พอเห็นว่าทุกคนไปไกลแล้ว อวี้ชิงซือไท่ก็กางแขนเสื้อทั้งสองข้างออก จากนั้นค่ายกลที่มีแสงสีเหลืองอ่อนก็ปรากฏออกมา และปกคลุมพื้นที่ในระยะสิบกว่าจั้งไว้
“เอาล่ะ! ตอนนี้ข้าได้วางชั้นจำกัดไว้แล้ว พื้นที่บริเวณรอบๆ นี้ไม่มีคนอื่นอีก เจ้ามีอะไรก็พูดมาได้เลย” อวี้ชิงซือไท่กล่าวอย่างราบเรียบ
ตอนนั้นหลิ่วหมิงก็ไม่ได้ปิดบังอะไร เขาเล่าเรื่องที่ปรมาจารย์ลิ่วยินซัดเซพเนจรมายังเขตทะเลชังไห่ และก่อตั้งนิกายปีศาจในปีนั้นออกมา แต่สุดท้ายเป็นเพราะระยะทางยาวไกล จึงไม่สามารถกลับแผ่นดินจงเทียนได้ และได้แต่นั่งละสังขารบนเกาะอวิ๋นชวน
แน่นอนว่าเรื่องจิตรับรู้ที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ กับเรื่องคัมภีร์สองเล่มที่เขาได้มาจากกำแพงเก็บเงา ต่างก็ถูกเล่าออกมาจนหมด
สิ่งเดียวที่เขาปิดบังก็คือตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่ปรมาจารย์ลิ่วยินมอบหมายให้ในปีนั้น มิใช่นั้นคงไม่อาจอธิบายเรื่องฟองอากาศลึกลับได้
และเรื่องเกี่ยวกับฟองอากาศลึกลับ หลิ่วหมิงย่อมไม่เปิดเผยให้คนนอกรับรู้เลยแม้แต่น้อย
อวี้ชิงซือไท่ฟังจบ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้
คำพูดหลิ่วหมิงดูพิลึกพิลั่นเล็กน้อย หลังจากที่นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็หยิบคทาหยกสีเขียวออกมาอันหนึ่ง บนพื้นผิวของมันมีอักขระสีเงินปรากฏขาดๆ หายๆ
พออวี้ชิงเอานิ้วแตะคทาหยก แสงสีขาวก็เปล่งประกายออกมา เงาร่างอสูรน้อยที่ดูคล้ายแมวแต่ไม่ใช่แมวปรากฏออกมาจากปลายคทาหยก
ดวงตาพร่ามัวของอสูรน้อยตัวนี้ เปล่งแสงสลัวออกมาชั่วขณะหนึ่ง หลังจากจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็นแล้ว ก็หดตัวกลับเข้าไปในคทาหยกพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ
เมื่อหลิ่วหมิงถูกอสูรน้อยจ้องมอง ในใจเขาก็รู้สึกเย็นสะท้านแปลกๆ ราวกับว่ามันสามารถรู้ความลับของเขาได้ และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็รับรู้ได้ลางๆ ว่า ศิลาหุนเทียนในทะเลจิตรับรู้ดูเหมือนจะเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
พออวี้ชิงซือไท่ได้ยินเสียงร้องเบาๆ ของอสูรน้อย นางก็สบตาหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
“ผู้อาวุโสอวี้ชิง ที่ข้าน้อยพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่คิดจะปิดบังท่านเลยแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าเมื่อครู่นั้นคือ……” หลิ่วหมิงรู้สึกถึงไอเย็นแปลกๆ และจิตรับรู้เริ่มเลอะเลือนเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร เงาอสูรน้อยเมื่อครู่เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ของอสูรมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งในโลกใบนี้ มันถูกนำมาผนึกไว้ในคทาหยก สามารถใช้แยกแยะคำพูดเท็จจริงของใครก็ได้” หญิงชุดขาวเก็บคทาหยกเข้าไปในแขนเสื้อ และอธิบายอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงได้ยิน ถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“ส่วนเรื่องที่เจ้าพูดมา แม้ข้าจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักเสียงมหัศจรรย์ แต่ก็รู้เรื่องในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่มาก แต่ก่อนก็ไม่เคยได้ยินชื่อลิ่วยินมาก่อน และเรื่องนี้ก็ค่อนข้างซับซ้อน ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ ตอนนี้ได้แต่พาสหายหลิ่วไปที่นิกายยอดบริสุทธิ์ก่อน เพื่อให้ผู้อาวุโสในนิกายทำการตัดสินใจในเรื่องนี้ ส่วนจะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ก็ขึ้นอยู่กับดวงของเจ้าแล้ว” อวี้ชิงซือไท่กล่าวจบก็พนมมือทั้งสองไว้
หลิ่วหมิงหัวเราะในใจอย่างขมขื่น ไหนเลยเขาจะปฏิเสธเรื่องนี้ได้ จึงได้แต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น
สามวันต่อมา ภายใต้ห้องโถงใหญ่ของที่ทำการพรรคฉางเฟิง ผู้ดูแลและแขกของพรรคต่างก็อยู่กันอย่างเนืองแน่น พวกเขากำลังเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะของเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้
ขณะนี้ เฟิงจ้านที่สวมชุดคลุมสีดำกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก และผู้ที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของเขา ก็คือหลิ่วหมิงกับซินหยวน
“แม้เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ จะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แต่ในที่สุดมันก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ว่าพรรคฉางเฟิงของเราชนะ และที่ครั้งนี้สามารถชนะได้ เพราะมีหลิ่วหมิง และซินหยวน ข้าเคยสัญญาว่าจะมอบสามแสนหินจิตวิญญาณให้กับผู้ที่เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ หากชนะล่ะก็ ผู้เข้าร่วมยังสามารถเลือกสมบัติในคลังเก็บสมบัติไปได้ อีกประเดี๋ยวสหายทั้งสอง ก็ตามข้าไปเลือกได้เลย” เฟิงจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่พูดถึงเว่ยจ้งเลยแม้แต่น้อย พอเขาโบกแขนเสื้อ หินจิตวิญญาณสองถุงก็พุ่งไปทางหลิ่วหมิงกับซินหยวน
“ขอบคุณประมุขเฟิง” ซินหยวนรับถุงมา หลังจากใช้จิตกวาดดูเล็กน้อยแล้ว ก็กุมมือคารวะด้วยความดีใจ
พอหลิ่วหมิงรับถุงไปแล้ว ก็กุมมือคารวะเช่นกัน
“ครั้งนี้สหายหลิ่วผ่านการต่อสู้ถึงสี่รอบ และสุดท้ายก็ได้ชัยชนะมา มันไม่ง่ายเลย ถือว่ามีความดีความชอบเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้สหายหลิ่วสามารถเลือกสมบัติในคลังได้เพิ่มอีกสองชิ้น”
พอคำพูดนี้ดังออกมา ศิษย์จำนวนมากที่อยู่บริเวณนั้นกับแขกระดับสูง ต่างก็รู้สึกตะลึงงันทันที และต่อมาก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความอิจฉา
ชัยชนะของหลิ่วหมิงในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้พรรคฉางเฟิงมีอำนาจน่าเกรงขามในทะเลหนานไห่ แต่ยังทำให้เฟิงจ้านมีเกียรติยศเพิ่มขึ้นมามาก
และนิกายห้าวิญญาณก็ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ของเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้
และในวันเดิมพันการต่อสู้ เฟิงจ้านก็เคยสัญญากับตัวเองว่าหากหลิ่วหมิงชนะ ก็จะมอบสมบัติให้อีกสองชิ้น ตอนนี้ได้ประกาศออกมาแล้ว ก็ถือเป็นการแสดงเจตนาของเขาออกมาอย่างชัดแจ้ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา พอประตูห้องโถงใหญ่เปิดออก เฟิงจ้านก็เดินออกมาก่อน และตามติดมาด้วยหลิ่วหมิงกับซินหยวน
ทั้งสามเดินเข้าในห้องข้างห้องโถงที่ดูเงียบสงัดและอยู่ไม่ไกลมากนัก
ด้านในตกแต่งงดงามและเรียบๆ ตรงหน้ามีหญิงสาวสวมชุดสีขาว ใบหน้าสวยราวกับหยก กำลังนั่งอยู่
ซึ่งนางก็คืออวี้ชิงซือไท่ จากสำนักเสียงมหัศจรรย์ที่พบเจอในหุบเขาเปลวเพลิงวันนั้น!
“ผู้อาวุโสอวี้ชิงโปรดรอสักครู่ ข้าพาสหายหลิ่วไปเลือกสมบัติที่คลังเก็บสมบัติ เพื่อเป็นการตอบแทนก่อน อีกประเดี๋ยวก็จะกลับมา” เฟิงจ้านก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าว และกล่าวกับหญิงสาวชุดขาวอย่างนอบน้อม
หญิงสาวชุดขาวเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หลับตาพักผ่อนต่อ
เฟิงจ้านสั่งสาวใช้ชงชาให้กับนาง จากนั้นก็หมุนตัวพาหลิ่วหมิงกับซินหยวนเดินออกไป และมุ่งหน้าไปทางหอใหญ่
ทั้งสามเดินผ่านระเบียงยาวจนมาถึงประตูเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังหอใหญ่ หลังจากผลักประตูเดินเข้าไปแล้ว ก็เดินไปตามทางลับที่ทอดยาวลงไปด้านล่าง โดยใช้เวลาราวๆ ครึ่งถ้วยชา และมาปรากฏตัวตรงหน้าประตูหยกแกะสลัก
“ประมุขเฟิง คลังสมบัตินี้อยู่ด้านหลังของหอใหญ่ ทั้งยังดูเหมือนจะไม่มีคนคอยเฝ้า ไม่กลัวว่าจะมีสิ่งใดหายไปหรอกหรือ?” ซินหยวนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย จึงเอ่ยปากถามออกมา
“สหายซินไม่รู้อะไร คลังสมบัตินี้สร้างโดยสุดยอดผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธท่านหนึ่ง ตัวมันเองก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก หากมีคนบุกเข้าไปก็จะสัมผัสโดนชั้นจำกัด และถูกขังอยู่ในนั้น” เฟิงจ้านตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
พอเฟิงจ้านตบลงบนเอว หินหยกแวววาวขนาดเล็กก็ร่วงลงในมือ จากนั้นเขาก็พุ่งยิงหินหยกเข้าไปในรอยเว้าบนประตูหยกแกะสลัก
ต่อมาเขาก็ปล่อยพลังเวทเข้าไปในหินหยก!
ประตูหยกแกะสลักสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที แสงสีเขียวเปล่งประกายบนประตู และส่งเสียงดัง “โครมคราม!” ออกมา
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ประตูคลังสมบัติขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออก
จากนั้นเฟิงจ้านก็พาหลิ่วหมิงกับซินหยวนเดินเข้าไป
พอทั้งสามเหยียบเท้าเข้าไปในคลังสมบัติ ประตูใหญ่ที่อยู่ด้านหลังก็ปิดตัวลงอีกครั้ง
คลังสมบัติมีพื้นที่กว้างไม่กี่สิบจั้ง กำแพงแสงแต่ละสีแบ่งพื้นที่คลังสมบัติออกเป็นหกเขต แต่ละเขตจะมีชั้นเก็บของหนึ่งแถว บนชั้นมีกล่องหยกหลากสีขนาดต่างๆ วางอยู่
จากที่หลิ่วหมิงคำนวณคร่าวๆ พื้นที่ภายในคลังสมบัติของพรรคฉางเฟิงคงมีสมบัติมากถึงสามสี่ร้อยชิ้น
“ทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ สามารถเลือกได้เลย สมบัติที่เหมาะสำหรับการฝึกร่างอยู่ทางด้านนั้น” พอเฟิงจ้านมองเห็นสีหน้าลำบากใจของทั้งสอง ที่ดูเหมือนไม่รู้ว่าจะลงมืออย่างไรดี เขาจึงชี้ไปยังเขตที่มีกำแพงสีฟ้าล้อมรอบอยู่ และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ขอบคุณประมุขเฟิง” ซินหยวนกล่าวขอบคุณ และเดินไปทางเขตสีฟ้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบกล่องหยกขึ้นมาหนึ่งใบ หลังจากเปิดดูแล้ว ก็ค้นพบว่ามันเป็นสายโซ่เล็กๆ สีดำ พอปล่อยพลังเวทเข้าไปเล็กน้อย สายโซ่ก็กลายเป็นเกราะสีดำชุดหนึ่ง
“นี่คือเกราะสายโซ่ทมิฬ สร้างขึ้นมาจากเหล็กบริสุทธิ์พันปี แฝงไปด้วยสิบเก้าชั้นจำกัด เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูง” เฟิงจ้านมองดูสิ่งของในมือซินหยวนแล้วอธิบายออกมา
ซินหยวนได้ยินก็พยักหน้า จากนั้นก็เก็บพลังเวทราวกับยังไม่ค่อยพอใจมากนัก และนำสายโซ่ที่กลับคืนสภาพเดิมใส่เข้าไปในกล่องหยกแล้ววางไว้ที่เดิม
หลิ่วหมิงมีเป้าหมายแต่แรกแล้ว เขาไม่ได้มาเพื่ออาวุธจิตวิญญาณ แต่มาเพื่อ ‘ไผ่ว่างเปล่า’ ท่อนนั้น
พอกวาดสายตามองออกไป สายตาของเขาก็ต้องหยุดอยู่ตรงเขตที่มีกำแพงแสงห้าสีห่อหุ้มไว้ ซึ่งอยู่ด้านในสุด
เขตนี้มีกล่องหยกสีขาวขนาดต่างๆ วางอยู่แค่หกใบเท่านั้น
หลิ่วหมิงเดินเข้าไปหน้าชั้นวางของ พอโบกมือ กล่องหยกใบหนึ่งก็ร่วงลงบนมือ เมื่อเปิดฝาออก แสงห้าสีเจิดจ้าก็พุ่งออกจากกล่องหยก
เมื่อแสงดับลงแล้ว หลิ่วหมิงถึงก้มหน้ามองดูด้านในกล่อง เขาค้นพบว่ามันเป็นหินแร่ห้าสีก้อนหนึ่ง แร่หินแวววาวเป็นอย่างมาก ภายใต้การหักเหของแสงภายในห้อง มันเปล่งแสงสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว ม่วง ออกมาทั้งหมดห้าสี ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ต่อมา หลิ่วหมิงก็เปิดกล่องหยกใบอื่นๆ ต่อ ขณะที่เปิดมาถึงใบที่หกนั้น กลับพบว่ามีไผ่เงินที่มีลวดลายจิตวิญญาณห้าสีปกคลุม วางอยู่ด้านในหนึ่งท่อน
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก เขารู้ว่าสิ่งนี้คือไผ่ว่างเปล่าแน่นอน แต่เขาก็ปิดฝากล่องโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา และวางกลับไปที่เดิม
ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม เมื่อหลิ่วหมิงเลือกสมบัติมาได้สองชิ้นแล้ว ถึงทำเป็นเดินกลับไปยังเขตนี้โดยไม่ตั้งใจ และหยิบกล่องที่ใส่ไผ่ว่างเปล่ามาไว้ในมือ
เมื่อเขาถือกล่องหยกสามใบกลับมาตรงทางเข้านั้น ซินหยวนกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับเฟิงจ้านอยู่ และในมือก็มีกล่องหยกสีดำอยู่ใบหนึ่ง
“พี่หลิ่วเลือกนานขนาดนี้ ได้สมบัติอะไรมาบ้าง?” พอซินหยวนเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา เขาก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“ข้าหาอาวุธจิตวิญญาณที่เหมาะสมไม่ได้ จึงเลือกวัสดุที่ดูไม่ธรรมดามาสองสามชิ้น เมื่อไปถึงแผ่นดินจงเทียนแล้ว จะได้หาคนมาหลอมเป็นอาวุธจิตวิญญาณ” หลิ่วหมิงย่อมไม่พูดถึงไผ่ว่างเปล่า เขาได้แต่กล่าวอย่างคลุมเครือเท่านั้น
ซินหยวนก็ไม่ถามอะไรมาก หลังจากเปิดฝากล่องออกมาแล้ว ก็เห็นว่ามีโอสถบรรจุอยู่ในนั้นสามเม็ด
“ข้าเลือกโอสถพยัคฆ์ร้ายสามเม็ดนี้ ท่านประมุขบอกว่ามันไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย แต่ยังมีผลในการช่วยยกระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวท มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะร่างฝึกมาก ออกไปครั้งนี้ข้าจะเริ่มกักตัว เตรียมทะลวงขั้นปลายแล้ว” ซินหยวนกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
เฟิงจ้านเพียงแค่มองดูกล่องหยกในมือหลิ่วหมิงสองสามที และพยักหน้าก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อสหายทั้งสองต่างก็เลือกเสร็จแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ!” เฟิงจ้านกล่าวจบก็พาทั้งสองไปจากคลังสมบัติ
……
ห้องข้างห้องโถงบางแห่งที่อยู่ในพรรคฉางเฟิง อวี้ชิงซือไท่ยังคงหลับตาพักผ่อนอยู่ ชาจิตวิญญาณที่ชงไว้ข้างๆ ยังไม่ถูกแตะเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นก็มีคนผลักประตูเข้ามา ซึ่งก็คือเฟิงจ้านที่พาหลิ่วหมิงกับซินหยวนกลับมานั่นเอง
“หลิ่วหมิง ในเมื่อเจ้าจัดการธุระที่นี่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกับข้าได้แล้ว” หญิงสาวชุดขาวลืมตา และลุกขึ้นมากล่าวอย่างราบเรียบ
…………………………………