นักพรตหนุ่มได้ยินก็หัวเราะเบาแล้วกล่าวออกมา
“ในเมื่อประมุขพรรคไม่อยู่ สหายทั้งสองย่อมเป็นผู้ที่ต้องตัดสินใจแล้ว และในเมื่อเรื่องพันธมิตรจินอวี้ไปกันใหญ่แล้ว ก็ลองนำเรื่องนี้มาพูดในที่เปิดเผยดู ในเมื่อแขกทุกท่านที่อยู่ในนี้เป็นกำลังสำคัญของพรรค คิดว่าคงมีสิทธิ์เข้าใจรายละเอียดเล็กน้อย”
พอฟ่านเจิ้งกับชวีหลิงได้ยิน ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก หลังสบตากันทีหนึ่งแล้วถึงค่อยๆ พยักหน้าติดต่อกัน
ฟ่านเจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ และลุกขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็กุมมือคารวะหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ที่วันนี้เรียกทุกท่านมาที่นี่ ก็เพื่อจะแนะนำท่านฑูตพิเศษที่มาจากอารามจื่อเซียวให้กับพวกท่าน อีกอย่างยังมีเรื่องที่ต้องหารือกับพวกท่านด้วย” พอฟ่านเจิ้งเห็นทุกคนนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลุกขึ้นมากล่าวด้วยเสียงอันดัง
“คิดว่าทุกท่านคงเคยได้ยินเรื่องที่ว่า เกาะไผ่ทองคำที่อยู่ขอบข่ายอิทธิพลของพรรคเรา เดิมทีมีสายแร่ล้ำค่าอยู่แห่งหนึ่ง ขุมแร่ในนั้นถูกขุดหมดไปตั้งนานแล้ว แต่ทว่าเมื่อเร็วๆ นี้ มีคนค้นพบแหล่งสมุนไพรจิตวิญญาณอยู่ในส่วนลึกของสายแร่แห่งนี้ ในนั้นมีวัตถุดิบโอสถล้ำค่าที่หาได้ยากในโลกภายนอก และมีจำนวนมากมายที่โตกำลังได้ที่”
พอคำพูดนี้ออกจากปาก ก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในบรรดาแขกที่นั่งอยู่
ฟ่านเจิ้งหยุดพักครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หลังจากพรรคเรารู้เรื่องนี้ ก็รีบส่งผู้ดูแลสองสามคนพาคนในพรรคจำนวนหนึ่งไปตรวจสอบ แต่ไม่รู้ว่าข่าวนี้เล็ดลอดออกไปได้อย่างไร พันธมิตรจินอวี้ถึงได้ส่งผู้ดูแลระดับของเหลวหลายคนไปยังเกาะไผ่ทองคำ และบอกผู้คนว่าพวกเขาเป็นคนค้นพบแหล่งพืชสมุนไพรจิตวิญญาณแห่งนี้ก่อน ทั้งสองฝ่ายต่างก็คุมเชิงกันหลายเดือนแล้ว แต่กลัวว่าหากต่อสู้กันอาจทำให้สมุนไพรจิตวิญญาณเกิดความเสียหายได้ จึงได้หยุดการต่อสู้ชั่วคราว”
ในระหว่างที่ฟ่านเจิ้งกล่าวนั้น เขาก็ค่อยๆ กวาดสายตามองบรรดาแขกที่นั่งอยู่ สุดท้ายสายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่นักพรตหนุ่มชุดม่วง และประสานมือคารวะก่อนถามอย่างนอบน้อม
“ก่อนหน้านั้นไม่นาน พรรคเราได้ส่งทูตไปรายงานที่อารามจื่อเซียวแล้ว ไม่ทราบการมาของท่านฑูตในครั้งนี้ ได้นำคำตอบของอารามมาด้วยหรือไม่?”
นักพรตชุดม่วงมองดูฟ่านเจิ้งที่ตาเป็นประกายแวววาว และยิ้มบางๆ ก่อนกล่าวออกมา
“สหายทุกท่านวางใจเถอะ สำหรับเรื่องนี้ทางอารามเราได้ติดต่อหอเทียนเซียงไปครั้งหนึ่งแล้ว ย่อมไม่ทำให้พรรคฉางเฟิงเสียเปรียบอย่างแน่นอน หลังจากที่พวกเราทั้งสองฝ่ายปรึกษากันแล้ว ก็ตัดสินใจให้พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายเดิมพันการต่อสู้ ส่วนวิธีเดิมพันการต่อสู้ก็คือ ให้พรรคฉางเฟิงกับพันธมิตรจินอวี้ส่งสมาชิกระดับของเหลวสามคน มาต่อสู้วัดความเป็นความตายกัน ผู้ชนะไม่เพียงแต่จะได้แหล่งสมุนไพรจิตวิญญาน แต่ยังได้เขตอิทธิพลหนึ่งในสามของอีกฝ่ายไปด้วย”
พอรองประมุขพรรคทั้งสองได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตะลึงงัน และมีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา
คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ก็ตาเป็นประกายไม่หยุด ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ก็กระพริบตาปริบๆ แล้วหันมาพูดกับคนที่อยู่ด้านข้างเบาๆ
“พี่กวนอวี๋ ในเมื่อใช้วิธีเดิมพันการต่อสู้เป็นตัวตัดสิน ใยรองประมุขพรรคทั้งสองถึงมีสีหน้าดูไม่ได้เช่นนี้ หรือว่าพรรคฉางเฟิงเรามีความสามารถไม่เท่าผู้อื่น ไม่มีความมั่นใจในการเอาชนะได้เลยหรือ?”
พอกวนอวี๋ที่มีท่าทีเหมือนคุณชายได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นก็ตอบกลับเบาๆ ด้วยสีหน้าจนปัญญา
“หากเดิมพันการต่อสู้จริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าฝ่ายเราคงมีโอกาสชนะไม่มาก! พี่ซินไม่รู้อะไร ประมุขพันธมิตรจินอวี้มียอดฝีมืออยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่คนผู้นี้มีพรสวรรค์แปลกประหลาด พลังเวทก็หนาแน่นกว่าปกติ เขาเคยสังหารคู่ต่อสู้ระดับของเหลวขั้นปลายมาแล้ว เกรงว่าพวกเราในนี้ คงไม่มีใครต่อกรเขาได้ อีกอย่าง พันธมิตรจินอวี้ก็มีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายมากถึงห้าหกคน ซึ่งมีมากกว่าพรรคฉางเฟิงเรามาก”
แม้กวนอวี๋จะพูดเบาที่สุดแล้ว แต่ผู้คนที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ไหนเลยจะไม่ได้ยินที่เขาพูด คนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากัน ส่วนรองประมุขทั้งสองก็หน้าดำอย่างช่วยไม่ได้
นักพรตชุดม่วงเห็นเช่นนี้ ก็ยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม แต่แววเหยียดหยามที่แฝงอยู่ในแววตากลับชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
“ฮ่าๆ! ในเมื่อต้องเดิมพันการต่อสู้ พรรคฉางเฟิงไหนเลยจะกลัวพันธมิตรจินอวี้ ตอบตกลงไปซะก็สิ้นเรื่อง!”
ขณะนั้นเอง มีเสียงหัวเราะดังมาจากนอกห้องโถง
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวนอกห้องโถง จากนั้นก็มีคนสามคนเดินเข้ามา
คนที่เดินนำมานั้น ดูเหมือนจะเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าขาวใสไร้หนวด สวมชุดคลุมสีเขียวเข้ม บนศีรษะมีเครื่องประดับหยกสีเขียวครอบมวยผมอยู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ท่านประมุข!” พอฟ่านเจิ้งเห็นคนที่เดินเข้ามา เขาก็หลุดปากออกมาทันที จากนั้นก็รีบเดินไปต้อนรับด้วยความดีใจ
ชวีหลิงที่อยู่ด้านข้างก็เดินตามไปด้วยความตกใจระคนดีใจ
นอกจากหลิ่วหมิงและแขกที่มาใหม่แล้ว คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นมาทำความเคารพด้วยความตกใจ และส่งเสียงเรียก “ท่านประมุข” อยู่ไม่หยุด
“คิดไม่ถึงว่าผู้ที่มาจะเป็นประมุขพรรคฉางเฟิงที่หายตัวไปนานหลายปี!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากกวาดสายตาดูแล้ว ก็ค้นพบว่าคนสองคนที่เดินตามมาด้านหลัง เป็นชายหนุ่มกับหญิงสาว
ชายหนุ่มสวมชุดสีดำ สีหน้าเหลืองซีด ดวงตาเล็กๆ ทั้งคู่ดูไร้ซึ่งวิญญาณ หน้าตาอัปลักษณ์เป็นอย่างมาก แต่กลิ่นไอบนตัวกลับอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย และเขาก็กำลังจ้องมองผู้คนที่อยู่ในนั้นอย่างทระนงองอาจ
ส่วนหญิงสาวกลับอยู่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น แต่กลับมีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผมดกดำยาวถึงเอว นางเป็นสาวงามที่พบเจอได้น้อยมาก!
หลิ่วหมิงเห็นหญิงสาวนางนี้มีใบหน้าค่อนข้างคล้ายกับประมุขพรรคฉางเฟิง แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยแล้ว ก็ลุกขึ้นมาโค้งคารวะเหมือนกับคนอื่นๆ
ซินหยวนกับกวนอวี๋ก็โค้งคารวะตามผู้อื่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ขณะที่รองประมุขทั้งสองออกไปรับนั้น ประมุขพรรคฉางเฟิงก็พาชายหญิงทั้งสองเดินไปยังที่นั่ง
พอนักพรตหนุ่มเห็นประมุขพรรคฉางเฟิงปรากฏตัว แม้จะมีสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แสดงท่าทีออกมามาก เพียงแค่กล่าวออกมาด้วยสีหน้านอบน้อม
“ยินดีที่ประมุขฉางเฟิงกลับพรรค ไม่ได้ข่าวคราวของผู้อาวุโสมาหลายปี ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นห่วงยิ่งนัก หากเจ้าอารามทราบเรื่องนี้ จะต้องดีใจเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อวันนี้ผู้อาวุโสกลับมาแล้ว คิดว่าจะต้องมีแผนเกี่ยวกับการเดิมพันต่อสู้ในครั้งนี้อย่างแน่นอน”
‘เฟิงจ้าน’ ประมุขพรรคฉางเฟิงตาเป็นประกาย และกล่าวออกมาเบาๆ
“ท่านฑูตล้อข้าเล่นแล้ว ข้าเองไม่อยากให้คนอื่นดูถูกพรรคฉางเฟิง ถึงได้ตอบรับการเดิมพันต่อสู้ในครั้งนี้ แต่เรื่องนี้ยังไม่ต้องพูดถึง ข้าจะแนะนำท่านสักหน่อย นี่คือ ‘เฟิงไฉ่’ บุตรสาวของข้า ตอนเด็กได้พลัดพรากจากกันในตอนที่ไปท่องแผ่นดินจงเทียน และโชคดีได้เจอกันเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้บุตรสาวข้าเป็นศิษย์นิกายห้าวิญญานที่อยู่บนเขาเต่าทมิฬของแผ่นดินจงเทียน ด้านข้างนี้คือ ‘เว่ยจ้ง’ ศิษย์พี่ของลูกสาวข้า”
พอหญิงสาวที่ชื่อ ‘เฟิงไฉ่’ ได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ้มให้นักพรตหนุ่มอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มงดงามราวกับบุปผา ทำให้พรตหนุ่มเผลอใจไปชั่วขณะหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดดำเห็นเช่นนี้ กลับทำเสียงฮึดฮัดออกมา และไม่ได้ก้าวออกไปคารวะแต่อย่างใด
พอคนที่อยู่ในนั้นได้ยินคำว่า ‘นิกายห้าวิญญาณ’ พวกเขาต่างก็สูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน แววตาที่มองชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของนิกายห้าวิญญาณ!
นั่นคือหนึ่งในนิกายใหญ่บนแผ่นดินจงเทียนที่แท้จริง ซึ่งสืบทอดมานานนับหมื่นปี มียอดฝีมือในนิกายจำนวนไม่น้อย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่อารามจื่อเซียว หอเทียนเซียง และนิกายอื่นๆ สามารถเปรียบเทียบได้
แม้หลิ่วหมิงจะได้ยินชื่อนิกายนี้เป็นครั้งแรก แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ไหนเลยจะไม่รู้ว่านิกายห้าวิญญาณยอดเยี่ยมแค่ไหน
ซินหยวนที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าสนใจขึ้นมา
“ที่แท้ทั้งสองก็เป็นศิษย์ของนิกายห้าวิญญาณ ข้าน้อยเสียมารยาทไปหน่อย! ข้าน้อย ‘หยางเซิ่ง’ ศิษย์ของผู้อาวุโสอวี้ยินแห่งอารามจื่อเซียว จะว่าไปแล้วอารามจื่อเซียวกับนิกายห้าวิญญาณก็มีการติดต่อกันอยู่บ่อยๆ ไม่ทราบว่าพี่เว่ยอยู่ภายใต้สังกัดของนักพรตท่านใด?” พอนักพรตหนุ่มได้ยินชื่อนิกายห้าวิญญาณก็รู้สึกเย็นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็ได้สติจากการหลงใหลความงามตรงหน้า และกุมมือคารวะถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ!”
เว่ยจ้งจ้องมองชายหนุ่มชุดม่วงด้วยสายตาเยือกเย็น และยังคงไม่กล่าวอะไรออกมา
ชายหนุ่มชุดม่วงเห็นเช่นนี้ ก็ยังคงมีสีหน้าปกติ แต่กลับหัวเราะก่อนหันมากล่าวกลับเฟิงจ้านต่อ
“ในเมื่อบุตรสาวของผู้อาวุโสเฟิงได้มอบตัวเป็นศิษย์ของนิกายห้าวิญญาณแล้ว คิดว่าคงมีความมั่นใจการเดิมพันต่อสู้ในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยก็จะกลับไปรายงานการปฏิบัติภารกิจแล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านทูตก็เดินทางดีๆ แล้วกัน! ฟ่านเจิ้ง ช่วยส่งแขกแทนข้าหน่อย” เฟิงจ้านพยักหน้า เขาไม่คิดจะยับยั้งนักพรตหนุ่มไว้เลยแม้แต่น้อย และยังหันไปสั่งฟ่านเจิ้งที่อยู่ด้านข้าง
แม้ฟ่านเจิ้งจะเป็นถึงรองประมุขพรรค แต่ขณะนี้กลับไม่มีสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด เขารีบตอบรับกลับไป และเดินไปส่งหยางเซิ่งด้วยตนเอง
พอเฟิงจ้านเห็นฟ่านเจิ้งส่งนักพรตหนุ่มออกไปนอกประตูห้องโถงแล้ว เขาก็หันตัวกลับมา และเดินไปยังด้านหน้าเก้าอี้ตัวหลัก ขณะเดียวกัน ก็แสดงสีหน้าบ่งบอกให้ทุกคนนั่งลงได้ และบุตรสาวของเขากับชายหนุ่มชุดดำ ก็ยืนเคียงไหล่อยู่ด้านหลังของเขา
เฟิงจ้านค่อยๆ กวาดสายตามองผู้คนในห้องโถง พอเห็นว่าทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ถึงยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ทุกท่าน หลายปีมานี้ข้าออกไปท่องโลก ไม่ได้กลับมาเป็นเวลานาน เรื่องต่างๆ ในพรรคลำบากทุกท่านแล้ว”
“ท่านประมุขพูดอะไรกัน นี่คือสิ่งที่พวกข้าควรทำ แต่หลายปีมานี้ พรรคเราปะทะกับพันธมิตรจินอวี้ จนสูญเสียกำลังไปไม่น้อย……พวกข้ารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง” ชวีหลิงได้ยินก็รีบลุกขึ้นมา และกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ดวงตาเฟิงจ้านค่อยๆ เปล่งประกายออกมา เขาโบกมือเพื่อบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องมากพิธี จากนั้นก็กล่าวออกมา
“นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร กาลเวลาข้างหน้ายังอีกยาวนาน พวกเราวางแผนกันยาวๆ ก็พอแล้ว ใช่สิ! สองสามท่านนี้คือแขกที่มาใหม่สินะ?”
ขณะที่พูด เฟิงจ้านก็กวาดสายตามองดูหลิ่วหมิง ซินหยวน และกวนอวี๋
“คารวะท่านประมุข!”
“ดี! ดีมาก! ไม่ต้องมากพิธี ทุกท่านยอมเข้าร่วมพรรคฉางเฟิงในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง แต่วันนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา ความรุ่งเรืองของพรรคฉางเฟิงในขณะนี้ นับแต่นี้ต่อไปยังคงต้องให้ทุกท่านช่วยอย่างสุดกำลัง ภายหน้าจะต้องมีการตอบแทนอย่างงามแน่นอน” เฟิงจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ขอบคุณท่านประมุข ข้าน้อยจะช่วยอย่างสุดความสามารถ” กวนอวี๋ได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าฮึกเหิมขึ้นมา
ที่ผู้ฝึกฝนอิสระอย่างพวกเขาเข้าร่วมพรรคฉางเฟิง ก็เพราะเงื่อนไขค่าตอบแทนจำนวนมากเหล่านี้ ก่อนหน้านั้นที่พรรคฉางเฟิงพบกับความลำบาก ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะจากไป
ขณะนี้ประมุขพรรคกลับมาแล้ว ทั้งยังนำศิษย์นิกายห้าวิญญาณกลับมาด้วย สิ่งนี้ทำให้แขกที่ยังไม่จากไปอย่างกวนอวี๋รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
แม้หลิ่วหมิงกับซินหยวนจะมีความคิดแตกต่างกัน แต่ขณะนี้ย่อมต้องตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ดี! วันนี้แค่นี้ก่อน รอข้าจัดการเรื่องบางอย่างในพรรคเสร็จ หากมีเวลาข้าจะรับรองทุกท่านอย่างดี” ดูเหมือนเฟิงจ้านจะพอใจกับคำตอบรับของหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ มาก จากนั้นก็หัวเราะก่อนป่าวประกาศออกมา
…………………………………