ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 441 โอสถชิงซ่าน

“สิบแก่นปีศาจอสูรทารก หนึ่งพันแต้มคุณูปการ!”

พอซินหยวนนำป้ายหยกไปแปะไว้บนหน้าผาก เขาก็รู้รายละเอียดของภารกิจนี้

ที่แท้อสูรทารกเป็นอสูรสมุทรระดับของเหลวขั้นต้น แม้ว่าระบบน้ำภายในร่างจะน่าทึ่ง แต่มันหวาดกลัวพลังของอัคคีมาก และแก่นปีศาจของมันก็เป็นวัตถุดิบชั้นดีในการปรุงโอสถ แต่เหตุที่เรียกชื่อมันเช่นนี้ ก็เพราะว่าเสียงของมันเหมือนกับเสียงร้องของทารกมาก

อสูรชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ในกลุ่มหินปะการัง และห่างจากทางใต้ของเกาะมัจฉาเขียวไปไม่ไกล ก็มีเกาะหินปะการังอยู่แห่งหนึ่ง

ซินหยวนคิดไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นก็รีบเดินออกจากหอคุณูปการอย่างรวดเร็ว กระบองเหล็กในมือกลายเป็นแสงสีดำพร้อมกับเขา จากนั้นก็พุ่งไปทางใต้ของเกาะทันที

……

หลังจากหลิ่วหมิงเหาะมาเกือบครึ่งวัน ในที่สุดก็มาถึงเหนือเกาะสีเขียวเล็กๆ แห่งหนึ่งในเวลาเที่ยงตรงพอดี

บนเกาะมีพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่มีต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงามเต็มไปหมด พื้นที่จำนวนไม่น้อยถูกถางเป็นแปลงสมุนไพร บนนั้นมีพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ เต็มไปหมด นอกจากนี้ สถานที่อื่นๆ ของเกาะยังมีเนินเขาอยู่เป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมงดงามแห่งหนึ่ง

หลิ่วหมิงเหาะวนอยู่บนอากาศครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจว่ามาถึงจุดหมายแล้ว เขาก็ค่อยๆ ร่อนลงไปยังตีนเขาของยอดเขางดงามลูกหนึ่ง

หลังจากปล่อยพลังจิตตรวจดูสถานการณ์บริเวณรอบๆ แล้ว ร่างของเขาก็แวบมาปรากฏอยู่ตรงหน้าประตูหินสีดำบานใหญ่

เขายังไม่ทันได้เคาะประตู มันก็ส่งเสียงดังแกร๊กแล้วเปิดออกมาเอง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก แต่มีเด็กคนหนึ่งโผล่ศีรษะออกมา พอเขาเห็นหลิ่วหมิงก็ถามอย่างระมัดระวัง

“ท่านเป็นใคร?”

“ข้าน้อยหลิ่วหมิง เป็นแขกของพรรคฉางเฟิง วันนี้จะมาเยี่ยมเยียนสหายฟางเหยา รบกวนสหายน้อยรายงานให้ข้าหน่อย” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ไม่จำเป็นต้องรายงานแล้ว! ข้าไม่พบคนอื่นที่ไม่ใช่แขกของพรรคฉางเฟิง! สหายนำป้ายออกมาให้ดูได้หรือไม่?” น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่มีพลังดังมาจากด้านหลังของเด็กน้อย

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วในทันที พอสะบัดแขนเสื้อ กลุ่มแสงสีเขียวก็ปรากฏออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นป้ายที่เปล่งประกายแสงสีเขียว

พอเด็กน้อยรับป้ายไปแล้ว ก็รีบหมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน

“ที่แท้ก็เป็นสหายหลิ่ว เชิญเข้ามาเถิด!” ไม่นานก็มีเสียงของชายผู้นั้นดังออกมาจากในถ้ำอีกครั้ง

เด็กน้อยเดินออกมาคืนป้ายให้หลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็พาเขาเดินเข้าไปด้านใน

ดูจากภายนอก ถ้ำแห่งนี้ดูไม่เตะตาแม้แต่น้อย แต่ด้านในกลับมีขนาดใหญ่กว่าถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงบนเกาะมัจฉาเขียวมาก ระเบียงคดเคี้ยวสายหนึ่งเชื่อมผ่านห้องหินหลายแห่ง

ไม่นานหลิ่วหมิงก็ถูกเด็กน้อยพามาถึงห้องโถงขนาดค่อนข้างใหญ่ที่อยู่ตรงจุดสิ้นสุดของระเบียงทางเดิน ในนั้นมีเก้าอี้ไม้จัดวางอย่างง่ายๆ ผนังหินทั้งสองด้านต่างก็มีประตูหินอยู่ ดูเหมือนกับว่ามันเชื่อมต่อกับทางเดินอีกสองแห่ง

“สหายหลิ่วจิบชาจิตวิญญาณรอสักครู่ ข้ากำลังปรุงโอสถอยู่ ต้อนรับไม่ดีต้องขออภัยด้วย” เสียงของชายในก่อนหน้านั้นดังออกมาจากประตูหินทางด้านซ้าย

“สหายฟางไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ หากมีธุระล่ะก็ รีบทำให้เสร็จเถอะ เป็นข้าน้อยต่างหากที่มารบกวนท่าน” หลิ่วหมิงตอบกลับเสียงดัง

ก่อนหน้าที่เขาเหยียบเข้ามาในนี้ ก็รับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่มาจากประตูทางด้านซ้าย คิดว่าคงเป็นที่ปรุงโอสถของฟางเหยาผู้นั้น

ขณะนี้ หลังจากสหายน้อยรอจนหลิ่วหมิงนั่งลงไปแล้ว เขาก็ประคองถาดไม้นำชาจิตวิญญาณมาให้ถ้วยหนึ่ง

หลิ่วหมิงก้มมองน้ำชาในถ้วยอย่างละเอียด เขาค้นพบว่าน้ำชาใสแจ๋วมาก ทั้งยังมีสีเขียวหยก และส่งกลิ่นหอมเป็นพิเศษ

เขาก้มจิบชาไปหนึ่งที ตอนแรกก็รู้สึกขมเล็กน้อย แต่พอกลืนลงคอกลับรู้สึกเย็นชุ่มคอมาก พริบตาเดียว ก็แผ่คลุมไปตามชีพจรต่างๆ ทำให้เขารู้สึกสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง

คิดไม่ถึงว่าชาชนิดนี้จะมีผลลัพธ์ขนาดนี้ ทำให้หลิ่วหมิงรอคอยการที่จะได้พบเจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก

เวลาต่อมา เขาค่อยๆ จิบชารอคอยอย่างเงียบๆ

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา เขามองไปยังภาพวาดแปลกประหลาดบนผนังหินที่มีอักขระสีแดงสลักอยู่เต็มไปหมด และแสดงสีหน้าสนใจขึ้นมา

“อ่าว! ที่แท้สหายก็รู้วิชาปรุงโอสถด้วยหรือ?” ขณะที่หลิ่วหมิงมองดูอย่างเพลิดเพลินนั้น ก็มีเงาร่างคลื่นไหวตรงประตูทางด้านซ้าย จากนั้นชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีเทาก็เดินออกมา

คนผู้นี้ดูมีอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี รูปร่างผอมสูง ใบหน้าดูมีสง่า ขณะนี้กำลังฟั่นหนวดและจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม

“คิดว่าท่านคงเป็นสหายฟาง หลายปีก่อนข้าเคยเรียนวิชาปรุงโอสถมาเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับสหายแล้วมันไม่มีค่าพอที่จะพูดถึง” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ประสานมือคารวะและกล่าวอย่างถ่อมตน

“แม้ข้าจะอาศัยอยู่นอกเกาะ แต่ก็พอจะได้ยินมาว่า เมื่อหลายเดือนก่อนมีสหายใหม่สองคนเข้าร่วมพรรค คิดว่าสหายหลิ่วคงเป็นหนึ่งในนั้น” ฟางเหยาสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามที และเดินไปนั่งบนเก้าอี้หลักในห้องโถง

“ไม่ผิด! ข้าน้อยเข้าร่วมพรรคฉางเฟิงเมื่อไม่นานมานี้ ความจริงที่ข้ามาเยี่ยมเยียนสหายในวันนี้ ก็เพราะมีเรื่องอยากขอให้ช่วย” หลิ่วหมิงพยักหน้าและกล่าวออกมาตามตรง

“อ้อ! ข้าเองก็พอจะนับว่ามีวิชาการแพทย์อยู่บ้าง ไม่ทราบว่าสหายมาให้รักษาโรคหรือต้องการถอนพิษ?” ฟางเหยากล่าวโดยไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด

“บอกตามตรง ข้าน้อยถูกพิษประหลาดที่พบเจอได้น้อยมาก พิษนี้ยึดติดกับอวัยวะภายใน และไม่ค่อยร้ายแรงมาก แต่ทุกเดือนจะต้องทานโอสถเพื่อระงับไว้ มิเช่นนั้นพอมันกำเริบขึ้นมา ก็จะลุกลามไปกัดกร่อนอวัยวะภายใน ส่วนผลที่ตามมานั้นไม่อยากจะนึกถึงเลย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ปิดบัง

“สามารถกัดกร่อนอวัยวะภายในได้ ทั้งยังมีการกำเริบตามเวลาที่กำหนดด้วย ฟังดูแล้วพิษนี้มันคงไม่ง่ายนัก แต่ข้าจะลองดู” พอชายชุดคลุมสีเทาได้ยิน เขาก็ครุ่นคิดด้วยตาที่เป็นประกายแวววาว จากนั้นถึงตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนเขาจะรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงเห็นฟางเหยารับปากเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจมาก ทันใดนั้นเขาก็เล่าเรื่องที่เคยทดลองกำจัดพิษด้วยตนเอง และเรื่องการดูดกลืนพลังเวทของพิษนี้โดยละเอียด  แต่เรื่องระหว่างที่โดนพิษนี้ เขากลับกล่าวอย่างคลุมเครือ และชายชุดคลุมสีเทาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก

เมื่อฟางเหยาฟังจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พาหลิ่วหมิงไปยังห้องลับอีกแห่งที่อยู่ด้านข้าง

บนพื้นห้องลับ มีค่ายกลรูปวงกลมสีเหลืองจางๆ ขนาดจั้งกว่าๆ ประทับอยู่ มีเบาะกลมๆ วางอยู่ตรงกลาง รอยเว้ารอบด้านมีผลึกหินสีเหลืองฝังอยู่สิบกว่าก้อน

ฟางเหยาแสดงท่าทีให้หลิ่วหมิงเข้าไปนั่งใจกลางค่ายกล

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ กวาดพลังจิตออกไป หลังจากแน่ใจว่าค่ายกลนี้เป็นแค่ค่ายกลตรวจวัดทั่วไป เข้าก็ก้าวเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น

พอหลิ่วหมิงนั่งเรียบร้อยแล้ว ชายชุดคลุมสีเทาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นก็โบกมือข้างหนึ่ง และปล่อยวิชาเข้าไปในค่ายกลสิบกว่าสาย แต่ละสายต่างก็โจมตีลงบนผลึกหินที่อยู่รอบๆ ค่ายกลอย่างแม่นยำ

ค่ายกลส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง แสงสีเหลืองเปล่งประกาย จากนั้นมันก็ค่อยๆ หมุนวน

ฟางเหยาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา และโยนกระจกทองแดงออกไป ขณะเดียวกันเสียงร่ายคาถาก็ดังขึ้นถี่ๆ

กระจกทองแดงเปล่งประกายอยู่เหนือศีรษะของหลิ่วหมิง หลังจากที่มันหมุนตัวติ้วๆ ก็มีแสงสีทองพุ่งออกจากในนั้น และปกคลุมร่างหลิ่วหมิงไว้

ต่อมาฟางเหยาก็ปล่อยวิชาออกไปจำนวนมาก มีอักขระแปลกประหลาดลอยออกจากกระจกทองแดงไม่หยุด

“เปิด!”

ชายชุดคลุมสีเทาตะคอกเสียงออกมา จากนั้นลำแสงสีเหลืองก็พุ่งออกจากผิวกระจก และกลายเป็นม่านแสงปกคลุมหลิ่วหมิงไว้ด้านใน

หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง แต่กลับนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ว่าม่านแสงสีเหลืองจะไหลวนอยู่บนร่างเขาก็ตาม

ฟางเหยาทำท่ามือด้วยมือเดียว และจ้องมองฉากแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นบนผิวกระจกอย่างตั้งอกตั้งใจ

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดเขาถึงถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นเขาก็ปล่อยวิชาโจมตีลงบนค่ายกลอีกครั้ง ทันใดนั้น ค่ายกลสีเหลืองก็หยุดหมุนวนในฉับพลัน และลำแสงก็ค่อยๆ ดับไป

กระจกทองแดงพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อของเขา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ ก้าวออกไปจากค่ายกล และยืนรออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

ฟางเหยายืนนิ่งครุ่นคิดอย่างหนัก ผ่านไปพักใหญ่ๆ เขาก็ขอโลหิตบริสุทธิ์ที่อยู่บริเวณจุดตันเทียนของหลิ่วหมิงมาหยดหนึ่ง หลังจากใส่เข้าไปในแผ่นค่ายกลแล้ว ไม่คิดว่าจะนำไหมดำออกมาได้สายหนึ่ง

ต่อมา เขาก็ลองใช้ของเหลวจิตวิญญาณที่แตกต่างกันกว่าสิบชนิดมาผสมกับไหมดำนี้ และตรวจดูอย่างละเอียด

ผ่านไปหนึ่งเค่อ ฟางเหยาพลันหัวเราะฮาๆ ก่อนกล่าวออกมา

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว พิษของเจ้าสิ่งนี้แปลกประหลาดมากจริงๆ  แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามาถจัดการได้ ข้ารู้จักโอสถถอนพิษชนิดหนึ่ง คิดว่าคงจะช่วยเจ้าจัดการพิษนี้ได้”

“จริงหรือ! พี่ฟาง ที่นี่มีโอสถที่ว่าหรือไม่!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก

“สิ่งนี้เรียกว่าโอสถชิงซ่าน มีคนน้อยมากที่ได้ใช้มัน ในมือข้าไม่มีแบบที่ปรุงสำเร็จแล้ว แต่การปรุงโอสถนี้ง่ายมาก แต่ว่าขาดเชื้อกระตุ้นไปหนึ่งอย่าง และเชื้อกระตุ้นนี้……หาได้ไม่ง่ายเลย” ฟางเหยาได้ยินกลับแสดงสีหน้าลังเลออกมา

“ไม่ทราบว่าเชื้อกระตุ้นนี้คือสิ่งใดกัน สามารถหาได้จากที่ไหน ขอสหายโปรดชี้แนะเล็กน้อย เพียงแค่พี่ฟางปรุงโอสถนี้ออกมาถอนพิษได้สำเร็จ ข้าจะต้องตอบแทนให้อย่างงาม” พอหลิ่วหมิงได้ยินชื่อ ‘โอสถชิงซ่าน’ ก็คิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว หลังจากแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ก็ประสานมือกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น

“เชื้อกระตุ้นนี้คือถุงพิษอสูรสมุทรที่มีชื่อว่าตั๊กแตนโลหิต และต้องเป็นถุงพิษในร่างของราชาอสูรระดับของเหลวถึงจะได้ แต่ว่าหากอสูรตั๊กแตนโลหิตนี้ อาศัยอยู่แค่ตัวเดียวมันก็มีพลังไม่มาก แต่มันกลับอยู่เป็นฝูงมาโดยตลอด ฝูงหนึ่งมีนับร้อยนับพันตัว ทั้งยังอาศัยอยู่ในสมุทร จัดการได้ยากยิ่งนัก” ฟางเหยาลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

วันนี้เขาเพิ่งได้ยินชื่ออสูรตั๊กแตนโลหิตเป็นครั้งแรก และฟังจากที่ฟางเหยาบรรยายแล้ว ดูเหมือนจะไม่เรื่องง่าย

พอฟางเหยาเห็นใบหน้าลำบากใจของหลิ่วหมิง เขาก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“สหายหลิ่วอย่าได้ร้อนใจไป ข้ารู้มาว่ามีอสูรตั๊กแตนโลหิตยึดครองน่านน้ำบริเวณนี้อยู่ฝูงหนึ่ง ราชาในฝูงนั้นก็มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายพอดี ถ้าสหายสามารถเอาถุงพิษของมันมาได้ ก็เพียงพอที่จะกำจัดพิษในร่างได้แล้ว”

“อ๋อ! มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วย!” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

“สหายอย่าได้เข้าใจผิด! ที่ข้ารู้เรื่องนี้ก็เพราะว่า ไม่ว่าจะเป็นแก่นปีศาจหรือว่าเลือดเนื้อของมัน ล้วนมีมูลค่าสูงเป็นอย่างมาก ข้ากับสหายหลายคนได้จับตามองอสูรสมุทรกลุ่มนี้มาแต่แรก และยังคิดหาวิธีการมานานแล้ว ดังนั้นถึงได้รู้ตำแหน่งที่ชัดเจนของมัน แต่จำนวนของมันมีมากจริงๆ พวกข้าหลายคนรับมือกับมัน ยังต้องเสียพลังไปค่อนข้างมาก ด้วยเหตุนี้พวกข้าถึงลังเลมาโดยตลอด แต่หากสหายหลิ่วยอมเข้าร่วมด้วยล่ะก็ พวกเราก็มีโอกาสทำสำเร็จมากขึ้น และเริ่มวางแผนได้ทันที ถ้าสำเร็จล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะช่วยกำจัดพิษให้สหายได้เท่านั้น ขณะเดียวกัน ยังสามารถแบ่งผลประโยชน์ตามกำลังความสามารถของแต่ละคน ไม่ทราบสหายหลิ่วมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” ชายชุดคลุมสีดำเอามือฟั่นหนวดแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset