ในขณะเดียวกัน เงาฟองอากาศแวววาวก็สั่นไหวอย่างช้าๆ จนทำให้แสงสีขาวที่ปล่อยออกมาค่อยๆ มืดลง และเงาร่างเล็กสีเขียวก็ดิ้นรนจนถอยกลับมาได้เล็กน้อย
เงาร่างเล็กสีเขียวเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นมันก็ตะคอกเสียงต่ำใส่ปีศาจหลานสี่!
ขณะที่หลิ่วหมิงเกือบจะชนกับผนังด้านหลังนั้น เขาถึงได้กระตุ้นพลังเวทย์ด้วยความโมโห และหยุดการปะทะไว้ได้ หลังจากก้มมองดูบริเวณหน้าอก ก็ค้นพบว่ามีบาดแผลลางเลือนอยู่บนนั้น
เกล็ดมังกรแดงที่ปกคลุมอยู่ตรงจุดสำคัญเพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ถูกสั่นสะเทือนจนแตกกระจายออกมา
พอเขาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก แต่พอเงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าปีศาจหลานสี่ได้กระโจนมาถึงตรงหน้าเขาอีกครั้ง และคว้ามือมาบริเวณหน้าอกของเขาอย่างโหดเหี้ยม
แต่ดีที่ว่าขณะนี้ เขาปล่อยกำปั้นที่ปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรออกไปรับกรงเล็บไว้ได้พอดี
หลังจากมีเสียงดังตุ๊บ เขาก็รู้สึกร้อนที่กำปั้น จากนั้นเกล็ดแต่ละชั้นที่อยู่บนนั้น ก็ถูกนิ้วทั้งห้าของฝ่ายตรงข้ามกระชากออกไปหนึ่งชั้น ขณะเดียวกัน พลังบ้าระห่ำก็ทะลักออกมา หลังจากนั้นร่างของเขาก็กระเด็นออกไป
“โครม!”
ร่างหลิ่วหมิงชนกับผนังด้านหลังอย่างรุนแรง จากนั้นก็ร่วงลงพื้น
ดีที่ว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งเป็นพิเศษ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่จิตของเขาถูกสั่นสะเทือนจนรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย
แต่จิตใจของเขาร่วงหล่นลงไปแล้ว
ด้วยระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อในตอนนี้ บวกกับมีเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬและเกล็ดมังกรแดงคอยช่วยเสริม แต่เขากลับไม่ลงมือกับปีศาจหลานสี่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
มันช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายยิ่งนัก!
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าเขาเอาชีวิตทิ้งไว้ที่นี่หรือ
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงเย็นยะเยือกที่เบาจนดูเหมือนจะไม่ได้ยิน ดังอยู่ในหูของหลิ่วหมิง
“ร่างแปลงปีศาจ”
พอหลิ่วหมิงได้ยินเสียงดัง “ตู๊ม!” เขาก็รู้สึกราวกับว่า มีอะไรบางอย่างจุดไฟขึ้นภายในร่าง หลังจากตกลงพื้นอย่างรุนแรงแล้ว เปลวเพลิงสีดำก็พุ่งออกมา และทำการลุกไหม้อย่างรุนแรง
ครู่ต่อมา เขาก็เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา หลังจากมีเสียงดังกรอบแกรบ ร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นเท่าตัว บาดแผลบริเวณหน้าอกก็สมานกันเช่นเดิม ลวดลายสีม่วงจางๆ ลอยออกจากผิวหนัง
มองดูไกลๆ จะเห็นว่าหลิ่วหมิงในขณะนี้ มีรูปร่างอัปลักษณ์ที่ดูคล้ายคลึงกับหลานสี่เล็กน้อย
ขณะนี้ เขารู้สึกเพียงแค่ว่ามีความกระหายเลือดอย่างรุนแรง กายเนื้อเต็มไปด้วยพลังมหาศาล และแหงนหน้าแผดเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว!
แม้ตอนนี้หลิ่วหมิงจะมีสติรับรู้อย่างชัดเจน แต่กลับไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้เลยแม้แต่น้อย
และพริบตาที่เขาแปลงร่างสำเร็จ หลานสี่ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าด้วยสีหน้าอันบ้าคลั่ง มันคว้ามาเหนือศีรษะของเขาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ จนเกิดทิ้งร่องรอยสีดำไว้กลางอากาศ
หลังจากหลิ่วหมิงกลายร่างเป็นปีศาจแล้ว เขาก็ขยับแขนด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นก็ทุบลงบนหน้าอกของหลานสี่อย่างรุนแรง
“ตู๊ม!” เงาสีเทากระพริบตรงหน้าหลิ่วหมิง จากนั้นร่างของหลานสี่ก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปหลายจั้ง
ฉากนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ราชาปีศาจสมุทรกับซินหยวนรู้สึกตกตะลึงเท่านั้น เงาร่างเล็กสีเขียวที่อยู่ในแสงสีขาว ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก!
มันยังไม่ทันได้สั่งการหลานสี่ ก็มีฉากที่ทำให้รู้สึกตกใจมากขึ้นกว่าเดิม
พอปีศาจหลานสี่ตั้งหลักได้ ร่างของหลิ่วหมิงก็พร่ามัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง และปล่อยกำปั้นออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
และพอปีศาจหลานสี่เห็นเช่นนี้ ก็คำรามเสียงต่ำออกมา แขนทั้งสองโบกไปด้านหน้าพร้อมกันอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ฝ่ามือบ้างหนึ่งคว้าเอากำปั้นหลิ่วหมิงไว้ ส่วนอีกข้างก็กวาดไปบนเอวหลิ่วหมิง
ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
แสงสีดำเปล่งประกายออกจากตัวหลิ่วหมิง และแทงทะลุฝ่ามือของฝ่ายตรงข้าม ทำให้แขนของมันระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ โลหิต ก้อนเนื้อ และเศษกระดูกกระเด็นออกไปทั่วทิศ
ขณะเดียวกัน กรงเล็บอีกข้างของหลานสี่ก็เจาะทะลุปราณแกร่งคุ้มตัวของหลิ่วหมิงไปได้ และคว้าลงบนเอวของเขา
แต่เพียงแค่กล้ามเนื้อบนตัวหลิ่วหมิงกระตุกหนึ่งที มันก็ดูลื่นไหลเป็นอย่างมาก และกรงเล็บอันแหลมคมก็วาดผ่านไปโดยไม่สามารถคว้าอะไรไว้ได้เลย
แขนอีกข้างของหลิ่วหมิงส่งเสียงดัง “กรอบแกรบ!” และคว้าไปตรงท้ายทอยของหลานสี่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บิดอย่างรุนแรงก่อนที่จะโยนไปกลางอากาศทันที
หัวของปีศาจหลานสี่บิดไปร้อยแปดสิบองศา มันก็รู้สึกว่าตัวเบาหวิว จากนั้นก็กระเด็นไปกลางอากาศ
เท้าทั้งคู่ของหลิ่วหมิงแตะลงพื้น และพุ่งมาอยู่ตรงหน้าหลานสี่อีกครั้ง เขาแสยะยิ้มออกมาอย่างดุร้าย แขนทั้งสองพร่ามัวในทันที เล็บทั้งสิบที่แหลมคมราวกับใบมีดคว้าออกไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเงา
พอมีเสียงดังติดต่อกันกลางอากาศ โลหิตก็กระเด็นออกจากร่างของหลานสี่
ผ่านไปแค่ไม่กี่อึดใจ ก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวกลางอากาศ จากนั้นหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมาพร้อมกับโลหิตที่เปรอะเปื้อนเต็มตัว
และบนอากาศ ร่างของหลานสี่ก็ถูกเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆ แขนขาฉีกขาด เลือดเนื้อแหลกละเอียด และตกลงมาราวกับสายฝน
กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลไปทั่วถ้ำ
ตั้งแต่หลิ่วหมิงกลายร่างเป็นปีศาจ จนถึงตอนที่เอาชนะได้นั้น ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
และตัวหลิ่วหมิงเองก็เหมือนกับยืนดู ‘ตนเอง’ ต่อสู้กับหลานสี่อย่างดุเดือด
ทั้งสองต่อสู้กันแบบง่ายมาก เพียงแค่ใช้กำปั้นและกรงเล็บต่อสู้กันเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น แต่วิธีการประจัญบานกันเช่นนี้ กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก!
เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าพลังของกายเนื้อแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ มันเป็นการเปิดประตูความรู้ใหม่โดยไม่รู้ตัว
และซินหยวนที่อยู่บริเวณแท่นบูชา ก็ถูกการต่อสู้อย่างดุเดือดในก่อนหน้านั้น ทำให้ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างตั้งแต่แรกแล้ว
สายตาของผู้แข็งแกร่งอย่างราชาปีศาจสมุทร ก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความสงสัยและหวาดกลัว
“ไม่!”
เงาร่างสีเขียวเล็กๆ ที่ถูกแสงสีขาวปกคลุมอยู่ ร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
และแสงสีขาวบริเวณนั้นก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนทำให้มันไม่อาจตั้งตัวได้ จากนั้นก็ถูกแสงสีขาวลากกลับไปยังเงาฟองอากาศแวววาว
และพริบตาที่เงาร่างสีเขียวเล็กๆ หายไปนั้น ‘หลิ่วหมิง’ ก็กวาดสายตามองดูรอบด้านอย่างเยือกเย็น
ขณะนี้ แม้แต่ราชาปีศาจสมุทรที่ถูก ‘หลิ่วหมิง’ ใช้สายตาที่ไร้ความรู้สึกกวาดมองผ่าน ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้
ส่วนซินหยวนมีสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก เขารู้สึกราวกับตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง เหงื่อเย็นไหลออกมาเต็มหลัง
ขณะนี้ทั้งสองย่อมมองออกว่า หลิ่วหมิงได้สูญเสียการควบคุมตนเองไปแล้ว และดูจากความอย่างโหดเหี้ยมหลังจากกลายร่างเป็นปีศาจแล้ว ถ้าจะฉีกพวกเขาเป็นชิ้นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
แต่ ‘หลิ่วหมิง’ เพียงแค่กวาดสายตามองดูทั้งสองและเจียหลานที่ยังคงหมดสติอย่างรวดเร็ว สุดท้ายสายตาของเขาก็ตกอยู่บนแท่นบูชาด้านหน้าที่มีหัวปีศาจยักษ์อยู่บนนั้น
หัวบินกับแมงป่องกระดูกที่ถูกโยนมาอยู่ตรงหน้าหัวปีศาจยักษ์ ก็เริ่มฟื้นคืนสภาพเดิมหลังจากที่เงาร่างสีเขียวถูกดูดไป
แต่สายตาของหัวบินที่จ้องมองหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความเคารพและยำเกรง ร่างของมันสั่นสะท้านและไม่กล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย แต่แมงป่องกระดูกที่อยู่ด้านข้าง กลับจ้องมอง ‘นาย’ ของมันด้วยเปลวไฟในเบ้าตาที่เปล่งประกาย และดูเหมือนว่ามันอยากจะโจนเข้าหา แต่ด้วยเหตุที่รู้สึกหวาดกลัว จึงไม่กล้าก้าวออกไป
‘หลิ่วหมิง’ ไม่ได้มองดูปีศาจทั้งสองมากนัก เขาเพียงแค่ขยับตัวไม่กี่ที ก็มาอยู่บนแท่นบูชา
เขายื่นมือเข้าไปในเบ้าตาของหัวปีศาจยักษ์ และควักเอาผลึกหินสีม่วงที่มีขนาดเท่ากำปั้นออกมาเจ็ดแปดก้อน
หลิ่วหมิงนำผลึกหินแต่ละก้อนใส่เข้าไปในปาก และทำการเคี้ยวก่อนที่จะกลืนลงไปในท้อง
การกลืนกินผลึกหินสีม่วงในแต่ละครั้ง ทำให้ลวดลายสีม่วงบนร่าง ‘หลิ่วหมิง’ ชัดเจนขึ้นมาทีละนิด
แม้หลิ่วหมิงจะไม่สามารถควบคุมร่างได้ แต่กลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า การกลืนกินผลึกหินสีม่วงในแต่ละก้อน ทำให้การกระหายเลือดในร่างเพิ่มขึ้นด้วย
แม้เขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็รู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าเขาจะกระตุ้นพลังจิตของตนเองอย่างไร ก็ไม่อาจควบคุมร่างของตนเองได้
เขาได้แต่มองดูตนเองกลืนกินผลึกหินสีม่วงเหล่านี้ ด้วยความหวาดกลัว
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อ ‘หลิ่วหมิง’ ควักผลึกหินสามสี่ก้อนสุดท้ายออกจากเบ้าตาอีกข้างนั้น ผลึกหินชนิดเดียวกันที่มีขนาดใหญ่ก็ถูกเขากลืนกินไปจนหมดสิ้น
หลังจาก ‘หลิ่วหมิง’ กลืนกินผลึกหินทั้งหมดแล้ว ก็ไม่สนใจหัวปีศาจยักษ์ตรงหน้าเลย
และด้วยเหตุที่ผลึกหินถูกควักออกไปจนหมด ผิวหนังบนใบหน้าของหัวปีศาจยักษ์ ก็ดูมืดลงเล็กน้อย ไอดำที่หมุนวนอยู่รอบๆ ก็ปรากฏขาดๆ หายๆ
ขณะที่ลวดลายสีม่วงบนร่าง ‘หลิ่วหมิง’ มีแสงแวววาวหมุนวนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาก็แหงนคอส่งเสียงคำรามเย็นสะท้านออกมา จากนั้นก็กวาดสายตามองไปอย่างรวดเร็ว และสายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวของชายหนุ่มชุดคลุมสีขาว
แม้ว่าหลิ่วหมิงที่กลายเป็นปีศาจ จะโหดเหี้ยมทารุณเป็นอย่างมาก และไม่มีความรู้สึกใดๆ หลงเหลืออยู่ แต่จิตใต้สำนึกยังคงเป็นศัตรูกับราชาปีศาจสมุทร
เมื่อหลิ่วหมิงเผยแววตาดุร้ายออกมาแล้ว เขาก็ก้าวไปหาราชาปีศาจสมุทรอย่างรวดเร็ว
ราชาปีศาจสมุทรเห็นเช่นนี้ก็หน้าเขียวปัดเล็กน้อย!
‘หลิ่วหมิง’ ยังไม่ทันเข้าใกล้ ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็มีแสงสีฟ้าหมุนวน พอแขนทั้งสองพร่ามัว โซ่อาญาสิทธิ์สีดำที่รัดพันอยู่บนตัวก็หลุดออกมา “เต๊ง!”
ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวลุกขึ้นจากพื้นทันที
…………………………………