หลังจากหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ จากไปแล้ว พริบตาเดียวในห้องโถงใหญ่ก็เหลือแค่เฟิงจ้าน รองประมุขพรรคทั้งสอง และบุตรสาวของเฟิงจ้านกับชายชุดดำเท่านั้น
“ไฉ่เอ๋อร์ เจ้ากับคุณชายเว่ยเดินทางมานานคงเหนื่อยมากแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ” เฟิงจ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวกับทั้งสอง
หญิงสาวตอบรับเบาๆ “ทราบ!” ส่วนชายชุดดำก็ไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด
พริบตาเดียว ในห้องโถงใหญ่ก็เหลือแค่เฟิงจ้านกับรองประมุขทั้งสองเท่านั้น
ทั้งสามหารือเรื่องในพรรคกันเล็กน้อย แต่เรื่องเดิมพันการต่อสู้กับพันธมิตรจินอวี้ เฟิงจ้านกลับไม่พูดถึงเลย
แม้รองประมุขพรรคทั้งสองจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไรมาก
ครึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อพูดคุยกันพอประมาณแล้ว เฟิงจ้านก็ลุกขึ้นมาส่งแขก และรองประมุขทั้งสองก็เตรียมจะกล่าวลาเช่นกัน แต่ทันใดนั้นประมุขพรรคฉางเฟิงกลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ใช่สิ! การเดินทางลับเมื่อหลายปีก่อน ข้าเคยพบผู้แข็งแกร่งระดับผลึกท่านหนึ่ง ถูกยอดฝีมือระดับของเหลวหลายคนโจมตีบริเวณผาลืมมังกร โชคดีที่เขาใช้ท่าไม้ตายบางอย่างรักษาชีวิตไว้ได้ ถึงรอดมาได้อย่างปลอดภัย และหนีเข้าไปในแผ่นดินจงเทียน”
รองประมุขพรรคทั้งสองมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่รู้ว่าประมุขกำลังหมายถึงอะไร
“แต่ว่ามีเรื่องร้ายย่อมมีเรื่องดี ข้ากลับบังเอิญโชคดีหาไฉ่เอ๋อร์เจอในแผ่นดินจงเทียน คงเป็นเจตนารมณ์ของสวรรคในท่ามกลางความมืดมิด เอาล่ะ! เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ ท่านทั้งสองก็ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องภายในพรรคพวกเรายังต้องร่วมมือร่วมใจกัน” เฟิงจ้านหัวเราะและกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
รองประมุขทั้งสองได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นพวกเขาก็ขานรับแล้วถอยออกไป
เมื่อทั้งสองเดินออกไปไกลแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิงจ้านถึงค่อยๆ หายไป ถ้วยชาในมือถูกวางลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง
ไม่นาน!
ภายในห้องโถงเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลังห้องโถงใหญ่ เฟิงจ้านเปลี่ยนมาสวมชุดสีขาว และกำลังนั่งอยู่ในนั้น บุตรสาวของเขากับชายหนุ่มชุดดำ ก็นั่งอยู่ทั้งสองข้างของเขา
ขณะนี้เฟิงไฉ่ได้เปลี่ยนมาสวมชุดสีสันสดใส ยิ่งทำให้ดูงดงามมากขึ้นกว่าเดิม
ในห้องมีแค่พวกเขาสามคนเท่านั้น หญิงรับใช้ได้ออกไปนานแล้ว
เฟิงจ้านจิบชาไปด้วย เล่าอะไรบางอย่างให้ทั้งสองฟังไปด้วย
“เช่นนี้ก็หมายความว่า ท่านพ่อสงสัยว่าผู้ที่ลอบโจมตีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของท่านคือประมุขพันธมิตรจินอวี้?” หญิงสาวกล่าวด้วยความโกรธแค้น
“ฮึ! ถ้าไม่ใช่จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ จะเป็นใครไปได้! ค่ายกลที่คนเหล่านั้นจัดวางไว้ เป็นค่ายกลกับดักคลื่นวารีของหอเทียนเซียง มันเป็นฝีมือของพ่อบ้านเจ้าเฒ่าตู๋กูอวี้ ไหนเลยข้าจะดูไม่ออก พรรคฉางเฟิงกับพันธมิตรจินอวี้เป็นศัตรูกันมานานขนาดนี้ ถ้าพวกเขาอยากจะจัดการข้าก็เป็นเรื่องธรรมดา หากมีโอกาสข้าก็จะไม่พลาดอย่างแน่นอน” เฟิงจ้านทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา
“แต่ดูจากที่ท่านพ่อเล่ามา ที่ท่านออกไปในครั้งนั้นก็เพราะเรื่องสำคัญ จึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับคนนอก นอกจากรองประมุขพรรคทั้งสองแล้ว ก็มีคนในพรรครู้แค่ไม่กี่คน” หญิงสาวกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
ดวงตาเฟิงจ้านเป็นประกายเยือกเย็น และค่อยๆ กล่าวออกมา “ไม่ผิด! เรื่องนี้ข้าเคยพูดกับรองประมุขทั้งสองเท่านั้น……”
“ความหมายของผู้อาวุโสเฟิงก็คือ หนึ่งในสองคนนั้น จะต้องมีคนใดคนหนึ่งสมคบคิดกับคนนอก และวางแผนมิดีมิร้ายกับพรรคของท่าน?” ชายหนุ่มชุดดำพูดแทรกเข้ามาในฉับพลัน
“คุณชายเว่ยสมกับเป็นศิษย์อัจฉริยะที่มาจากนิกายใหญ่ ถึงได้มีความคิดละเอียดรอบคอบยิ่งนัก และมีความรอบรู้เป็นอย่างมาก แต่เรื่องนี้ข้ายังไม่มีหลักฐาน คงได้แต่ปล่อยวางไปก่อน” เฟิงจ้านได้ยินก็หัวเราะออกมา
“ผู้อาวุโสเฟิงชมเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มชุดดำกล่าวเช่นนี้ แต่ใบหน้าของเขากลับแสดงความพอใจเป็นอย่างมาก
“นอกจากนี้ เรื่องเดิมพันการต่อสู้ของพรรคเรากับพันธมิตรจินอวี้ อาจต้องให้คุณชายเว่ยยื่นมือเข้าช่วยเล็กน้อย” เฟิงจ้านเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ขณะเดียวก็หันไปส่งสายตาเป็นนัยให้กับเฟิงไฉ่
“ท่านพ่อวางใจเถิด! ศิษย์พี่เว่ยเป็นศิษย์ในสาขาของนิกายใหญ่ ไม่เพียงแต่มีพลังเวทหนาแน่น บนตัวยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดหลายชิ้นที่ผู้อาวุโสสาขามอบให้ สามารถรับมือกับคนของพันธมิตรจินอวี้ได้อย่างง่ายดาย” เฟิงไฉ่มองไปยังชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม ดวงตาทั้งคู่สวยหยาดเยิ้มราวกับสนิทสนมเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มชุดดำมองดูจนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เขายืดอกแล้วกล่าวด้วยความมั่นใจ
“ผู้อาวุโสเฟิงโปรดวางใจ นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น มอบให้ข้าเว่ยจ้งจัดการเถอะ!”
“ดี! ดี! ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนคุณชายเว่ยแล้ว! วันนี้คุณชายก็เหนื่อยมามาก ไปพักผ่อนก่อนเถอะ” เฟิงจ้านเห็นชายหนุ่มตอบรับเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย และตบมือหัวเราะเป็นการใหญ่
เว่ยจ้งลุกขึ้นมาประสานมือคารวะแล้วกล่าวคำอำลา ก่อนไปยังไม่ลืมหันมามองเฟิงไฉ่ทีหนึ่ง พอเห็นนางยิ้มให้ เขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นถึงได้เดินออกไปด้วยความพอใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่าพอชายหนุ่มชุดดำเดินออกไปจากห้องโถงได้ไม่นาน สีหน้าของเฟิงไฉ่ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาของนางเผยแววสะอิดสะเอียนออกมา
“ไฉ่เอ๋อร์ แม้เว่ยจ้งจะมีใบหน้าอัปลักษณ์ไปหน่อย แต่เขาเป็นถึงหลานของผู้อาวุโสสาขาในนิกายห้าวิญญาณ! ผู้อาวุโสสาขามีสถานะไม่ธรรมดาในนิกายห้าวิญญาณ! หากเจ้าทำให้เขาลุ่มหลงได้ การพัฒนาสัมพันธ์กับนิกายห้าวิญญาณในภายหน้า ต้องราบรื่นอย่างแน่นอน และเจ้าก็ไม่ได้เสียเปรียบแต่อย่างใด” เฟิงจ้านเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี แต่ใบหน้าอัปลักษณ์ของคนผู้นี้ไม่ต้องพูดถึง นิสัยยังหยิ่งผยองลืมตนอีก แม้จะมีการฝึกฝนไม่ธรรมดา แต่บางทีลูกก็ทนไม่ได้เหมือนกัน” เฟิงไฉ่กระทืบเท้า และกัดฟันกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“สำหรับผู้ฝึกฝนอย่างพวกเราแล้ว รูปลักษณ์นิสัยของคู่รักฝึกฝนล้วนเป็นเรื่องรอง เพียงแค่เจ้าสามารถหาผลประโยชน์จากตัวเขาได้ ภายหน้าก็สามารถเข้าสู่ระดับผลึกได้ เมื่อเกาะตัวเป็นแก่นแท้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องประจบประแจงเว่ยจ้งอีก เรื่องนี้สำคัญมาก การฝึกฝนของเจ้าในภายหน้า จะต้องไม่ใช้อารมณ์เด็ดขาด” เฟิงจ้านปลอบใจเฟิงไฉ่ด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
ดูเหมือนเฟิงไฉ่จะยังคงไม่พอใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตอบรับ
……
ขณะเดียวกัน ภายในห้องโถงในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง หลิ่วหมิงกับซินหยวนกำลังหารือเรื่องบางอย่างอยู่ หญิงรับใช้ทั้งสองถูกเขาสั่งให้ไปที่แปลงสมุนไพรนานแล้ว
“พี่หลิ่ว เรื่องในวันนี้ท่านทีความเห็นว่าอย่างไร?” ซินหยวนถามด้วยสีหน้าลังเล
“สถานการณ์ภายในพรรคฉางเฟิงค่อนข้างซับซ้อน ขณะนี้คลื่นใต้น้ำไหลทะลัก พายุพัดประดังเข้ามา เกรงว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“เฮ่อๆ! ดูท่าพวกเราจะคิดเหมือนกัน ครั้งนี้เฟิงจ้านกลับมาอย่างกะทันหัน ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับนิกายห้าวิญญาณเล็กน้อย ทำไมถึงดูเหมือนว่าพรรคฉางเฟิงจะมีต้นไม้ใหญ่ให้พึ่งพา แต่จากข่าวคราวที่ข้าฟังมา สิบนิกายใหญ่ในเขตทะเลหนานไห่ ไม่ใช่คนดีแต่อย่างใด ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของนิกายใหญ่ในแผ่นดินจงเทียนอยู่ไม่มากก็น้อย ในนั้นมีบางส่วนเป็นแค่สาขาของนิกายใหญ่ที่มาตั้งในทะเลหนานไห่เท่านั้น อีกอย่างทรัพยากรของทะเลหนานไห่ ก็ถูกแบ่งไปหมดแล้ว เกรงว่านิกายเหล่านั้น คงไม่ยอมนิ่งดูดายให้พรรคฉางเฟิงเป็นใหญ่” ซินหยวนหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“นี่ต้องดูวิธีการของเฟิงจ้านผู้นี้แล้ว หากเขาสามารถทำให้นิกายห้าวิญญาณเข้ามาช่วยเหลือได้ล่ะก็ ภายหน้าก็อาจจะพัฒนาขึ้นมาจริงๆ ก็ได้” หลิ่วหมิงกล่าว
“ในเมื่อตอนนี้พรรคฉางเฟิงได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ พวกเราควรรีบถอยห่างจะดีกว่า มิเช่นนั้นอาจจะถูกบีบให้เข้าร่วมการต่อสู้ก็เป็นได้” ซินหยวนพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
“ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ก่อนอื่นพวกเราจำเป็นต้องหาวิธีจัดการพิษโอสถราชาปีศาจสมุทรให้สิ้นซาก! หลายเดือนนี้ ไข่หนอนบนตัวข้าก็เหลือไม่มากแล้ว พี่ซินก็คงไม่ต่างกัน” หลิ่วหมิงพยักหน้า จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลัน และพูดถึงเรื่องการถอนพิษแทน
“ข้าเองก็มีไม่มากจริงๆ และพิษนี้ก็เกี่ยวข้องกับชีวิตพวกเราทั้งสอง หากไม่จัดการโดยเร็ว ก็ไม่อาจวางใจได้ จะว่าไปแล้ว หลายวันนี้ข้าได้ไปสืบข่าวบริเวณรอบๆ และค้นพบว่าในคลังเก็บของของพรรคฉางเฟิงมีโอสถถอนพิษหลายชนิด ว่ากันว่าสามารถถอนพิษแปลกประหลาดได้หลากหลายรูปแบบ บางทีอาจจะถอนพิษราชาปีศาจสมุทรได้ นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่า ในบรรดาแขกของพรรคฉางเฟิง มีคนผู้หนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในวิชาทางการแพทย์ เขาเคยถอนพิษแปลกประหลาดมาก่อน พวกเราก็ควรจะไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย แต่ว่าคนผู้นี้ไม่ได้อยู่บนเกาะมัจฉาเขียว แต่ไปอยู่ประจำที่บนเกาะอีกแห่งบริเวณใกล้ๆ” ซินหยวนได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่ตัวเองไปสืบมา
“เช่นนี้ย่อมดีมาก เพื่อเป็นการประหยัดเวลา พวกเราทั้งสองแยกกันดำเนินการเถอะ!” หลิ่วหมิงได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
ซินหยวนย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด หลังจากทั้งสองหารือกันเสร็จแล้ว ก็แบ่งงานกันอย่างรวดเร็ว
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงก็ไปจากถ้ำที่พัก หลังจากดูทิศทางเล็กน้อยแล้ว ก็ทะยานออกไปจากเกาะมัจฉาเขียว และพุ่งไปยังทิศทางที่ตั้งเป้าไว้
เขารู้มาจากซินหยวนว่า แขกผู้นั้นมีชื่อว่า ‘ฟางเหยา’ ชอบอาศัยอยู่คนเดียวบนเกาะเล็กๆ ที่ใช้เวลาเดินทางจากที่นี่ไปครึ่งวัน
น่าเสียดายที่เรือกลเหาะลำนั้นกับอาวุธจิตวิญญาณโดยทั่วไป ต่างก็ตกอยู่ในมือของผู้พิทักษ์ในเหมืองแร่ใต้ทะเลลึกเหล่านั้น มิเช่นนั้นเขาก็สามารถนั่งเรือเหาะมาได้
ตอนนี้เขาก็ได้แต่ขี่เมฆเดินทางเท่านั้น
แต่หลิ่วหมิงได้ตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้ว พอหินจิตวิญญาณในมือมีมากขึ้น เขาจะซื้ออาวุธจิตวิญญาณเหินเวหามาสักชิ้น
……
ขณะเดียวกัน!
บนเกาะมัจฉาเขียว
ภายในสิ่งก่อสร้างรูปกระสวยที่มีคำว่า ‘หอคุณูปการ’ แขวนอยู่
ด้านในสิ่งก่อสร้างนี้กว้างขวางมาก มีพื้นที่กว้างมากกว่าห้าสิบถึงหกสิบจั้ง เสาหยกสีขาวขนาดใหญ่ต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง มีแสงสีขาวค่อยๆ หมุนวนอยู่บนพื้นผิว
พอมองอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่ามีอักขระสีเงินจางๆ จำนวนหนึ่งประทับอยู่บนเสา ซึ่งเป็นภารกิจที่พรรคฉางเฟิงมอบให้แขกต่างๆ และบรรดาลูกศิษย์
ภารกิจเหล่านี้มีหลากหลาย มีสังหารปีศาจอสูร หาพืชจิตวิญญาณ หาวัตถุดิบของโอสถ เป็นต้น
ไม่ว่าจะเป็นแขกของพรรคหรือศิษย์ธรรมดาทั่วไป ก็สามารถมารับภารกิจที่นี่ได้ หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว ไม่เพียงแต่จะได้รับหินจิตวิญญาณเป็นค่าตอบแทน ยังสามารถสะสมแต้มคุณูปการ เพื่อนำมาแลกทรัพยากรต่างๆ ภายในพรรค ซึ่งดูคล้ายกับหอดำเนินการของนิกายปีศาจมาก
ที่จริงแต่ละนิกายต่างก็มีสถานที่คล้ายๆ กัน ประการแรกก็เพื่อฝึกฝนศิษย์ ประการที่สอง ก็เพื่อถือโอกาสจัดการปัญหาจำนวนมากในนิกาย
ด้านหน้าเสาหยกขนาดใหญ่ในขณะนี้!
ซินหยวนกำลังยืนจ้องมองเสาหยกด้วยตาที่เป็นประกาย
ผ่านไปซักพัก ถึงได้ยกมือขึ้นมาโบก!
แสงสีขาวพุ่งออกจากเสาหยกในทันที จากนั้นก็กระพริบหายไปในป้ายหยกที่อยู่บนมือของเขา
แสงสีขาวหมุนวนอยู่บนป้ายหยกครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีอักขระลอยออกมาหนึ่งแถว
…………………………………