หลิ่วหมิงแวบหายเข้าไปในหุบเขา และค่อยๆ เดินไปตามทางสายเล็กๆ เส้นหนึ่ง ทั้งสองข้างทางต่างก็เป็นหินผาสีแดงที่แผ่ไอร้อนออกมา
ผ่านไปสักครู่ เขาก็มาปรากฏตัวหน้าประตูหินสีขาวเทาที่สร้างติดกับภูเขาตรงปลายสุดของทางเดิน
มีสัญลักษณ์รูปเปลวเพลิงสีแดงสองสามแบบประทับอยู่บนประตูหิน หลังจากหลิ่วหมองกวาดสายตาดูสองสามทีแล้ว ก็เดินไปหน้าประตู และเคาะประตูเบาๆ อย่างไม่ลังเล
“ปังๆ!”
จากนั้นประตูก็แง้มออกเล็กน้อย หญิงสาวที่มีสีผิวค่อนข้างดำโผล่หน้าออกมา
พอนางเห็นหลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ไม่นานก็มองเห็นสัญลักษณ์แขกระดับสูงที่ประทับอยู่บนเสื้อผ้า
“ขอบังอาจถาม ผู้อาวุโสมีนามว่าอย่างไร มาที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือ?” หญิงสาวถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ข้าน้อยหลิ่วหมิง เป็นแขกใหม่ของพรรคฉางเฟิง วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนสหายหวงเจิน” หลิ่วหมิงตอบด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นสหายหลิ่ว ช่างไม่บังเอิญเสียจริง ท่านพ่อของข้ากำลังหลอมอาวุธจิตวิญญาณชิ้นหนึ่ง ให้ข้าไปแจ้งก่อนหรือไม่?” หญิงสาวได้ยินเช่นนี้ ก็ลังเลเล็กน้อยและกล่าวออกมาตามตรง
“ที่แท้ก็เป็นแม่นางหวง ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าว
“ผู้อาวุโสโปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปรีบมา” ขณะที่พูดหญิงสาวก็ปิดประตูลงอีกครั้ง
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป ประตูใหญ่หน้าถ้ำก็ส่งเสียงดัง “แกร๊กกร๊าก!” จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
ครั้งนี้ ชายฉกรรจ์วัยกลางคนที่มีอายุราวๆ สี่สิบถึงห้าสิบปีเดินออกมาจากด้านใน สีผิวดำวาว มือเท้าใหญ่และหยาบกระด้าง แวบแรกที่มองออกไป เขาดูคล้ายชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง
“สหายหลิ่วใช่หรือไม่ ข้างน้อยหวงเจิน ก่อนหน้านั้นลูกสาวข้าเสียมารยาทเล็กน้อย ต้องขออภัยด้วย สหายรีบเข้ามาคุยด้านในเถอะ” ชายฉกรรจ์ผิวดำสังเกตดูหลิ่วหมิงรอบหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างสุภาพ
“สหายหวงเกรงใจไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยต้องขอรบกวนด้วย” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่เผยสีหน้าผิดปกติออกมา หลังจากกล่าวขอบคุณแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน
พอเดินเข้าประตูไปแล้ว ก็ผ่านระเบียงทางเดินเส้นหนึ่งที่ยาวสิบกว่าจั้ง ด้านในเป็นห้องโถงใหญ่ที่กว้างยี่สิบถึงสามสิบจั้ง ไอร้อนปกคลุมอยู่บนอากาศ บนพื้นกับผนังหินรอบด้านต่างก็มีสีแดงเข้ม
ผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงก็ถูกชายฉกรรจ์ผิวดำ พามายังห้องหินที่ใช้รับแขกหลังหนึ่ง ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน และเริ่มทำการสนทนา
“เช่นนี้ก็หมายความว่าสหายคิดจะให้ข้าช่วยหลอมอาวุธจิตวิญญาณชิ้นหนึ่ง?” ผ่านไปไม่นานหวงเจินก็จ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ผิด! ข้าน้อยได้ยินมาว่าพี่หวงแห่งพรรคฉางเฟิงเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธมากที่สุด แต่หากให้วัสดุที่เพียงพอแก่ท่าน เพื่อหลอมอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางหนึ่งชิ้น ไม่ทราบว่าท่านมีความมั่นใจในความสำเร็จมากน้อยเพียงใด?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อันนี้ต้องดูคุณภาพของวัสดุกับเงื่อนไขของสหายแล้ว ข้าเองก็นับว่าเดินบนเส้นทางการหลอมอาวุธมาไม่น้อย หากหลอมอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางทั่วไปล่ะก็ ย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่บอกไว้ก่อนเลย หากทำการหลอมอาวุธล้มเหลว ข้าก็จะไม่ชดใช้วัสดุใดๆ เช่นกัน” หวงเจินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ไม่มีปัญหา เพียงแค่พี่หวงช่วยข้าหลอมอาวุธสำเร็จ ข้าย่อมตอบแทนให้อย่างงาม!” หลิ่วหมิงกล่าวโดยไม่ต้องคิด ขณะเดียวกันก็พลิกฝ่ามือหยิบหินแร่สีฟ้าออกมาสิบกว่าก้อน
“หินวารีลึกลับ!” พอหวงเจินเห็นสิ่งที่อยู่ในมือหลิ่วหมิง ก็รู้สึกประหลาดใจมาก
แม้หินแร่เหล่านี้จะพบเห็นได้บ่อยในสายแร่ใต้ทะเลลึก แต่สำหรับโลกภายนอกแล้ว มันเป็นวัสดุหลอมอาวุธชั้นยอดที่พบเจอได้ไม่มากนัก
“ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นค่าตอบแทนก็เหลือเฟือแล้ว ไม่ทราบสหายอยากหลอมอาวุธชนิดใด?” ชายฉกรรจ์ผิวดำกระตุกหางคิ้วแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่พูดอะไรออกมา พอเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง หยดของเหลวขนาดเท่าเม็ดถั่วก็ปรากฏบนมือ มีไอหมอกดำลอยวนเวียนอยู่บนพื้นผิว
“นี่คือ……”
หลังจากชายฉกรรจ์จ้องมองอย่างละเอียดแล้ว ก็เผยสีหน้าสงสัยออกมา
แต่หลิ่วหมิงกลับยิ้มและพลิกฝ่ามือขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นหยดของเหลวสีดำก็กระแทกใส่พื้นหินที่ดูแข็งแกร่งอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!” ห้องหินทั้งหลังสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที!
เกิดหลุมลึกขนาดเท่านิ้วมือบนพื้นหินตรงหน้าหลิ่วหมิง
“หยดพลังวารี! นึกไม่ถึงว่าสหายจะมีของล้ำค่าเช่นนี้ด้วย” หวงเจินหลุดปากออกมา
“ที่แท้สหายก็มีความรอบรู้มาก” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ จากนั้นก็คว้ามือข้างหนึ่งลงไปด้านล่าง
“ฟู่!” หยดพลังวารีพุ่งออกจากหลุมทันที จากนั้นก็กระพริบหายไปในฝ่ามือหลิ่วหมิง
นี่ก็เป็นเพราะว่ากายเนื้อของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งกว่าตอนที่เข้าสู่ระดับของเหลวใหม่ๆ มาก มิเช่นนั้นคงไม่อาจดูดมันขึ้นมาจากพื้นได้
“สหายหลิ่วพูดตลกแล้ว ในเมื่อข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ทำไมจะไม่รู้จักวัสดุระดับนี้ล่ะ แต่ว่ามันเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นมันกับตาตัวเอง” หวงเจินจ้องมองสิ่งที่อยู่บนมือหลิ่วหมิงตาไม่กระพริบ ใบหน้าดูลุ่มหลงเล็กน้อย
“ในเมื่อสหายหวงรู้จักเจ้าสิ่งนี้ ข้าก็จะไม่พูดอ้อมค้อมอีก ครั้งนี้ข้าอยากให้ท่านช่วยหลอม ‘มุกพลังวารี’ ” หลิ่วหมิงกล่าวตามตรง
“มุกพลังวารี?” หวงเจินได้ยินเช่นนี้ ก็ตื่นจากความหลงใหลในที่สุด จากนั้นถึงสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ทำไมล่ะ? หรือว่าสหายไม่สามารถทำได้?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา
“สหายอย่าได้เข้าใจผิด ข้าหวงเจินลงมือทั้งที ไหนเลยจะทำไม่สำเร็จ แต่หากหลอมเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางเพียงชิ้นเดียวล่ะก็ มันดูสิ้นเปลืองวัสดุไปหน่อย แต่หากสหายหาวัสดุจิตวิญญาณธาตุน้ำมาช่วยเสริมล่ะก็ ข้ามีความมั่นใจเจ็ดในสิบส่วนที่จะหลอมมันเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดได้” หวงเจินโบกมือเป็นพัลวันแล้วอธิบายออกมา
“สหายล้อข้าเล่นแล้ว ข้าน้อยจะมีวัสดุจิตวิญญาณได้อย่างไร แม้ก่อนหน้านั้นข้าจะเคยได้ยินคนพูดถึงวัสดุชนิดนี้อยู่บ้าง แต่กลับรู้อะไรเกี่ยวกับมันไม่มากนัก พี่หวงพอจะชี้แนะได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา จากนั้นก็กล่าวขอคำชี้แนะ
“สหายหลิ่วไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ไม่ค่อยเข้าใจวัสดุจิตวิญญาณก็เป็นเรื่องธรรมดา วัสดุจิตวิญญาณเป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด มันดูคล้ายกับมีจิตวิญญาณของตัวเอง หากอยากจะยกระดับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดโดยทั่วไป ให้สำเร็จเป็นต้นแบบอาวุธเวทที่มีสามสิบหกชั้นจำกัดล่ะก็ จำเป็นต้องใช้วัสดุจิตวิญญาณถึงจะได้ สำหรับสมบัติล้ำค่าอย่างหยดพลังวารีแล้ว หากเพิ่มวัสดุจิตวิญญาณที่มีลักษณะสอดคล้องกันในขณะหลอมล่ะก็ ย่อมยกระดับคุณภาพของมันได้เป็นอย่างมาก แต่ว่าตัวของวัสดุจิตวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่สวนทางกับการดำรงอยู่ มักจะใช้เวลาหลายหมื่นปีถึงจะกำเนิดมาหนึ่งถึงสองชนิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ธรรมดาเป็นอย่างมาก ดังนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ ยังหาวัสดุชนิดได้ยากยิ่งนัก” หวงเจินค่อยๆ อธิบายออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นับว่าข้าน้อยได้รับความรู้เพิ่มพูนขึ้นมา แต่ข้าไม่มีวัสดุจิตวิญญาณอันใด หากหลอมเป็นมุกพลังวารีที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ต้องใช้เวลานานเท่าใด?” หลิ่วหมิงพยักหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลัน
“ยี่สิบวันให้หลัง เจ้าก็มาเอาอาวุธจิตวิญญาณที่ข้าได้แล้ว นอกจากนี้การหลอมมุกพลังวารียังต้องใช้วัสดุอื่นมาช่วยเสริม ซึ่งข้าสามารถจัดหาให้ได้ แต่ว่า……” หวงเจินคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา
“สหายหวงวางใจเถอะ! หินวารีลึกลับในก่อนหน้านั้นเป็นแค่ค่าตอบแทนเท่านั้น ข้าจะรับผิดชอบค่าวัสดุเสริมเอง ถ้าอย่างนั้นอีกยี่สิบวันให้หลังข้าค่อยมารบกวนท่านอีกที” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา พอนึกถึงเรื่องที่ต้องไปสังหารอสูรตั๊กแตนโลหิตแล้ว คงได้แต่รอเสร็จเรื่องนี้กลับมาก่อน ถึงจะมารับของได้
ชายฉกรรจ์เห็นหลิ่วหมิงตอบรับอย่างสบายใจ เขาก็รับปากเรื่องมุกพลังวารีอย่างไม่ลังเล
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็คุยเรื่องผลลัพธ์ของชั้นจำกัดที่จำเป็นต้องใส่ในมุกพลังวารี แน่นอนว่ายังคงเพิ่มทวีตามเงื่อนไขที่เขาต้องการ หวงเจินย่อมไม่มีข้อคิดเห็นแย้งในเรื่องนี้แต่อย่างใด จากนั้นก็ทำการสาบานไว้ ณ ที่นั้น
หลิ่วหมิงทิ้งหยดพลังวารีกับหินวารีลึกลับไว้ และตัวเขาก็จากไปทันที
พอออกจากหุบเขา เขาก็ทะยานขึ้นฟ้า ไม่นานก็กลับมาถึงถ้ำที่พักของตนเอง เขาสั่งเหลียนเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์ว่าตนเองไม่พบแขก จากนั้นก็เข้าไปอยู่ในห้องลับ
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงไปในห้องลับ พอสะบัดแขนเสื้อ ไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ อยู่ตรงหน้าแล้ว มันก็กลายเป็นโล่กระดูกจิ๋วที่มีรูปเก้ากระโหลกประทับอยู่
หลิ่วหมิงชื่นชมสิ่งที่อยู่บนมือ ขณะเดียวกันก็นำจิตจมดิ่งเข้าไป
จากการสนทนากับหวงเจิน เขายืนยันได้ว่าวัสดุจิตวิญญาณที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หลอมอัคคีไม่ใช่เรื่องเท็จแต่ประการใด หากจะหลอมต้นแบบอาวุธเวทที่มีสามสิบหกชั้นจำกัด ยังจำเป็นต้องใช้วัสดุจิตวิญญาณถึงจะได้
โล่เก้ากะโหลกเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีสามสิบห้าชั้นจำกัดแล้ว ซึ่งห่างจากสามสิบหกชั้นจำกัดเพียงชั้นจำกัดเดียวเท่านั้น พอหลอมสำเร็จก็สามารถเปลี่ยนเป็นต้นแบบอาวุธเวทได้
และวัสดุจิตวิญญาณที่ใช้สำหรับหลอมโล่เก้ากระโหลกนี้ ในมือเขาก็มีอยู่ไม่น้อย คงจะเพียงพอสำหรับหลอมชั้นจำกัดสุดท้ายแล้ว
และหากเขามีโล่กระดูกที่มีสามสิบหกชั้นจำกัดคอยคุ้มกันตัวล่ะก็ เชื่อว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเฒ่าประหลาดระดับผลึกทั้งหลาย เขาก็สามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
อย่างที่รู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้อย่างราชาปีศาจสมุทร ในมือก็มีต้นแบบอาวุธเวทย์อย่างเข็มหยินลี้ลับเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น คิดว่าแม้แต่แผ่นดินจงเทียนที่เป็นโลกของผู้ฝึกฝน ก็มีอาวุธเวทระดับนี้อยู่น้อยมาก
แต่หากเขาอยากจะยกระดับโล่เก้ากะโหลกไปถึงสามสิบหกชั้นจำกัด คงต้องทำหลังจากถอนพิษให้ได้ก่อน
และเกรงว่าเขาคงต้องเสียเวลาไปศึกษาเส้นทางการหลอมอาวุธด้วยตนเองถึงจะได้
เพราะเขาไม่เคยคิดที่จะมอบโล่เก้ากระโหลกกับวัสดุจิตวิญญาณไปให้ผู้อื่นทำการปรับแต่งเลย
เวลาในหลายวันต่อมา หลิ่วหมิงขายหินแร่ที่เหลืออยู่ออกไปจนหมด แม้แต่หินจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่เหลืออยู่จำนวนหนึ่ง เขาก็ใช้มันซื้อกระบี่บินที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำกับยันต์จำนวนหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้ในทะเลลึกจากตลาดในเกาะมัจฉาเขียว
เขาตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่า หากไม่จำเป็น เขาจะไม่ใช้อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดอย่างทรายทองคำร่วงกับโล่เก้ากระโหลกอย่างแน่นอน โดยเฉพาะโล่เก้ากระโหลก
มิเช่นนั้นหากถูกผู้แข็งแกร่งระดับผลึกขึ้นไปค้นพบเข้า จะต้องเกิดปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ เวลาที่เหลือเขาก็นั่งเข้าฌานสะสมพลังอยู่ในถ้ำตลอดวัน
ห้าหกวันต่อมา หลิ่วหมิงกับซินหยวนก็ออกไปจากเกาะมัจฉาเขียวพร้อมกัน
…………………………………