ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 407 การตายของเหยียนลัว

“พี่เหยียน!”

“ผู้อาวุโสหลาน หมายความว่าอย่างไร?”

พอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้คนในนั้นก็ฮือฮาขึ้นมา ทำให้ไอหมอกสีขาวเทาบริเวณรอบๆ พวยพุ่งไม่หยุด และมีคนสองสามคนเดินออกมาถาม

หลิ่วหมิงก็รู้สึกตกใจมาก แต่กลับกวาดสายตามองคนเหล่านั้นโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ทันใดนั้น เขาก็ค้นพบว่าคนเหล่านี้ เป็นคนสนิทของเหยียนลัวที่เขาเคยเจอที่พันธมิตรเหล็ก และชายวัยกลางคนที่พาเขามาที่นี่ก็อยู่ในนั้นด้วย

พอซินหยวนที่อยู่ข้างๆ เห็นใบหน้าของคนที่หลานสี่หิ้วมาอย่างชัดเจน สีหน้าของเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมา ประจักษ์ชัดว่าไม่เตรียมการรับมือกับฉากที่เกิดขึ้นเช่นกัน

“หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ? หากข้าไม่ค้นพบก่อน เกรงว่าพวกเจ้าคงถูกหลอกโดยที่ไม่รู้ตัว มิเช่นนั้นข้าจะเสี่ยงเริ่มแผนการก่อนกำหนดได้อย่างไร ส่วนรายละเอียดนั้นพวกเจ้าถามสหายเหยียนลัวเองเถอะ!” หลานสี่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วสะบัดข้อมือโยนเหยียนลัวลงพื้น

“ตุ๊บ!”

ร่างอ่อนปวกเปียกของเหยียนลัวหล่นลงพื้น และหน้าฟุบกับพื้นไม่ขยับเขยื้อน ภายในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ก็มีลายเส้นจิตวิญญาณสีเขียวที่ดูคล้ายกับโซ่พุ่งออกจากผิวสีน้ำตาลเข้ม และเปล่งแสงจางๆ ออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วทุกส่วนของร่าง และเลื้อยไปมาราวกับมีชีวิต ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง!

และเมื่อลายเส้นจิตวิญญาณเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด กลิ่นไอของเขาก็ดูขาดๆ หายๆ

ประจักษ์ชัดว่าเหยียนลัวถูกหลานสี่วางชั้นจำกัดไว้แล้ว

เกิดความเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา!

ขณะนี้ คนสนิทของเหยียนลัวที่มีสีหน้าเคืองแค้นในก่อนหน้านั้น ก็รู้สึกประหลาดใจและฉงนเล็กน้อย พวกเขาค่อยๆ ปิดปากแน่น และไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

“พี่เหยียน ที่ผู้อาวุโสหลานกล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือ?” สีหน้าซินหยวนเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเอ่ยปากถามเหยียนลัว แต่น้ำเสียงดูสั่นเครือเล็กน้อย

พอได้ยินคำถามของซินหยวน ดูเหมือนว่าเหยียนลัวที่นอนฟุบอยู่กับพื้นจะขยับนิ้วเล็กน้อย และค่อยๆ ลุกขึ้นมาภายใต้การจ้องมองของทุกคน

พอเห็นผู้ที่มีกายเนื้อแข็งแกร่งอย่างเหยียนลัวลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบากเช่นนี้ คนจำนวนไม่น้อยต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป และแววตาที่มองไปทางหลานสี่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เหยียนลัวในขณะนี้ มีผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย พอฝืนลุกขึ้นยืนได้แล้ว ก็ค่อยๆ มองดูผู้คนตรงหน้าโดยไม่แสดงอาการโกรธเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายสายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวของซินหยวน และกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ที่หลานสี่พูดไม่มีผิด! เป็นข้าเองที่บอกการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าให้กับผู้พิทักษ์เหมืองแร่ และเป็นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว”

พอคำพูดนี้ออกจากปากก็มีเสียงฮือฮาขึ้นมา

ซินหยวนมีสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก

ขณะนี้ ผู้คนที่อยู่ในนี้ต่างก็คาดหวังกับแผนการหลบหนีเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นคงไม่ยอมเข้าร่วมแผนการนี้ แม้กระทั่งคนสนิทส่วนหนึ่งของเหยียนลัว ต่างก็ถูกเหยียนลัวแนะนำเข้ามา

แต่ตอนนี้เขากลับเปิดโปงแผนการกับผู้พิทักษ์เหมืองแร่ แล้วจะไม่ให้พวกเขาโมโหได้อย่างไร

“เหยียนลัว เจ้าเรียกพวกข้ามาที่นี่ และยังไปสมคบคิดกับผู้พิทักษ์อีก มันหมายความว่าอย่างไร?”

“เสียแรงที่พวกเราเชื่อใจเจ้า ทุ่มเทเพื่อเจ้าถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับสมคบคิดกับผู้พิทักษ์!”

เสียงซักถาม และเสียงด่าทอดังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

สายตาคนอื่นๆ ที่มองเหยียนลัวเต็มไปด้วยแววตาดุร้าย

หลานสี่พอจะคาดเดาการแสดงออกของผู้คนได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่กลับเอามือไขว้หลังและจ้องมองด้วยสายตาอันเยือกเย็น

ในขณะนั้นเอง เหยียนลัวก็แหงนหน้าหัวเราะออกมาอย่าบ้าคลั่ง และผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างก็เงียบลงด้วยความตกใจ

พอเสียงหัวเราะสิ้นสุดลง เหยียนลัวก็ยืดตัวตรงและกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งยะโส

“พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่ามีเส้นทางการหลบหนีอยู่จริง? ช่างน่าขันสิ้นดี!”

ผู้คนต่างก็อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเหยียนลัวหมายความว่าอย่างไร

คนเผ่าเจ้าสมุทรผู้หนึ่งกลับก้าวออกไปหนึ่งก้าว และกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ขณะนี้เจ้าถูกผู้คนตีตัวออกห่าง หมดความไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว ยังกล้าคุยโวโอ้อวดอีก คิดว่ายังมีคนเชื่อเจ้าอยู่อีกหรือ?”

“ฮึ! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะต้องปิดบังอีก เส้นทางหลบหนีที่หลานสี่พูดถึง ไม่สามารถผ่านไปได้โดยเด็ดขาด แผนการนี้หลานสี่หลอกพวกเจ้ามาตั้งแต่แรกแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไร แต่ในเมื่อเขาหลอกข้าก่อน ข้าผิดอะไรที่จะหาทางรอดให้ตัวเองบ้าง! ข้าแค่คิดไม่ถึงว่าพลังแท้จริงของเขาจะเหนือกว่าข้ามาก ในเมื่อตอนนี้ความสามารถข้าเทียบกับเขาไม่ได้ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว แต่ว่าอีกไม่นาน พวกเจ้าก็จะลงไปเป็นเพื่อนข้าที่ปรโลกแล้ว ข้าไม่ต้องอยู่ที่นั่นอย่างเดียวดาย” เหยียนลัวยิ่งพูดก็ยิ่งฮึกเหิม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

พอคำพูดนี้พูดออกไป คนจำนวนหนึ่งที่เอะอะโวยวายอยู่ ก็เงียบลงในฉับพลัน แต่สายตาทุกคนกลับจ้องไปยังผู้อาวุโสผมสีน้ำเงินที่อยู่ด้านหลังเหยียนลัวด้วยความฉงนและหวาดกลัว

หลานสี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ค่อยๆ เบะปาก และตบฝ่ามือข้างหนึ่งไปยังอากาศตรงหน้า

“โพล๊ะ!”

ศีรษะของเหยียนลัวถูกโจมตีจนแตกกระจุย สิ่งของสีขาวแดงกระเด็นเต็มพื้น

ครู่ต่อมา ลายเส้นสีเขียวบนร่างไร้ศีรษะของเหยียนลัวก็หดขยาย และเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ผิวหนังสีน้ำตาลเข้มเริ่มกลายเป็นสีดำ และเลือดเนื้อก็เหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว

พริบตาเดียว ร่างไร้ศีรษะก็ล้มลงพื้น

หลานสี่กวาดสายตามองผู้คนทีหนึ่ง สีหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม แต่ดวงตากับเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จากนั้นก็ค่อยๆ เอ่ยปากออกมา

“ความจริงตอนแรกที่ข้าวางแผนการนี้ ก็ได้ค้นพบแต่แรกแล้วว่า เหยียนลัวคิดไม่ซื่อ เขาแอบสมคบกับผู้พิทักษ์เหมืองแร่ แต่เห็นแก่ที่เขาเป็นผู้นำกลุ่มอิทธิพลใหญ่ และยังพอจะใช้งานได้อยู่บ้าง จึงให้เขามีชีวิตอยู่ยาวอีกหน่อย ระหว่างนั้น ข้าก็ให้โอกาสเขาไปไม่น้อย น่าเสียดายที่เขายังคงโง่เขลาเบาปัญญามาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงไม่ได้บอกวิธีการหลบหนีให้กับเขา เขาจึงเข้าใจผิดว่าแผนในครั้งนี้ไม่อาจเป็นจริงได้ ส่วนเส้นทางการหลบหนีที่แท้จริง……”

พอผู้คนในอุโมงค์ฟังมาถึงจุดนี้ ต่างก็เบิกตากว้างอย่างช่วยไม่ได้

แต่พอเสียงของหลานสี่หยุดชะงักลง น้ำเสียงก็เยือกเย็นลงในฉับพลัน

“รออยู่ที่นี่เงียบๆ สองสามวันก็จะรู้เอง ส่วนคนที่ไม่อยากรอก็ตามสบาย”

จากนั้น ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกผู้นี้ ก็นั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่ที่เดิม

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้

แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่า ระหว่างหลานสี่กับเหยียนลัวนั้น ใครเป็นคนหลอกใครก่อนกันแน่ และไม่รู้ว่าเส้นทางการหลบหนีที่หลานสี่พูดถึงมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่อยากจะสืบสาวราวเรื่องอีก

ส่วนคำว่าตามสบายที่หลานสี่บอกในตอนท้ายนั้น เขาก็เพียงแค่พูดออกมาเท่านั้น หากมีใครต้องการไปจากที่นี่จริงๆ ล่ะก็ ด้วยนิสัยอันโหดเหี้ยมของเขา คงมีจุดจบที่ไม่อาจรู้ได้

ไม่นาน ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ ก็แยกย้ายไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นเป็นกลุ่มๆ บ้างก็ทำเสียงกระซิบกระซาบ บ้างก็นั่งทำสมาธิโดยไม่สนใจใคร

พอซินหยวนถอนหายใจออกมาแล้ว เขาก็สะบัดแขนเสื้อในทันที ทันใดนั้นลูกเปลวไฟก็พุ่งยิงออกมา “ตู๊ม!” มันเผาร่างไร้ศีรษะของเหยียนลัวจนกลายเป็นขี้เถ้า

จากนั้นเขาก็หามุมเงียบสงบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และนั่งหลับตาฝึกฝนโดยไม่สนใจใครอีก

พอหลิ่วหมิงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น แม้สีหน้าของเขาจะไม่เปลี่ยน แต่หลังจากมองดูหลานสี่ที่ดูเหมือนจะมีแผนอยู่ในใจแล้ว เขาก็เลิกคิ้วขึ้นมา และค่อยๆ เดินไปยังพื้นที่ไม่ค่อยมีคนอยู่

……

สองวันต่อมา ห้องลับบางแห่งที่อยู่ใต้พระราชวังใต้ทะเล

หญิงอัปลักษณ์ผิวสีน้ำเงิน สวมชุดคลุมยาวสีแดง กำลังพาข้ารับใช้หญิงเผ่าปีศาจหลายคนประคองชุดสีแดงเดินไปตามทางที่มุ่งสู่ห้องลับแห่งหนึ่ง

ขณะที่อยู่ห่างจากประตูห้องลับชั่วระยะหนึ่ง หญิงอัปลักษณ์ก็โบกมือให้ข้ารับใช้ทั้งหลายหยุดฝีเท้าในทันที

“ท่านเซียนเย่ ราชาสมุทรเรียกท่านเข้าพบ รีบเปลี่ยนชุดที่ข้าน้อยนำมาให้แล้วตามข้าน้อยไปเข้าเฝ้าเถิด” หญิงอัปลักษณ์ส่งเสียงเข้าไปในห้องรับรอง

ผ่านไปสักพัก ถึงมีน้ำเสียงเยือกเย็นของเย่เทียนเหมยดังออกมา

“ราชาปีศาจสมุทรเรียกข้าเข้าพบ! มีเรื่องอันใดกันแน่?”

“เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบ ท่านเซียนรีบเปลี่ยนชุดเถอะ ราชาสมุทรรอนานแล้ว” หญิงอัปลักษณ์เร่งอย่างทนรำคาญไม่ได้

“ดูท่าราชาปีศาจสมุทรผู้นี้ คงไม่คิดจะให้เวลาข้านานเกินไป ดีที่สองวันก่อน ข้าได้ปรับแต่งค่ายกลกระบี่จนสำเร็จแล้ว ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องไปพบเขาอีก” ผ่านไปสักพัก ถึงมีน้ำเสียงเยือกเย็นของเย่เทียนเหมยดังออกมาอีกครั้ง

“บังอาจ! เจ้าพูดอะไร!” พอหญิงอัปลักษณ์ได้ยินเช่นนี้ ก็รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลในทันที พอนางพูดตำหนิออกไปแล้ว ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งในฉับพลัน พอยันต์สีเขียวปรากฏบนฝ่ามือ นางก็คิดจะขยี้มันให้แตกละเอียก

แต่ขณะนั้นเอง ประตูหินที่ดูแน่นหนาและมีแสงสีขาวเปล่งประกายอยู่จางๆ ก็ระเบิดออกมา

ท่ามกลางเศษหินที่กระเด็น สายรุ้งสีเงินม้วนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มันพร่ามัว ก็มีกระบี่ยาวสีเงินลอยอยู่บนอากาศอีกแปดเล่ม

ครู่ต่อมา มันก็กลายเป็นไหมเงินจำนวนมาก และม้วนตัวข้ารับใช้หญิงที่ตรงด้านหลังหญิงอัปลักษณ์ไว้

หลังจากมีเสียงร้องด้วยความตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หญิงอัปลักษณ์กับข้ารับใช้หญิงเหล่านี้ ก็ถูกตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ทางเดินถูกปกคลุมไปด้วยหมอกโลหิตในทันที ขณะเดียวก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวอย่างรุนแรง

ภายใต้การเกาะตัวของไหมเงินจำนวนมาก มันก็กลับมาเป็นกระบี่ยาวสีเงินลอยอยู่กลางอากาศอีกครั้ง และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา

จากนั้นมีแสงสีเงินพุ่งออกมาจากห้องรับรอง คิดไม่ถึงว่ามันจะรวมตัวกับกระบินทั้งแปดจนกลายเป็นกลุ่มแสงสีเงิน และพุ่งขึ้นด้านบน พริบตาเดียวก็พุ่งทะลุเพดานหินสีดำและชั้นจำกัดแต่ละชั้นของพระราชวัง และยังทะลุออกไปจากม่านแสงสีฟ้าที่อยู่ด้านบน

ขณะนั้นเอง มีเสียงราชาปีศาจสมุทรดังมาจากพื้นที่บางแห่งของพระราชวังใต้ทะเล

“ขี่กระบี่เหินเวหา! ท่านเซียนเย่ ท่านคิดจะหนีไปจากฝ่ามือข้าง่ายๆ หรือ คงเพ้อฝันไปหน่อยละมั้ง!”

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset