เขาก็คือสือเจียนที่เคยไปหาหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น ภรรยาคู่รักฝึกฝนที่ชื่อลวี่อวิ๋นก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน และคนอีกสองคนคือชายฉกรรจ์ที่สวมชุดทะมัดทะแมงกับชายหนุ่มสวมห่วงสีเลือดเจ็ดแปดวงไว้บนแขนทั้งสอง
“ถ้าไปอุโมงค์หมื่นกระดูกล่ะก็จะต้องมีอาจารย์จิตวิญญาณคนหนึ่งพาไปอย่างแน่นอน ถึงแม้พวกเราจะรู้ว่าเจ้าเด็กนั่นก็อยู่ในนั้นด้วยก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ เจ้าเด็กนี่ช่างเฉียบขาดจริงๆ เพื่อที่จะหลบเลี่ยงพวกเราไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าไปสถานที่อย่างอุโมงค์หมื่นกระดูกนั่น เขาไม่กลัวว่าจะไปแล้วไม่ได้กลับเลยหรือ? ศิษย์พี่อู๋ท่านมีประสบการณ์มามาก พอจะมีข้อคิดเห็นดีๆ บ้างไหม” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนยักคิ้วหันหน้าไปถามชายชุดทะมัดทะแมง
“ในเมื่อเขาไปอุโมงค์หมื่นกระดูก อย่างน้อยก็ไม่คิดกลับนิกายเป็นระยะเวลาสามสี่เดือน ดังนั้นถ้าพวกเราอยากจะหาเรื่องเขาล่ะก็ คงต้องส่งคนเข้าร่วมภารกิจปราบปรามที่อุโมงค์หมื่นกระดูกด้วยถึงจะมีโอกาส” ชายชุดทะมัดทะแมงกล่าวออกมาช้าๆ
“ศิษย์พี่อู๋อย่าพูดล้อเล่นเลย ถึงแม้จะสังหารปีศาจกระดูกแค่ตนเดียวก็แต้มคุณูปการเป็นรางวัลแล้ว แต่มันก็อันตรายเกินไปหน่อย นอกจากคนบ้าที่มีความสุขกับการตามล่าสังหารพวกนั้นแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ถูกอาจารย์ลุง อาจารย์อา บังคับถึงได้ยอมไปรับภารกิจนี้” ชายหนุ่มได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิม
“ถ้าเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ ข้าไม่ยอมไปอุโมงค์หมื่นกระดูกนั่นหรอก ดีที่ศิษย์น้องเกายังเก็บตัวฝึกฝนอยู่ ยังไม่ทราบเรื่องการหมั้นของมู่หมิงจูกับเจ้าเด็กนี่ รอเจ้าเด็กนี่กลับมาแล้วพวกเราค่อยช่วยศิษย์น้องเกาจัดการกับปัญหานี้ก็ยังไม่สาย” ชายที่แซ่อู๋กล่าว
ชายหนุ่มสวมห่วงสีเลือดได้ยินแล้วได้ยินคำพูดนี้ ก็ได้แต่ขมวดคิ้วโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
“ให้พวกเราไปอุโมงค์หมื่นกระดูกเพียงเพื่อสั่งสอนเจ้าเด็กนี่มันไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าให้ผู้ที่เข้าร่วมภารกิจนี้อยู่แล้วถือโอกาสจัดการเรื่องนี้คงไม่ยาก” สือเจียนกล่าว
“ควรหมายของศิษย์พี่สือคือ……” ชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยน
“ข้ารู้จักศิษย์น้องซือหม่าแห่งสาขาหยินทนทรมาณ เหมือนกับว่าครั้งนี้เขาก็ถูกจับให้ไปร่วมภารกิจปราบปรามที่อุโมงค์หมื่นกระดูกด้วย ถ้าหากว่าเขายอมลงมือล่ะก็ กะอีแค่ศิษย์ที่เพิ่งเข้านิกายใหม่ๆ เขาย่อมจัดการได้โดยง่าย แต่ศิษย์น้องซือหม่าเป็นหนึ่งในยี่สิบศิษย์แกนนำที่มีชื่อจารึกไว้บนแผ่นศิลาจันทรา จะให้เขาลงมือได้คงต้องจ่ายไม่น้อย” สือเจียนกล่าวออกมาอย่างช้าๆ
“ไม่เป็นไร พวกเราไม่ได้คิดที่จะสังหารเจ้าเด็กนี่จริงๆ แค่ต้องการสั่งสอนให้โหดเหี้ยมสักหน่อย แล้วให้เขายอมถอนหมั้นก็พอแล้ว เรื่องหินจิตวิญญาณนั้นต้องใช้เท่าไหร่ข้าจะออกให้เอง เช่นนี้แล้วศิษย์พี่อู๋คงไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ แล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา
“ในเมื่อศิษย์น้องซิ่งกล่าวเช่นนี้ย่อมไม่มีปัญหา” ชายชุดทะมัดทะแมงพยักหน้าด้วยตาที่เป็นประกาย
“ดี ศิษย์พี่สือ ช่วงเวลาสองวันนี้ท่านก็หาเวลาไปติดต่อกับศิษย์พี่ซือหม่าเถอะ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่ลังเล
สือเจียนตกปากรับคำออกไป
ดังนั้นเมื่อพวกเขาปรึกษารายละเอียดปลีกย่อยเสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายกันออกไป
สามวันต่อมา เริ่มมีศิษย์นิกายสายในจำนวนหนึ่ง ค่อยๆ ทยอยกันมาบริเวณซุ้มประตูขนาดใหญ่นอกนิกายปีศาจ
ส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีอายุประมาณสามสิบสี่สิบปี ศิษย์ที่มีอายุยี่สิบกว่ามีแค่ไม่กี่คน
คนเหล่านี้ต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับมีเรื่องทับถมในใจมากมาย
แต่ก็ยังมีบางคนคุยกันอย่างขบขัน แตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
ผ่านไปอีกสักครู่ ใต้ซุ้มประตูยักษ์ก็มีศิษย์ชายหญิงสามสิบกว่าคนมารวมตัวกันแล้ว ตอนนี้ถึงมีร่างอรชรอ้อนแอ้นร่างหนึ่งกำลังเดินมาจากที่ไกลๆ นางดูเหมือนจะเดินมาอย่างช้าๆ แต่ที่จริงแล้วเดินมาเร็วมาก
นางผู้นี้มีใบหน้างดงามราวกับดอกท้อ ดูเหมือนจะอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี สวมชุดยาวสีม่วง สีหน้าเย็นยะเยือก
“อา…นางคืออาจารย์อาหลินแห่งเขาระบำปีศาจ!”
“คารวะอาจารย์อา”
“คารวะอาจารย์อาหลิน”
เมื่อศิษย์เหล่านี้เห็นใบหน้าหญิงเสื้อม่วงผู้นี้ชัดเจนแล้ว กว่าครึ่งหนึ่งกลับสูดหายใจเข้าอย่างเย็นสะท้าน ค่อยๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าคารวะด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
นางผู้นี้ก็คือหัวหน้าสาขาระบำปีศาจ ว่ากันว่านางเป็นผู้ที่ฝึกฝนถึงระดับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางที่หาได้น้อยมาก
“อือ! ลุกขึ้นเถอะ! ใกล้ได้เวลาแล้ว มากันครบหรือยัง?” หญิงแซ่หลินโบกมือให้ศิษย์ทั้งหลายลุกขึ้น นางกวาดสายตามองไปรอบด้านแล้วขมวดคิ้วถามออกไป
“เรียนอาจารย์อาหลิน ดูเหมือนจะขาดไปสองคน” ศิษย์อายุสามสิบกว่าปีที่ดูสุขุมเยือกเย็นผู้หนึ่งรีบก้าวออกไปรายงาน
“ถ้าอย่างนั้นก็รออีกสักหน่อยเถอะ ถ้ายังไม่มาค่อยขีดฆ่ารายชื่อของทั้งสองคนนี้ออกไป!” หญิงแซ่หลินกล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล
ศิษย์ผู้นี้ตอบรับกลับไปด้วยความนอบน้อม
ดังนั้นคนทั้งหลายต่างก็รออยู่ที่เดิมต่อไป
แต่ด้วยเหตุที่มีหญิงแซ่หลินผู้นี้อยู่ด้วย ต่างก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ พวกเขายืนเก็บมืออยู่ที่เดิมอย่างว่านอนสอนง่าย
ผ่านไปสักครู่ มีเมฆเทาสองก้อนเหาะมาจากในนิกาย และต่างก็เหาะลงมาคนละด้านของซุ้มประตูยักษ์
คนอื่นๆ เห็นนี้ก็มองออกไปอย่างอดไม่ได้
ขณะที่เมฆเทาทั้งสองลงมาบนพื้นและสลายหายไป เงาร่างของแต่ละคนก็ปรากฏออกมา
คนหนึ่งเป็นชายสีหน้าหม่นหมอง อายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปี สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว แขนเสื้อทั้งของข้างมีรูปหัวกระโหลกติดอยู่
อีกคนหนึ่งกลับดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปี สวมชุดศิษย์นิกายสายในสีเขียวทั้งตัว รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่
“คารวะอาจารย์อาหลิน”
พอชายสีหน้าหม่นหมองเห็นใบหน้าของหญิงแซ่หลินชัดเจน ก็ดูเหมือนจะตะลึงเล็กน้อย เขารีบก้าวไปคารวะอย่างรวดเร็ว
และเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปีก็คารวะอย่างเงียบๆ
“ศิษย์หลานซือหม่า ทำไมถึงเป็นเจ้า? การประลองใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว เจ้าไม่ตั้งใจฝึกฝนอยู่ในนิกายแต่กลับไปอุโมงค์หมื่นกระดูกทำไม?” หญิงแซ่หลินดูเหมือนจะรู้จักชายสีหน้าหม่นหมอง และถามออกไปด้วยตาเป็นประกาย
“อาจารย์อาหลิน ท่านก็ทราบดีว่าถึงแม้การฝึกฝนของข้าจะไม่ใช่เส้นทางสายสังหารโดยเฉพาะ แต่ถ้าหากอยากเพิ่มพลังล่ะก็ ย่อมมีแค่ทำการรบเท่านั้นที่เพิ่มได้รวดเร็วที่สุด” ชายสีหน้าหม่นหมองตอบกลับไปอย่างสงบ
“ได้ยินว่าครั้งก่อนเจ้าบุกเข้าไปถึงชั้นสี่ของอุโมงค์หมื่นกระดูก ครั้งนี้คงไม่คิดที่จะเข้าไปยังชั้นนั้นอีกนะ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เจ้าคงจะไม่โชคดีเหมือนครั้งที่แล้วที่ยังออกมาได้ครบสามสิบสองประการ หรือว่าศิษย์พี่ฉู่ไม่ได้บอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้” หญิงแซ่หลินกล่าวอย่างราบเรียบ
“ครั้งนี้ศิษย์จะต้องได้ตำแหน่งหนึ่งในสิบอันดับศิษย์แกนนำให้ได้ ขออาจารย์อาอย่าได้ห้ามปรามเลย” ชายใบหน้าหม่นหมองเงยหน้ากล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ช่างเถอะ! ในเมื่อแม้แต่คำพูดของศิษย์พี่ฉู่เจ้าก็ไม่ยอมฟัง คนนอกอย่างข้าก็ไม่อยากยุ่งอะไรมากนัก เจ้าอยากไปก็ไปเถอะ! ส่วนเจ้า…… ดูเหมือนข้าจะคุ้นหน้าเจ้ามาก เจ้าอยู่สาขาไหน? ชื่ออะไร?” คิ้วของหญิงแซ่หลินค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน แล้วมองไปยังเด็กหนุ่มด้านข้างอยู่ครู่หนึ่ง แววฉงนสนเท่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ข้าน้อยไป๋ชงเทียนจากสาขาเก้าทารก คารวะอาจารย์อาหลิน!” เด็กหนุ่มผู้นั้นโค้งตัวกล่าว เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
“ไป๋ชงเทียน เก้าทารก? ที่แท้ก็คือเจ้าหนุ่มน้อยนั่นเอง!” หญิงแซ่หลินได้ยินก็นึกได้ในฉับพลัน และนึกถึงเรื่องที่เขาเกือบจะรับศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณมาเป็นศิษย์ของตัวเอง ในพิธีเปิดจิตวิญญาณในตอนนั้น
“อาจารย์อาหลิน ไม่คาดคิดว่าท่านจะจำข้าน้อยได้!” หลิ่วหมิงกลับรู้สึกตะลึงเล็กน้อย
“ข้าย่อมจำได้แน่นอน แต่ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายอย่างเจ้าก็กล้าไปอุโมงค์หมื่นกระดูกด้วย ช่างกล้าไม่เบา แต่นี่ก็เป็นการเลือกของเจ้าซึ่งข้าก็จะไม่ห้ามปรามเช่นกัน เอาล่ะ! คนก็มากันพร้อมแล้วออกเดินทางกันเถอะ!” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พลิกฝ่ามือขึ้นมา น้ำเต้าเล็กๆ สีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกลูกหนึ่งโผล่ออกมาทันที
จากนั้นนางโยนน้ำเต้าขึ้นไปในอากาศ ปากก็ร่ายคาถา และทำท่ามือด้วยมือเดียว
พริบตาเดียว น้ำเต้าก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นและพลิ้วไหวไปตามลม จากนั้นมันก็พลิกคว่ำลงมา หมอกสีขาวแน่นหนาพ่นออกมาจากในนั้น ฉับพลันก็กลายเป็นอสรพิษหมอกสีขาวยาวสามสิบสี่สิบจั้ง
อสรพิษตัวนี้เคลื่อนตัวไปมาราวกับมีชีวิต ครู่เดียวกลิ่นไออันน่าตกใจก็ม้วนตัวออกไป ศิษย์นิกายปีศาจที่ยืนอยู่บริเวณนี้รู้สึกแค่ว่าพายุขาวโพลนได้ก่อนตัวขึ้น จากนั้นต่างก็ค่อยๆ ถอยออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
คนกว่าครึ่งหนึ่งปรากฏสีหน้าหวาดผวาอย่างอดไม่ได้
ร่างของหญิงแซ่หลินแค่สั่นไหวเล็กน้อย แล้วก็ไปปรากฏอยู่บนหัวของอสรพิษหมอก จากนั้นก็กล่าวกำชับอย่างราบเรียบ
“พวกเจ้ารออะไรกัน ยังไม่ขึ้นมาอีก”
บรรดาศิษย์นิกายปีศาจเพิ่งจะรู้ตัวอย่างฉับพลัน ต่างก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นไปบนตัวของอสรพิษหมอก
ครู่ต่อมาก็มีพายุก่อตัวขึ้นใต้ร่างอสรพิษหมอก และพาคนสามสิบกว่าคนพุ่งขึ้นฟ้าเหาะตรงไปยังทิศทางบางแห่ง
“เจ้าคือไป๋ชงเทียน?”
“พอหลิ่วหมิงหาที่นั่งขัดสมาธิลงไปบนอสรพิษหมอกอย่างไม่ใส่ใจแล้ว พลันมีเงาร่างสั่นไหวออกมาตรงหน้าเขา เขาผู้นั้นก็คือชายสีหน้าหม่นหมองที่มาพร้อมกับเขานั่นเอง
“ไม่ผิด คือข้าน้อยเอง ท่านมีธุระอันใด?” หลิ่วหมิงเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้ามครู่หนึ่ง รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของความเป็นศัตรูอยู่ลางๆ เขาจึงตอบกลับไม่อย่างไม่เกรงใจ
“ข้าชื่อซือหม่าเทียนจำไว้ให้ดีล่ะ” ชายสีหน้าหน้าหม่นหมองพินิจดูหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“หมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงหรี่ตาถามออกไป
“เพราะว่าพอถึงอุโมงค์หมื่นกระดูกแล้ว พวกเราอาจจะได้เจอหน้ากันบ่อยๆ” ซือหม่าเทียนกล่าวอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็เดินออกไปหาที่นั่งของตัวเอง
หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดไม่มีเหตุผลนี้ เขาก็แค่คิ้วขมวดเล็กน้อย จากนั้นก็หลับตาพักผ่อนด้วยสีหน้าปกติราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของชายสีหน้าหม่นหมอง
ครึ่งเดือนผ่านไป บนท้องฟ้าเหนือพื้นที่แอ่งเล็กๆ ที่มีเขาขนาดต่างๆ หลายสิบลูกล้อมรอบอยู่
เสียงแผดร้องของอสรพิษหมอกตัวหนึ่งดังมาจากที่ไกลๆ ครู่เดียวก็เหาะมาถึงด้านบนอากาศใจกลางค่ายหินขนาดกว้างลี้กว่าๆ แล้วค่อยๆ เหาะลงไปยังพื้นด้านล่าง
ภายใต้การนำของหญิงที่แซ่หลิน หลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็ค่อยๆ ลงไปจากอสรพิษหมอก และสังเกตดูรอบด้านด้วยความแปลกใจ
ค่ายหินนี้เรียบง่ายเป็นพิเศษ นอกจากกำแพงหินสีดำที่สูงหลายจั้งแล้ว สิ่งก่อสร้างภายในก็มีไม่มาก ส่วนมากเป็นบ้านหินเล็กๆ ที่เรียบง่ายเป็นอย่างมาก
และพอมองไปใจกลางค่ายก็ดูเหมือนจะมีคนไม่กี่คน แต่สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปพอจะมีคนยืนพูดคุยกันอยู่ด้านนอกบ้าง
“ฟังให้ดีนะ ถึงแม้อุโมงค์หมื่นกระดูกจะเป็นของนิกายปีศาจ แต่ก็มีศิษย์นิกายอื่นๆ มาทดสอบอยู่บ้าง ดังนั้นถ้าพบเจอกับศิษย์นอกนิกายก็ไม่ต้องแปลกใจ นอกจากนี้ศิษย์ที่มาอุโมงค์หมื่นกระดูกเป็นครั้งแรก ให้ไปอ่านระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เขียนอยู่ทางนั้นให้ชัดเจนเสียก่อน อย่าฝ่าฝืนเด็ดขาด ตอนนี้พวกเจ้าสามารถไปได้แล้ว” หญิงแซ่หลินชี้ไปยังป้ายหินที่ตั้งอยู่กลางค่ายที่มีอักขระสีเขียวเขียนอยู่เต็มไปหมดแล้วกล่าวออกมา จากนั้นนางก็เดินไปยังสิ่งก่อสร้างขนาดสูงใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
……………………………………….