ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงกับซินหยวนก็มาถึงสถานที่นัดหมาย
ฟางเหยากับชายหญิงสองคนได้รออยู่หน้าถ้ำที่พักแล้ว
“สหายหลิ่ว ในที่สุดท่านก็มา หากมาช้ากว่านี้อีกสองสามชั่วยามล่ะก็ ข้าคงคิดว่าสหายเปลี่ยนใจไปแล้ว ท่านนี้คงเป็นสหายซินหยวนที่ท่านพูดถึงสินะ?” พอฟางเหยาเห็นหลิ่วหมิงกับซินหยวน เขาก็รีบกล่าวด้วยความดีใจ
“ขออภัยที่ทำให้ทุกท่านรอนาน ข้ากับพี่ซินมีเรื่องที่ต้องทำในระหว่างการเดินทางเล็กน้อย ถึงได้มาสายไปหน่อย” หลิ่วหมิงกล่าวขอโทษ และสังเกตดูคนอื่นๆ
บนพื้นด้านล่างมีฟางเหยายืนอยู่ตรงกลาง ด้านข้างของเขามีชายหนึ่งหญิงหนึ่งยืนอยู่คนละข้าง และยังมีผู้อาวุโสอยู่ด้วยคนหนึ่ง
ผู้อาวุโสผมขาวหน้าแดงดูมีเลือดฝาด สวมชุดนักพรตสีดำ ในมือถือแส้สีขาวเทา เขากำลังจ้องมองหลิ่วหมิงทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
ผู้ชายสวมชุดบัณฑิต อายุราวๆ สามสิบกว่าปี ใบหน้าธรรมดา เขากำลังใช้พัดกระดาษโบกพัดเบาๆ
ส่วนคนสุดท้ายเป็นหญิงสวยหยาดเยิ้ม การแต่งกายดูอาจหาญมาก สวมชุดสีแดงแนบไปทั้งตัว ทำให้โครงร่างดูงดงาม สายตาที่มองดูหลิ่วหมิงแฝงไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
คนเหล่านี้ ย่อมเป็นคนที่ฟางเหยาบอกว่าจะร่วมเดินทางไปด้วยกันนั่นเอง
“มีสหายทั้งสองเข้าร่วม การเดินทางของพวกเราในครั้งนี้จะต้องสำเร็จโดยเร็ว ข้าจะแนะนำสหายทั้งหลายให้พวกท่านทั้งสองก่อน” ฟางเหยาจ้องมองหลิ่วหมิงทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“รบกวนสหายแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความเกรงใจ
“ท่านนี้คือผู้อาวุโสซ่านฉางเฟิงจากอารามเฟยเหลียน ท่านเป็นคนแรกที่ค้นพบอสูรตั๊กแตนโลหิตที่อยู่บริเวณนี้” ฟางเหยาแนะนำผู้อาวุโสชุดดำให้กับหลิ่วหมิงทั้งสอง
“ที่แท้ก็เป็นสหายซ่าน!” หลิ่วหมิงสังเกตผู้อาวุโสทีหนึ่งแล้วกุมมือคารวะก่อนกล่าวออกมา
ผู้อาวุโสชุดดำพยักหน้าให้กับหลิ่วหมิงทั้งสอง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“ข้าน้อยฝานหลิงจื่อ เป็นผู้ฝึกฝนอิสระจากเกาะใบพัด” บัณฑิตที่ถือพัดไม่รอให้ฟางเหยาเอ่ยปากแนะนำ แต่เขากลับหุบพัดและกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”
“ท่านนี้คือท่านเซียนมู่อู่ เป็นประมุขพรรคจันไถบนเกาะเสี่ยวขุย” ฟางเหยาแนะนำหญิงสาวหยาดเยิ้มผู้นั้นเป็นคนสุดท้าย
“ข้าน้อยคารวะสหายทั้งสอง” หญิงสาวที่ชื่อมู่อู่ยิ้มพรายให้ทั้งสอง และทำท่าคารวะ
หลิ่วหมิงย่อมตอบรับตามพิธีรีตอง
ซินหยวนที่อยู่ด้านข้างเพียงแค่พยักหน้า และดูเหมือนว่าเขาจะให้หลิ่วหมิงเป็นผู้นำ
แม้ทั้งสองจะไม่รู้จักเกาะเสี่ยวขุย และยิ่งพรรคจันไถยิ่งไม่เคยได้ยินเข้าไปใหญ่ แต่หญิงหยาดเยิ้มตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นประมุขผู้นี้ กลับมีกลิ่นไออ่อนแอมากที่สุด ซึ่งพอๆ กับฝานหลิงจื่อผู้นั้น แต่ผู้อาวุโสชุดดำผู้นั้นกลับมีท่าทีซื่อๆ และพูดน้อย ดวงตาทั้งคู่ดูสุขุมเยือกเย็น ภายในสี่คนนี้เขามีระดับการฝึกฝนสูงสุด
ฟางเหยาแนะนำหลิ่วหมิงกับซินหยวนให้กับคนทั้งสาม หลังจากที่พวกเขาทักทายปราศรัยกันเล็กน้อยแล้ว ก็เริ่มหารือเรื่องการสังหารอสูรตั๊กแตนโลหิต
“อสูรตั๊กแตนโลหิตกลุ่มนี้อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก การลงมือของเราในครั้งนี้……” ฟางเหยาที่เป็นผู้ริเริ่มการล่าในครั้งนี้ ได้เล่าแผนการให้ฟังโดยละเอียดหนึ่งรอบ
“ครึ่งเดือนก่อน ข้าเพิ่งไปตรวจสอบมาอีกรอบ ดูเหมือนอสูรตั๊กแตนโลหิตฝูงนี้ จะมีราวๆ สามสี่ร้อยตัว มีแค่ราชาอสูรเท่านั้นที่อยู่ในระดับของเหลว ส่วนตัวอื่นๆ ล้วนเป็นอสูรสมุทรระดับศิษย์จิตวิญญาณ ทั้งยังไม่ค่อยมีสติปัญญามากนัก” หลังจากฟางเหยาบอกแผนการเสร็จแล้ว ผู้อาวุโสชุดดำที่เงียบมาโดยตลอด ก็พูดเสริมขึ้นมาในฉับพลัน
“ทะเลกว้างใหญ่ไพศาล อสูรตั๊กแตนเหล่านี้คงไม่อยู่นิ่งกับที่อย่างแน่นอน พวกเราจะรู้ตำแหน่งโดยประมาณของพวกมันได้อย่างไร?” ซินหยวนขมวดคิ้วถามขึ้นมา
ฟางเหยาได้ยินก็ยิ้มบางๆ และพลิกฝ่ามือหยิบอาวุธเวทที่มีรูปร่างคล้ายจานเข็มทิศออกมา หลังจากปล่อยพลังเข้าไปในนั้นแล้ว จานเข็มทิศก็เปล่งแสงประกาย ทันใดนั้นเข็มทิศขนาดยาวชุ่นกว่าๆ ก็ปรากฏออกมาใจกลางจานเข็มทิศ หลังจากหมุนวนอยู่ครู่หนึ่งแล้ว มันก็ชี้ไปยังทิศทางบางแห่ง
“นี่เป็นอาวุธเวทที่ข้าสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ และใช้ความพยายามอย่างมากในการนำโลหิตบนตัวของราชาอสูรตั๊กแตนโลหิตมาใส่ไว้ในนั้น ด้วยเหตุนี้จึงสามารถตามติดกลิ่นไอของราชาอสูรได้ สหายทั้งสองยังมีปัญหาอื่นหรือไม่?” ฟางเหยาอธิบายไปหนึ่งรอบ
หลิ่วหมิงกับซินหยวนสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นต่างก็พากันส่ายหน้า
“ดีมาก! ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกเดินทางกันเถอะ!” ฟางเหยาประคองจานเข็มทิศแล้วกล่าวออกมา
คนอื่นๆ ย่อมไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด
พวกเขาไม่ได้ใช้อาวุธจิตวิญญาณเหินเวหา แต่กลับพากันขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้า จากนั้นก็เหาะไปยังทิศทางที่เข็มทิศชี้
หลายชั่วยามต่อมา พวกเขาก็มาถึงเหนือทะเลที่อยู่ห่างจากเกาะที่จากมาพันกว่าลี้
จานเข็มทิศในมือฟางเหยาเปล่งแสงสีขาว เข็มทิศที่อยู่ในนั้นหมุนวนติ้วๆ อยู่ไม่หยุด
“ถึงแล้ว น่านน้ำแถบนี้แหละ! อสูรตั๊กแตนโลหิตคงจะอยู่ด้านล่าง” ฟางเหยามองดูจานเข็มทิศในมือแล้วกล่าวด้วยสีหน้าฮึกเหิม
“ข้ามีมุกดำน้ำอยู่หกเม็ด แม้มันจะใช้ได้แค่ครั้งเดียว แต่ก็เพียงพอต่อการดำเนินการในครั้งนี้แล้ว” ผู้อาวุโสชุดดำได้ยินก็รีบหยิบผลึกสีฟ้ากลมๆ ออกมาหกเม็ด และแบ่งให้กับทุกคน
จากนั้นเขาก็ประคองผลึกกลมๆ เหาะลงไปด้านล่างก่อน
ครู่ต่อมา ม่านแสงสีฟ้าแวววาวก็แผ่ออกมาจากผลึกกลมๆ พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มผู้อาวุโสไว้ด้านใน และแยกน้ำทะเลออกก่อนที่จะพาเขาตกลงไปด้านล่างที่ลึกลงไป
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็พากันลงไปในน้ำทะเล แต่ม่านแสงสีฟ้าที่แผ่ออกมาได้เชื่อมต่อกัน และปกคลุมพวกเขาทั้งหมดเข้าด้วยกัน
ไม่นาน พวกเขาก็อยู่ใต้ทะเลที่ลึกลงไปหมื่นจั้ง
ภายใต้การชี้ทางของจานเข็มทิศ หลังจากที่พวกเขาเดินเท้าไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ฟางเหยาที่อยู่ตรงหน้าก็หยุดชะงักโดยฉับพลัน
จากนั้นเขาก็ส่งเสียงมาบอกคนอื่นๆ “ระวัง!”
ขณะนี้ ผู้อาวุโสกลับตบผลึกกลมๆ ในมือ
ทันใดนั้น ม่านแสงสีฟ้าที่อยู่รอบๆ ตัวพวกเขาก็มืดลงพร้อมกัน ทำให้ร่างดูพร่ามัวขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ฟางเหยาและคนอื่นๆ กลับไม่รู้สึกตกใจแต่อย่างใด และต่างก็จ้องมองม่านแสงพร่ามัว และดำไปด้านหน้าอย่างเงียบๆ
หลังจากเดินทางไปได้ลี้กว่าๆ ด้านหน้าก็เป็นกลุ่มหินปะการังสูงต่ำกลุ่มหนึ่ง
และพวกเขาต่างก็รับรู้ว่ามีเงาดำจำนวนมากอยู่ด้านหลังหินปะการัง ราวกับว่าพื้นที่แห่งนี้ถูกครอบครองโดยกลุ่มสาหร่ายทะเลขนาดใหญ่
พอหลิ่วหมิงเขม้นมองผ่านน้ำทะเลไป ก็ค้นพบว่าเงาดำเหล่านี้ก็คืออสูรสมุทรแต่ละตัวที่อยู่ชิดกันๆ
อสูรสมุทรเหล่านี้มีรูปร่างราวกับอสรพิษสมุทร ตัวที่มีขนาดใหญ่มีลำตัวยาวจั้งกว่าๆ ตัวที่มีขนาดเล็กมีลำตัวยาวแค่ไม่กี่ฉื่อ บนตัวของมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดง พุงของมันนูนออกมา ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าบริเวณอื่นๆ เท่าตัว
มันก็คือฝูงอสูรตั๊กแตนโลหิตนั่นเอง!
ฟางเหยาเห็นเช่นนี้ ก็แสดงแววตาเร่าร้อนออกมา หลังจากโบกมือแล้ว พวกเขาก็พากันถอยออกไปอย่างเงียบๆ
ไม่นานพวกเขาก็กลับมายังใต้ทะเลที่พวกเขาออกเดินทาง
“ที่แท้ก็เป็นอสูรตั๊กแตนโลหิตฝูงนี้ ทุกท่าน! ทำตามแผนที่วางไว้” ฟางเหยาถอนหายใจยาวๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น
บัณฑิตและคนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พวกเขากับฟางเหยาต่างก็ยืนตั้งหลัก และเริ่มกระตุ้นพลังเวทใส่ลงไปในผลึกกลมๆ สีฟ้า
ผลึกกลมๆ เปล่งประกายแสงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทำให้ม่านแสงขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน น้ำทะเลบริเวณรอบๆ ก็ค่อยๆ ถูกดันออกไป
หลิ่วหมิงกับซินหยวนกลับยืนมองอย่างเงียบๆ
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป ผลึกกลมๆ ทั้งหกเม็ดก็ส่งเสียงขานรับกัน จากนั้นม่านแสงสีฟ้าก็เชื่อมต่อกันจนกลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ และน้ำทะเลตรงใจกลางค่ายกลก็ถูกดันออกไปจนกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่
และม่านแสงสีฟ้ากลับรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำทะเลรอบด้านจนแยกแยะไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
ขณะนี้ ฟางเหยาถึงค่อยๆ หยิบเทียนสีแดงเลือดออกมา และจุดมันทันที
ทันใดนั้นกลิ่นคาวเลือดก็โชยออกมา พอกระตุ้นพลังเวท มันก็ลอยออกจากค่ายกล และค่อยๆ โชยไปยังฝูงอสูรที่อยู่ไกลๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยังคงมีสีหน้าปกติ แต่กลับปล่อยจิตออกไปส่วนหนึ่ง เพื่อตรวจสอบดูฝูงอสูรตั๊กแตนโลหิตที่อยู่ไกลๆ
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวยังไม่ทันถึง ฝูงอสูรสมุทรที่อยู่รอบนอกก็เริ่มปั่นป่วนขึ้นมา อสูรตั๊กแตนโลหิตส่วนหนึ่งพุ่งออกจากฝูงอย่างไม่ลังเลใจ และว่ายมาทางค่ายกลอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ ฟางเหยาและคนอื่นๆ ต่างก็รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวของฝูงอสูร หลังจากส่งเสียงออกไปแล้ว พวกเขาก็พากันมุดออกจากม่านแสง และแสดงวิชาบดบังร่างของตนเองไว้
อสูรตั๊กแตนโลหิตเหล่านี้มียี่สิบกว่าตัว ภายใต้การหลอกล่อของกลิ่นคาวเลือด ทำให้มันว่ายมาหาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้า
“ฟู่!” ระลอกคลื่นกระเพื่อมออกไป!
อสูรตั๊กแตนโลหิตสิบกว่าตัวพุ่งเข้ามาในค่ายกล และหล่นลงไปในพื้นที่ว่างภายในม่านแสง
อาจเป็นเพราะอยู่ห่างจากน้ำทะเล อสูรตั๊กแตนโลหิตเหล่านี้ถึงเกิดความสับสนวุ่นวายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นมันก็เคลื่อนไหวช้าลง
ผู้อาวุโสชุดดำกระพริบออกมาจากน้ำทะเลบริเวณใกล้ๆ ไม่รู้ว่าในมือเขาถือธงสามเหลี่ยมสีฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ พอโบกสะบัดมัน ระลอกคลื่นสีฟ้าก็ก่อตัวขึ้น และม้วนตัวไปในม่านแสง
อสูรตั๊กแตนโลหิตสองสามตัวถูกม้วนเข้าไปในแสงสีฟ้า จากนั้นร่างของพวกมันก็ค่อยๆ เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง และเสียชีวิตในพริบตา
หลังจากบัณฑิตชุดคลุมสีขาวปรากฏตัวออกมา พัดกระดาษในมือก็ถูกโบกออกไปในทันที
ทุกการโบกสะบัด จะมีไอหมอกสีขาวม้วนตัวออกไป หลังจากโบกสะบัดไปเจ็ดแปดครั้ง อสูรตั๊กแตนโลหิตเจ็ดแปดตัวก็ถูกปกคลุมอยู่ด้านใน
และพอหมอกขาวสลายไปแล้ว อสูรตั๊กแตนโลหิตเหล่านี้ก็เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดจนเสียชีวิต
เมื่อเทียบดูแล้ว แถบสีแดงเข้มที่เซียนมู่อู่ใช้ กลับดูงดงามกว่ามาก
ขณะที่ร่างอรชรของนางเคลื่อนไหวไม่กี่ที แถบสีของนางก็กลายเงาร่างที่ดูคล้ายกับอสรพิษ และม้วนตัวออกไปด้านหน้า พริบตาเดียว อสูรตั๊กแตนโลหิตตัวหนึ่งก็ถูกตัดเป็นชิ้นๆ
ทางด้านซินหยวนก็ได้พุ่งเข้าไปในม่านแสงตั้งนานแล้ว ภายใต้การเคลื่อนไหวของกระบองยักษ์สีดำในมือ ก่อให้เกิดเป็นเงากระบองจำนวนมากโจมตีออกไปด้านหน้า พริบตาเดียวก็ทุบอสูรตั๊กแตนโลหิตจนเละเป็นโจ๊ก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สะบัดแขนเสื้อทันที กระบี่เล็กสีเงินปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นเงากระบี่จำนวนมาก และพุ่งเข้าไปในม่านแสง
“ฟิ้วๆ!” อสูรตั๊กแตนโลหิตสองสามตัวถูกเงากระบี่เจาะทะลุจนเป็นรูพรุน พริบตาเดียวมันก็ล้มลงไป
ฟางเหยาและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ กลับเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะเป็นผู้ฝึกกระบี่
…………………………………