่เพียงพอ
ด้วยเหตุนี้ ซินหยวนถึงให้เขาใช้วิชาขี่กระบี่ประลองกับเหยียนลัวในตอนแรก
หลังจากนั้น เหยียนลัวก็รู้สึกพอใจกับอานุภาพของวิชาขี่กระบี่มาก จึงให้ซินหยวนมาเชื้อเชิญหลิ่วหมิงด้วยตนเอง
ซินหยวนเล่าจบก็รีบปิดปากทันที เขารอให้หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเรื่องราวเหล่านี้อย่างเงียบๆ และรอฟังคำยืนยันจากหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงฟังจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นถึงกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
“ตามที่เล่ามา ผู้อาวุโสหลานกับพี่เหยียนลัวได้มีแผนนี้อยู่ในใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่ซินพอจะรู้เส้นทางการหลบหนีที่เป็นรูปธรรมหรือไม่ อย่างที่รู้ๆ ว่าพวกเราอยู่ในส่วนลึกของใต้ทะเล ทั่วทั้งสายแร่ต่างก็ถูกคนของราชาปีศาจสมุทรวางชั้นจำกัดไว้อย่างแน่นหนาแล้ว”
พอซินหยวนได้ยินคำพูดนี้กลับต้องส่ายหหน้าไปมา
“เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ทั้งสองจะบอกวิธีการและเส้นทางการหลบก่อนเริ่มลงมือเล็กน้อยเท่านั้น ในระหว่างนี้พวกเราต่างก็ไม่มีใครรู้เลย พี่หลิ่ว ด้วยคุณสมบัติกับพลังของท่าน ท่านจะยอมถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตหรือ? ท่านจะยอมร่วมมือกับพวกเราหรือไม่?”
หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา และจมดิ่งไปในความคิด ไม่นานก็พลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“พี่หลิ่ว ครั้งนี้ท่านไม่ได้มาคนเดียวใช่ไหม?”
ในระหว่างที่กำลังสนทนาอยู่ หลิ่วหมิงได้ปล่อยพลังจิตออกไป และค้นพบว่านอกถ้ำมีกลิ่นไออันแข็งแกร่งสองแบบซ่อนอยู่
หากพลังจิตเขาไม่แข็งแกร่งพอ และตั้งใจสำรวจซ้ำอีกรอบล่ะก็ หากเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายคนอื่นๆ คงไม่สามารถค้นพบได้เลยแม้แต่น้อย
ซินหยวนได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย และยอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“คิดไม่ถึงว่าจิตรับรู้ของพี่หลิ่วก็แข็งแรงถึงเพียงนี้ เป็นเพราะเรื่องนี้สำคัญมาก ข้าจึงต้องทำเช่นนี้ ขอท่านโปรดให้อภัย แต่เรื่องที่ข้าพูดในก่อนหน้านั้น เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตาเป็นประกาย หลังจากมองชายหนุ่มร่างผอมตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาในฉับพลัน จากนั้นยันต์สีเหลืองผืนหนึ่งก็พุ่งยิงออกไป และระเบิดตัวออกมา
ม่านแสงสีขาวปรากฏออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั้งสองไว้ ทำให้ทั้งสองถูกกั้นจากภายนอก
…………………………………